ทำไมเนย์มาร์ไปซาอุ ได้เงินวันละ 15 ล้านบาท มีได้มากขนาดนี้ด้วยเหรอครับ เห็นคนเก่งมาก ๆ ได้แค่วันละ 3 ล้านบาท แล้วเจ้าของ

แล้วเจ้าของสโมสรไม่หมดตัวเหรอครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
ทำไม ฟุตบอลลีกซาอุฯ ถึงมีเงินซื้อนักเตะกว่า 7,000 ล้านบาท

ซาอุฯ มีแหล่งเงินของรัฐ โดยกองทุน PIF และรัฐวิสาหกิจน้ำมันของประเทศช่วยเป็นท่อน้ำเลี้ยงหลักให้ จึงทำให้แต่ละสโมสรมีงบไปช้อปปิงนักเตะดัง ๆ ของโลกได้ไม่อั้น
เม็ดเงินที่อัดฉีดลงไปคือ การปูพื้นฐานเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทีมฟุตบอลและลีกอาชีพก่อนที่จะขายต่อให้กับนักลงทุนต่างชาติที่สนใจ เพราะคาดว่ามูลค่าการตลาดของลีกจะเติบโตขึ้นไปหลายล้านบาท และเป็นการช่วยสนับสนุนวิสัยทัศน์ Saudi Vision 2030 ที่จะลดพึ่งพารายได้จากน้ำมัน
การที่ไม่มีกฎควบคุมเพดานค่าเหนื่อย/ค่าตัว ทำให้แต่ละทีมสามารถช้อปได้อย่างสบายใจ และโอกาสที่จะล้มเหลวแบบลีกจีนมีน้อยกว่า เพราะเป็นการลงทุนที่มีสัญญาระยะยาวช่วยค้ำยันไว้ แถมยังมีการบริหารจัดการโดยมืออาชีพระดับโลก

ปกติในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลของลีกฟุตบอลอาชีพ โดยเฉพาะในทวีปยุโรป มักจะมีการซื้อขายตัวนักเตะ/ผู้จัดการทีมกันอย่างคึกคัก ทว่าในปีนี้กลับมีบางสิ่งที่แปลกออกไป เพราะ ฟุตบอลลีกซาอุฯ ฮอตมากกก

ปีนี้การช้อปปิงนักเตะชื่อดังไม่ได้มาจากสโมสรในยุโรปอย่างที่คุ้นเคย แต่มาจากทีมในลีกอาชีพของซาอุดีอาระเบีย ไล่เรียงไปตั้งแต่คาริม เบนเซมา ดาวยิงสัญชาติฝรั่งเศส ที่ย้ายจากสโมสรเรอัล มาดริด ไปซบอ้อมอกสโมสรอัล-อิตติฮัต ด้วยสัญญา 2 ปี มูลค่ากว่า 200 ล้านยูโร (ราว 7,440 ล้านบาท) ขณะที่ คาลิดู คูลิบาลี่ ปราการหลังชาวเซเนกัลของเชลซีก็ย้ายไปสู่สโมสรอัล ฮิลาล ด้วยด้วยสัญญา 3 ปี ค่าเหนื่อยปีละ 25 ล้านยูโร (ราว 964 ล้านบาท)

ส่วนทางฝั่งผู้จัดการทีมอย่าง สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ที่เป็นอดีตผู้จัดการทีมสโมสรแอสตัน วิลล่า ก็ย้ายไปรับงานให้สโมสรอัล อิตติฟาค โดยไม่ได้มีการเปิดเผยค่าเหนื่อยอย่างเป็นทางการ

นอกจากนั้นก็ยังมีดีลของนักเตะชื่อดังอีกมากมาย อย่างเช่น เอ็นโกโล่ ก็องเต้ (อัล-อิตติฮัต), เอดูอาร์ เมนดี้ (อัล ฮิลาล), รูเบน เนเวส (อัล ฮิลาล) เป็นต้น นี่ยังไม่นับดีลมูลค่ามหาศาลของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ กว่า 200 ล้านยูโร (ราว 7,700 ล้านบาท) ที่ย้ายไปเล่นให้กับสโมสรอัล นาสเซอร์ ก่อนหน้านั้นแล้ว

ซึ่งทำเอาหลายคนสงสัยแล้วใช่มั้ยว่า ทำไมสโมสรของเศรษฐีน้ำมันแห่งตะวันออกกลางถึงมีรวยอู้ฟู่ขนาดนี้ แล้วพวกเขาเอารายได้มาจากที่ไหน วันนี้พี่ทุยจะสรุปให้ฟังกัน

แรงหนุนจากกองทุนของรัฐฯ

การที่แต่ละทีมร่ำรวยอู้ฟู่ขนาดนี้ ก็เป็นเพราะว่าแต่ละทีมใน “ซาอุดี โปรลีก” โดยเฉพาะทีมขนาดใหญ่มี “แบคอัพทางการเงินที่แข็งแกร่งมาก” จากการเข้ามาเทคโอเวอร์ของกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ (Public Investment Fund: PIF) ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อความมั่งคั่งที่ลงทุนในตราสารหนี้และกิจการต่าง ๆ ที่กษัตริย์ซาอุฯ เป็นเจ้าของ รวมไปถึงแหล่งทุนจาก Saudi Aramco รัฐวิสาหกิจน้ำมันรายใหญ่ของซาอุฯ  

การลงทุนของกองทุน PIF และ Saudi Aramco เป็นลงทุนอย่างมีเป้าหมายเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทีมฟุตบอลและวงการฟุตบอลของซาอุดีอาระเบีย และหวังที่จะขายทีมต่อให้กับนักลงทุนต่างชาติเพื่อทำผลกำไรอีกทอดหนึ่งในอนาคตหากได้ราคาที่สมน้ำสมเนื้อ

จากกระแสความตื่นตัวในวงการฟุตบอลของลีกอาชีพในซาอุฯ ที่มาพร้อมกับการเข้ามาของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ทำให้ในปีที่ผ่านมายอดผู้ชมในสนามเพิ่มขึ้นเป็นประวัติศาสตร์ของซาอุฯ ที่ 2.2 ล้านคน และมีการถ่ายทอดสดไปกว่า 170 ประเทศทั่วโลก

รัฐบาลซาอุฯ จึงหมายมั่นปั้นมือว่า ซาอุฯ จะต้องกลายเป็นลีกฟุตบอลอาชีพชั้นนำของโลกให้ได้ และสามารถสร้างรายได้ต่อปีได้ไม่ต่ำกว่า 480 ล้านดอลลาร์ (16,000 ล้านบาท) ต่อปี ภายในปี ค.ศ. 2030 จากปัจจุบันที่ 120 ล้านดอลลาร์ (4,200 ล้านบาท) ต่อปี รวมถึงรายได้จากการตลาดให้ได้มากกว่า 2,100 ล้านดอลลาร์ (73,000 ล้านบาท)

ซึ่งนั่นก็จะช่วยเกื้อหนุนภารกิจสำคัญที่จะช่วยรัฐบาลพลิกโฉมหน้าของประเทศไปสู่ความทันสมัยตามวิสัยทัศน์ Saudi Vision 2030 ที่ต้องการจะลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมันและเพิ่มช่องทางรายได้ให้มีความหลากหลายขึ้นไปด้วยในตัว โดยใช้การลงทุนในอุตสาหกรรมฟุตบอลเป็นเครื่องมือ

เจ้าของแหล่งเงินทุนดังกล่าวไม่ได้มีบทบาทเฉพาะการช่วยให้งบไปซื้อนักเตะและผู้จัดการทีมชื่อดังอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังช่วยวางแผนและเข้าไปเป็นตัวแทนการเจรจากับเอเยนต์ของนักเตะ/ผู้จัดการทีมเองอีกด้วย รวมทั้งวางแผนให้ว่าคนที่ซื้อมาแล้วควรสังกัดกับทีมใด เพื่อทำให้ไม่เกิดห่างชั้นระหว่างทีมในลีกมากจนเกินไป เพราะเดี๋ยวจะแข่งขันกันไม่สนุก

นอกจากนี้ กองทุนดังกล่าวยังช่วยสนับสนุนเงินค่าจ้างมืออาชีพจากยุโรปเข้ามาทำงานให้ เพื่อทำให้รูปแบบการแข่งขันของลีกออกมามีมาตรฐานเทียบเท่ากับที่ดูจากทวีปยุโรป เช่น ปัจจุบันซีอีโอที่บริหารลีกซาอุฯ คือ แกรี่ คุก ที่ในอดีตเคยผ่านการบริหารทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และบริษัทไนกี้มาแล้ว

ยังไม่ใช่แค่นั้น เพราะกองทุน PIF ยังเข้าไปลงทุน/เทคโอเวอร์ในหลายทีมในยุโรปอีกด้วยเพื่อไปเรียนรู้ถึงวิทยาการความก้าวหน้า และองค์ความรู้ในการจัดการของทีมฟุตบอลและนำมาถ่ายทอดให้กับซาอุฯ โดยมีตัวอย่างที่ชัดเจน คือ สโมสรนิวคาสเซิลของอังกฤษ ที่ปัจจุบันครอบครองโดยกลุ่มทุน PIF


ถึงแม้ว่ามีเป้าหมายที่จะยกระดับไปเทียบชั้นกับลีกชั้นนำของยุโรป เช่น พรีเมียร์ลีกของอังกฤษ ลาลีกาของสเปน และกัลโช่ เซเรียอาของอิตาลี ดูจะยากให้เกิดขึ้นได้จริงในเร็ววันนี้ แต่ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นก็มากพอที่จะทำให้สปอตไลท์ของวงการฟุตบอลได้ฉายไปสู่ซาอุฯ แถมยังเป็นการเตรียมสร้างโปรไฟล์เพื่อนำไปสู่การยื่นขอสิทธิการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปี 2030 ที่จะเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับ Saudi Vision 2030 อีกด้วย

ถ้าหากการขอสิทธิ์เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก และวิสัยทัศน์การพัฒนาดังกล่าวเกิดขึ้นได้จริง ก็จะเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ของซาอุฯ ที่จะประกาศให้โลกได้รับรู้ว่าซาอุฯ ได้เปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัยแล้วนั่นเอง  

ปราศจากกฎเพดานการใช้เงิน (Financial Fair Play Regulations: FFP)

ปัจจุบันหลายประเทศมีกฎระเบียบควบคุมเพดานเงินเดือน/การใช้เงินจำนวนมาก ๆ เพื่อทุ่มซื้อนักฟุตบอลกันมากขึ้น ทำให้การใช้เงินของทุกทีมต้องคิดหน้าคิดหลัง เพราะอาจผิดกฎ Financial Fair Play ได้ เหมือนที่เชลซีเคยโดนลงโทษจากฟีฟ่ามาแล้ว

แต่ที่ซาอุฯ ไม่มีข้อห้ามแบบนั้น หลายสโมสรจึงทุ่มซื้อนักฟุตบอลและประเคนค่าเหนื่อยในระดับที่ยากต่อการปฏิเสธได้อย่างเต็มที่

ปัจจุบันมูลค่าค่าเหนื่อยของนักเตะชั้นนำที่เล่นอยู่ในซาอุฯ ก็มีมูลค่าเกินกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ (35,000 ล้านบาท) เข้าไปแล้ว และถ้านับเฉพาะแค่คริสเตียโน่ โรนัลโด้ คนเดียวก็ปาไป 200 ล้านดอลลาร์ (7,700 ล้านบาท) ต่อฤดูกาลแล้ว

ดังนั้น พี่ทุยจึงมองว่าเป็นข้อได้เปรียบมาก ๆ ของทีมฟุตบอลในซาอุฯ ในการล่าตัวนักเตะเข้าสู่ทีม

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่านักเตะ/ผู้จัดการทีมทุกคนจะใช้เงินฟาดได้ เพราะบางส่วนก็มีหลายเหตุผลที่จะเลือกเล่นให้กับสโมสร เช่น ลีโอเนล เมสซี่ ที่สุดท้ายเลือกลงเอยไปเล่นให้กับสโมสรอินเตอร์ ไมอามี ในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ในสหรัฐฯ หลังจากลังเลอยู่นานว่าจะไปเล่นที่ไหนดี โดยหนึ่งในตัวเลือกก็มีทีมจากซาอุฯ ยื่นข้อเสนอมาให้

ฟุตบอลลีกซาอุฯ จะล้มเหลวเหมือนลีกฟุตบอลในจีนมั้ย ?

เม็ดเงินที่อัดฉีดลงไปอย่างรวดเร็วของทีมต่าง ๆ ในซาอุฯ คงทำให้หลายฝ่ายเกรงกันว่าจะเกิดปัญหาฟองสบู่ซ้ำรอยเหมือนที่ไชนีส ซูเปอร์ลีกของจีนเคยประสบมา

เพราะในช่วงปี 2010-2018 เคยเป็นยุคที่ฟุตบอลอาชีพในลีกจีนกว้านซื้อนักเตะ/ผู้จัดการทีมชื่อดังก้องโลกจำนวนมากไปเล่นในลีก ไม่ว่าจะเป็น ฟาบิโอ คันนาวาโร่ (ผู้จัดการทีม), คาร์ลอส เตเบซ (นักเตะ), มารูยาน เฟลไลนี่ (นักเตะ) และออสการ์ (นักเตะ)

แต่สุดท้ายลีกจีนก็ไปได้ไม่สุด เพราะเจ้าของทีม/แหล่งเงินทุน ประสบปัญหาขาดทุน ทำให้บางทีมต้องปิดตัวลง บ้างก็ต้องขายสโมสรทิ้ง จนนำไปสู่กฎการกำหนดเพดานค่าตัวและค่าเหนื่อย (FFP) ขึ้นตามมาในที่สุด

แต่ของซาอุฯ อาจต่างออกไป เพราะระดับความจริงจังของภาครัฐต่อวงการฟุตบอลของซาอุฯ ดูจะมีมากกว่าของจีน ที่เอกชนทำกันเพียงอย่างเดียว เพราะอย่างที่บอกไว้ว่ากองทุนดังกล่าวจาก PIF ของซาอุฯ นอกจากมีมูลค่ามหาศาลแล้วยังมาพร้อมกับระบบการจัดการที่ดีด้วย

ปัจจุบัน PIF ได้ทำสัญญาสนับสนุน 4 สโมสรหลักในซาอุฯ ประกอบด้วย อัล-นาสเซอร์ อัล-ฮิลลาล อัล-อิตติฮัต และอัล-อาลี เป็นระยะเวลา 20 ปี รวมทั้งยังเป็นผู้สนับสนุนหลักของลีกเองอีกด้วย โดยดำเนินการผ่าน Roshn บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศที่ PIF ถือหุ้นใหญ่อยู่

ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของลีกซาอุฯ จะลงเอยอย่างที่หวังได้หรือไม่ แต่แนวทางการจัดการกลยุทธ์การบริหารงาน และบทเรียนจากลีกในต่างประเทศก็ดูน่าจะเป็นประโยชน์กับการจัดการไทยลีกของเราอยู่ไม่น้อย

พี่ทุยเชื่อว่าหากมีระบบการจัดการที่ดี บวกกับภาพลักษณ์ที่ดีมีความเป็นมืออาชีพ ก็จะทำให้มูลค่าไทยลีกกลับมาเป็นที่นิยมของคนไทยได้ไม่ยาก แต่อาจจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุก ๆ ฝ่ายที่สนใจพัฒนาฟุตบอลไทยจริง ๆ มากกว่าการหาผลประโยชน์เพื่อตนเองเพียงฝ่ายเดียว

ที่มา : https://www.moneybuffalo.in.th/economy/why-saudi-football-league-have-money-to-buy-more-than-200-million-euro-for-players
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่