ฟันธง การศึกษาไทยอาเพศ 4 เรื่อง ปัญหาครอบครัวกระทบ เด็กไทย มากสุด รมว.ศธ. ไม่เป็นคุณกับปมวิกฤต
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7816568
ฟันธง การศึกษาไทยอาเพศ 4 เรื่อง ชี้ปัญหาครอบครัวกระทบ “เด็กไทย” ถึง 50% ภาวะยากจน-เหลื่อมล้ำ ทวีหนัก-รุนแรง การเมืองน้ำเน่ามีส่วนด้วย รมว.ศธ. ไม่เป็นคุณกับมูลเหตุที่วิกฤต
16 ส.ค. 66 – ศ.ดร.
สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า ตั้งแต่เปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ได้เกิดอาเพศทางการศึกษา 4 เรื่องใหญ่ๆ ได้แก่
1. มีเด็กออกกลางคันประมาณ 1 แสนคน
2. เกิดกรณี น.ส.
ธนลภย์ หรือ
หยก ที่อยากเรียนต้องปีนรั้วเข้าโรงเรียน
3. เกิดการผลักเด็ก 126 คน กลับเมียนมาเพื่อไปเผชิญสงคราม
และ 4. กรณีน้องข้าว หรือพ่อลูกผูกคอตาย
มองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เป็นสิ่งผิดปกติในระบบการศึกษา อาจจะต้องทบทวน และตั้งคำถามว่าการศึกษาไทย มีอาเพศ หรือผิดปกติอะไร ทำไมปีนี้ถึงมีเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น กลับเกิดขึ้นได้
“ก
รณีสองพ่อลูกที่ผูกคอตายนั้น จากที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้ลงพื้นสำรวจผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบอะไรกับครอบครัวไทยบ้าง
โดย กสศ.สำรวจ 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ขอนแก่น ยะลา ราชบุรี และพิษณุโลก พบครอบครัวที่เหมือนกับสองพ่อลูกนี้ คือประสบปัญหาวิกฤตทางการเงิน ในแต่ละจังหวัดเฉลี่ย 350-400 คน ซึ่งตนไม่อยากคิดว่าหากรวมทั้ง 77 จังหวัด จะมีจำนวนเด็กมากขนาดไหน อย่างกรณีสองพ่อลูก เด็กซึ่งก็คือ น้องข้าว อยู่ในครอบครัววิกฤต 4 มิติ
คือ 1. อยู่ในครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว
2. เจอปัญหาเศรษฐกิจ คือพ่อไม่มีงานทำ จนตรอกหมดหนทาง ไปต่อไม่ได้
3. สภาพความเป็นอยู่ที่ไม่มีน้ำ และไฟฟ้าใช้
4.ชุมชนไม่สามารถช่วยเหลือ คุ้มครองเด็กได้มากเท่าที่ควร” ศ.ดร.
สมพงษ์ กล่าว
ศ.ดร.
สมพงษ์ กล่าวต่อว่า จากที่ กสศ.ตรวจสอบ พบว่า น้องข้าวได้รับทุน กสศ.มา 3 ปีแล้ว โดยได้รับทุนปีละ 3,000 บาท และปีนี้จะได้รับทุน กศส.เป็นปีที่ 4 ซึ่งตนมองว่า การช่วยเหลือเรื่องการศึกษาเพียงอย่างเดียว เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้เด็กมีโอกาสเข้าถึงการศึกษา แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ และความยากจนได้
ประเด็นนี้สังคมอาจต้องคิดหนักขึ้น เพราะปัญหาครอบครัวส่งผลกระทบต่อเด็กถึง 50% จากกรณีน้องข้าวทำให้ค้นพบ 4 เรื่อง คือ
1. ต้องช่วยเรื่องทุนการศึกษา
2. ต้องมีครูที่คอยติดตาม ให้คำแนะนำ และช่วยเหลือเด็ก
3. ต้องมีชุดสวัสดิการของเด็ก เช่น ค่าอาหารเช้า ค่าเดินทาง ค่าเสื้อผ้าให้เด็ก
และ 4. มีอาชีพให้กับครอบครัวด้วย
“
ขณะนี้ภาวะความยากจนกลับมาทวีหนัก และรุนแรงมากขึ้น ผมว่าอย่างน้อยๆ จะเจอความเหลื่อมล้ำที่วิกฤต 2-3 ปี และหน่วยราชการที่ไปช่วย ไม่ว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สำรวจเด็กเหล่านี้ไม่ถึง หรือเข้าไม่ถึงครอบครัวที่เดือดร้อน
ซึ่งมีโอกาสเกิดเหตุการณ์สลดเหมือนสองพ่อลูกผูกคอตายขึ้นอีก และขณะนี้สังคมไทยเกิดความเหลื่อมล้ำมาก ระหว่างครอบครัวที่ยากจนสุด กับครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุด ต่างกันถึง 25 เท่า และคุณภาพการศึกษาระหว่างในเมือง และชนบท ต่างกันถึง 2 ชั้นปี จะเห็นว่าความเหลื่อมล้ำกลับมากระหน่ำสังคมไทยอย่างรุนแรง” ศ.ดร.
สมพงษ์ กล่าว
ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวต่อว่า คิดว่าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ศธ.ขาดคนที่กล้าตัดสินใจเรื่องการศึกษา การได้ รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ที่รักษาการอยู่ทุกวันนี้ ไม่เป็นคุณกับปัญหาที่วิกฤต และหนักหน่วงรุนแรงขึ้น เรากำลังพบความมืดจากระบบการเมือง ไม่มีใครกล้าจับประเด็นปัญหา ไม่มีใครกล้าลงไปดูปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นสุญญากาศทางการเมือง
“
ขณะนี้จะเห็นสถานการณ์การเมืองที่กำลังจัดตั้งรัฐบาล ทำให้รู้ว่าการเมืองน้ำเน่าแบบเดิมจะกลับมาอีก แบ่งกระทรวงเหมือนเดิม จะได้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.มาตามโควตา ไม่เห็นมิติการทำงานใหม่ๆ คือมาปกครอง แต่ไม่ทำให้การศึกษาดีขึ้น
มองว่ากำลังเข้าสู่วงจรแห่งความล้าหลัง ไม่กล้าตัดสินใจ อยู่แบบตัวใครตัวมัน ไม่มีใครใส่ใจชีวิตของเด็ก ความยากจน ความค้นแค้น ตนไม่อยากให้ความสูญเสียครั้งนี้ เป็นการสูญเปล่าในสังคมไทย” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
“ก้าวไกล” จ่อชงญัตติ ให้สภาฯ พิจารณาออกเสียงประชามติ ถามความเห็นทำรธน.ใหม่
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7816561
“ก้าวไกล” จ่อชงญัตติ ให้สภาฯ พิจารณาออกเสียงประชามติ ถามความเห็นประชาชนจัดทำรธน.ใหม่ทั้งฉบับ ยันไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายพรรคเคยเห็นด้วย
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 16 ส.ค.2566 ที่รัฐสภา พรรคก้าวไกล นำโดย นาย
พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงว่าพรรคก้าวไกลจะเสนอญัตติเรื่องให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเห็นชอบ และแจ้งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติ เพื่อสอบถามความเห็นของประชาชนต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งพรรคก้าวไกลยืนยันเรื่องนี้มาตลอด เนื่องจากเห็นว่ารัฐธรรมนูญ 60 ขาดความชอบธรรม นำพาวิกฤตการเมืองมาสู่ประเทศ
ซึ่งการดำเนินการตามขั้นตอนรัฐธรรมนูญ 60 เป็นไปได้ที่ประชาชนจะเข้าคูหา 4 ครั้ง โดยขั้นตอนแรกคือจัดทำประชามติครั้งที่ 1 ก่อนเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อถามประชาชนว่าเห็นด้วยให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม แม้ไม่มีความจำเป็นทางกฎหมาย แต่หากผลออกมาชัดว่าประชาชนอยากให้จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ จะทำให้รัฐสภาไม่สามารถขัดขวางเจตจำนงประชาชนได้ ถือเป็นกระดุมเม็ดแรกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อสะท้อนฉันมามติประชาชนจริงๆ
ทั้งนี้ คำถามว่าควรเห็นชอบหรือไม่ว่าประเทศไทยควรจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับแทนที่รัฐธรรมนูญ 60 โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เหตุผลคือ การถามคำถามลักษณะนี้เป็นการถามถึงหลักการสำคัญว่าควรร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับหรือไม่ ซึ่งพรรคก้าวไกลเห็นว่าควรร่างใหม่ทั้งฉบับ
คำถามนี้ยังถามถึงหลักการสำคัญว่าสสร. ควรมาจากการเลือกตั้ง 100% หรือไม่ ซึ่งเรามองว่าเป็นคำถามที่เข้าใจง่ายไม่ชี้นำ แตกต่างจากปี 59 ที่มีคำถามพ่วงในลักษณะซ้ำซ้อนชี้นำ และคำถามประชามตินี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นคำถามที่ทุกพรรคการเมืองเคยผ่านความเห็นชอบมาก่อน ในการประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 3 พ.ย.65
นายพริษฐ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ถ้าอิงตาม พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ปี 64 สามารถทำได้ 3 ช่องทาง คือ
1. ทำได้โดยครม. ออกมติด้วยตนเอง
2. ประชาชนเข้าชื่อ 5 หมื่นคน ให้ครม.พิจารณาอนุมัติ
3. เสนอโดยสมาชิกรัฐสภา เพื่อให้ครม.ดำเนินการ
เรามองว่าเพื่อความรวดเร็วในการทำประชามติ สามารถดำเนินการทั้ง 3 ช่องทางคู่ขนานกันได้ พรรคก้าวไกลจึงใช้กลไกสภาเสนอญัตติด่วนดังกล่าว โดยขอความร่วมมือทุกพรรคที่เห็นชอบว่าควรจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ให้ร่วมมือกับเรา โดยให้ญัตตินี้ถูกพิจารณาโดยเร็วที่สุด และให้เห็นด้วยกับคำถามที่เสนอไป
“
เมื่อมีการพูดถึงการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ อาจมีข้อกังวลจากบางภาคส่วนว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือไม่ ส่วนนี้ขอชี้แจงว่า การให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับนั้น ไม่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองได้ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 255 ปี 60 ระบุว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญใดๆก็ตามหรือการนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะต้องไม่ทำสองอย่างคือ ต้องไม่ทำเนื้อหาใดๆที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง และไม่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ” นายพริษฐ์ กล่าว
“ชัชชาติ” สั่งเฝ้าระวัง 3 โรคติดต่อในโรงเรียน ชี้มีโอกาสเสียชีวิตหากรักษาไม่ทัน
https://siamrath.co.th/n/470149
วันที่ 16 สิงหาคม 2566 เวลา 09.00 น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดโครงการ "
เสริมสร้างความสะอาดมีอนามัย ห่างไกลโรคติดต่อในโรงเรียน" ที่โรงเรียนวิชูทิศ เขตดินแดง ว่า ปัจจุบันพบโรคมือ เท้า ปากเพิ่มจากปีที่แล้ว 5 เท่า ส่วนใหญ่พบในศูนย์เด็กเล็กและในเด็กชั้นอนุบาลอายุไม่เกิน 5 ขวบ แนวทางป้องกัน คือ การทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสร่วมกัน เช่น ลูกบิดประตู ห้องน้ำ และบริเวณที่เด็กเล็กเล่นด้วยกัน ส่วนอาการของโรคมือ เท้า ปาก ที่พบคือ มีไข้ขึ้น 3 วัน จากนั้นมีตุ่มน้ำใสที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และในช่องปาก ทำให้รับประทานอาหารน้อยลง เป็นอันตรายต่อผู้ที่มีภูมิต้านทานน้อย โดยโรคดังกล่าวมีโอกาสเสียชีวิตได้แต่ยังพบไม่มาก ในปี 2566 ยังไม่พบผู้เสียชีวิต
กรณีเป็นโรคดังกล่าว เบื้องต้นสามารถดูแลตนเองได้ด้วยการรับประทานยาลดไข้ ใช้เวลา 5-7 วันอาการจะดีขึ้น แต่ควรระวังเพราะเป็นโรคติดต่อง่ายจากการสัมผัส สำหรับในโรงเรียนมีเกณฑ์กำหนดว่าหากพบเด็กติดโรคตามเกณฑ์ต้องปิดห้องเรียน หากพบหลายห้องให้ปิดชั้นเรียน เป็นต้น สามารถใช้ผงซักฟอกหรือน้ำยาทำความสะอาดทั่วไปฆ่าเชื้อโรคเป็นประจำเพื่อลดโรคดังกล่าวได้ หรืออย่างน้อยทำความสะอาดพื้นที่อาศัยวันละ 1 ครั้ง
อีกโรคคือ ไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ พบมากในเด็กที่เล่นคลุกคลีด้วยกัน ผู้ปกครองเด็กควรหมั่นสังเกตบุตรหลานหากมีอาการไอ จาม ควรให้เด็กหยุดพักอยู่ที่บ้าน หรือหากคุณครูพบเด็กมีอาการไอ จาม ควรแยกนักเรียนออก เพื่อป้องกันการติดต่อ ทั้งนี้ หากเป็นเด็กเล็กที่ไม่ได้รับการรักษาทันถ่วงทีจะมีอันตรายมาก
นอกจากนี้ ยังมีโรคไข้เลือดออก เนื่องจากช่วงนี้มีฝนตกจึงทำให้พบโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้น จึงได้ประสานงานกับสำนักงานเขตและสำนักการศึกษาเพื่อช่วยกันกำจัดแหล่งกำเนิดลูกน้ำยุงลาย อย่างไรก็ตาม กทม.ได้เตรียมการเฝ้าระวังทั้ง 3 โรคอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะในโรงเรียน
สำหรับข้อมูลด้านโรคไข้เลือดออก ล่าสุดมีผู้ป่วยสะสมในพื้นที่ กทม. 4,265 ราย อัตราป่วย 77.62 ต่อแสนประชากร เสียชีวิต 4 ราย ขณะที่ภาพรวมผู้ป่วยสะสมทั้งประเทศ 59,372 ราย อัตราป่วย 89.83 ต่อแสนประชากร เสียชีวิต 49 ราย โดยกลุ่มผู้ป่วยตามช่วงอายุ 5-14 ปี ซึ่งพบมากสุดอยู่ที่ ร้อยละ 175.25 รองลงมา ช่วงอายุ 15-34 ปี อยู่ที่ร้อยละ 128.95
ส่วนแขวงที่มีอัตราป่วยสูงสุด คือ ชนะสงคราม เขตพระนคร ร้อยละ 117.30 รองลงมา แขวงจันเกษม เขตจตุจักร 73.93 และแขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง 65.36
JJNY : การศึกษาไทยอาเพศ 4 เรื่อง│“ก้าวไกล”จ่อชงญัตติ│“ชัชชาติ” สั่งเฝ้าระวัง 3 โรคติดต่อ│เวียดนามประกาศมีข้าวพอส่งออก
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7816568
ฟันธง การศึกษาไทยอาเพศ 4 เรื่อง ชี้ปัญหาครอบครัวกระทบ “เด็กไทย” ถึง 50% ภาวะยากจน-เหลื่อมล้ำ ทวีหนัก-รุนแรง การเมืองน้ำเน่ามีส่วนด้วย รมว.ศธ. ไม่เป็นคุณกับมูลเหตุที่วิกฤต
16 ส.ค. 66 – ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า ตั้งแต่เปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ได้เกิดอาเพศทางการศึกษา 4 เรื่องใหญ่ๆ ได้แก่
1. มีเด็กออกกลางคันประมาณ 1 แสนคน
2. เกิดกรณี น.ส.ธนลภย์ หรือหยก ที่อยากเรียนต้องปีนรั้วเข้าโรงเรียน
3. เกิดการผลักเด็ก 126 คน กลับเมียนมาเพื่อไปเผชิญสงคราม
และ 4. กรณีน้องข้าว หรือพ่อลูกผูกคอตาย
มองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เป็นสิ่งผิดปกติในระบบการศึกษา อาจจะต้องทบทวน และตั้งคำถามว่าการศึกษาไทย มีอาเพศ หรือผิดปกติอะไร ทำไมปีนี้ถึงมีเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น กลับเกิดขึ้นได้
“กรณีสองพ่อลูกที่ผูกคอตายนั้น จากที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้ลงพื้นสำรวจผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบอะไรกับครอบครัวไทยบ้าง
โดย กสศ.สำรวจ 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ขอนแก่น ยะลา ราชบุรี และพิษณุโลก พบครอบครัวที่เหมือนกับสองพ่อลูกนี้ คือประสบปัญหาวิกฤตทางการเงิน ในแต่ละจังหวัดเฉลี่ย 350-400 คน ซึ่งตนไม่อยากคิดว่าหากรวมทั้ง 77 จังหวัด จะมีจำนวนเด็กมากขนาดไหน อย่างกรณีสองพ่อลูก เด็กซึ่งก็คือ น้องข้าว อยู่ในครอบครัววิกฤต 4 มิติ
คือ 1. อยู่ในครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว
2. เจอปัญหาเศรษฐกิจ คือพ่อไม่มีงานทำ จนตรอกหมดหนทาง ไปต่อไม่ได้
3. สภาพความเป็นอยู่ที่ไม่มีน้ำ และไฟฟ้าใช้
4.ชุมชนไม่สามารถช่วยเหลือ คุ้มครองเด็กได้มากเท่าที่ควร” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวต่อว่า จากที่ กสศ.ตรวจสอบ พบว่า น้องข้าวได้รับทุน กสศ.มา 3 ปีแล้ว โดยได้รับทุนปีละ 3,000 บาท และปีนี้จะได้รับทุน กศส.เป็นปีที่ 4 ซึ่งตนมองว่า การช่วยเหลือเรื่องการศึกษาเพียงอย่างเดียว เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้เด็กมีโอกาสเข้าถึงการศึกษา แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ และความยากจนได้
ประเด็นนี้สังคมอาจต้องคิดหนักขึ้น เพราะปัญหาครอบครัวส่งผลกระทบต่อเด็กถึง 50% จากกรณีน้องข้าวทำให้ค้นพบ 4 เรื่อง คือ
1. ต้องช่วยเรื่องทุนการศึกษา
2. ต้องมีครูที่คอยติดตาม ให้คำแนะนำ และช่วยเหลือเด็ก
3. ต้องมีชุดสวัสดิการของเด็ก เช่น ค่าอาหารเช้า ค่าเดินทาง ค่าเสื้อผ้าให้เด็ก
และ 4. มีอาชีพให้กับครอบครัวด้วย
“ขณะนี้ภาวะความยากจนกลับมาทวีหนัก และรุนแรงมากขึ้น ผมว่าอย่างน้อยๆ จะเจอความเหลื่อมล้ำที่วิกฤต 2-3 ปี และหน่วยราชการที่ไปช่วย ไม่ว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สำรวจเด็กเหล่านี้ไม่ถึง หรือเข้าไม่ถึงครอบครัวที่เดือดร้อน
ซึ่งมีโอกาสเกิดเหตุการณ์สลดเหมือนสองพ่อลูกผูกคอตายขึ้นอีก และขณะนี้สังคมไทยเกิดความเหลื่อมล้ำมาก ระหว่างครอบครัวที่ยากจนสุด กับครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุด ต่างกันถึง 25 เท่า และคุณภาพการศึกษาระหว่างในเมือง และชนบท ต่างกันถึง 2 ชั้นปี จะเห็นว่าความเหลื่อมล้ำกลับมากระหน่ำสังคมไทยอย่างรุนแรง” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวต่อว่า คิดว่าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ศธ.ขาดคนที่กล้าตัดสินใจเรื่องการศึกษา การได้ รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ที่รักษาการอยู่ทุกวันนี้ ไม่เป็นคุณกับปัญหาที่วิกฤต และหนักหน่วงรุนแรงขึ้น เรากำลังพบความมืดจากระบบการเมือง ไม่มีใครกล้าจับประเด็นปัญหา ไม่มีใครกล้าลงไปดูปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นสุญญากาศทางการเมือง
“ขณะนี้จะเห็นสถานการณ์การเมืองที่กำลังจัดตั้งรัฐบาล ทำให้รู้ว่าการเมืองน้ำเน่าแบบเดิมจะกลับมาอีก แบ่งกระทรวงเหมือนเดิม จะได้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.มาตามโควตา ไม่เห็นมิติการทำงานใหม่ๆ คือมาปกครอง แต่ไม่ทำให้การศึกษาดีขึ้น
มองว่ากำลังเข้าสู่วงจรแห่งความล้าหลัง ไม่กล้าตัดสินใจ อยู่แบบตัวใครตัวมัน ไม่มีใครใส่ใจชีวิตของเด็ก ความยากจน ความค้นแค้น ตนไม่อยากให้ความสูญเสียครั้งนี้ เป็นการสูญเปล่าในสังคมไทย” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
“ก้าวไกล” จ่อชงญัตติ ให้สภาฯ พิจารณาออกเสียงประชามติ ถามความเห็นทำรธน.ใหม่
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7816561
“ก้าวไกล” จ่อชงญัตติ ให้สภาฯ พิจารณาออกเสียงประชามติ ถามความเห็นประชาชนจัดทำรธน.ใหม่ทั้งฉบับ ยันไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายพรรคเคยเห็นด้วย
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 16 ส.ค.2566 ที่รัฐสภา พรรคก้าวไกล นำโดย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงว่าพรรคก้าวไกลจะเสนอญัตติเรื่องให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเห็นชอบ และแจ้งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติ เพื่อสอบถามความเห็นของประชาชนต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งพรรคก้าวไกลยืนยันเรื่องนี้มาตลอด เนื่องจากเห็นว่ารัฐธรรมนูญ 60 ขาดความชอบธรรม นำพาวิกฤตการเมืองมาสู่ประเทศ
ซึ่งการดำเนินการตามขั้นตอนรัฐธรรมนูญ 60 เป็นไปได้ที่ประชาชนจะเข้าคูหา 4 ครั้ง โดยขั้นตอนแรกคือจัดทำประชามติครั้งที่ 1 ก่อนเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อถามประชาชนว่าเห็นด้วยให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
อย่างไรก็ตาม แม้ไม่มีความจำเป็นทางกฎหมาย แต่หากผลออกมาชัดว่าประชาชนอยากให้จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ จะทำให้รัฐสภาไม่สามารถขัดขวางเจตจำนงประชาชนได้ ถือเป็นกระดุมเม็ดแรกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อสะท้อนฉันมามติประชาชนจริงๆ
ทั้งนี้ คำถามว่าควรเห็นชอบหรือไม่ว่าประเทศไทยควรจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับแทนที่รัฐธรรมนูญ 60 โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เหตุผลคือ การถามคำถามลักษณะนี้เป็นการถามถึงหลักการสำคัญว่าควรร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับหรือไม่ ซึ่งพรรคก้าวไกลเห็นว่าควรร่างใหม่ทั้งฉบับ
คำถามนี้ยังถามถึงหลักการสำคัญว่าสสร. ควรมาจากการเลือกตั้ง 100% หรือไม่ ซึ่งเรามองว่าเป็นคำถามที่เข้าใจง่ายไม่ชี้นำ แตกต่างจากปี 59 ที่มีคำถามพ่วงในลักษณะซ้ำซ้อนชี้นำ และคำถามประชามตินี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นคำถามที่ทุกพรรคการเมืองเคยผ่านความเห็นชอบมาก่อน ในการประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 3 พ.ย.65
นายพริษฐ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ถ้าอิงตาม พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ปี 64 สามารถทำได้ 3 ช่องทาง คือ
1. ทำได้โดยครม. ออกมติด้วยตนเอง
2. ประชาชนเข้าชื่อ 5 หมื่นคน ให้ครม.พิจารณาอนุมัติ
3. เสนอโดยสมาชิกรัฐสภา เพื่อให้ครม.ดำเนินการ
เรามองว่าเพื่อความรวดเร็วในการทำประชามติ สามารถดำเนินการทั้ง 3 ช่องทางคู่ขนานกันได้ พรรคก้าวไกลจึงใช้กลไกสภาเสนอญัตติด่วนดังกล่าว โดยขอความร่วมมือทุกพรรคที่เห็นชอบว่าควรจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ให้ร่วมมือกับเรา โดยให้ญัตตินี้ถูกพิจารณาโดยเร็วที่สุด และให้เห็นด้วยกับคำถามที่เสนอไป
“เมื่อมีการพูดถึงการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ อาจมีข้อกังวลจากบางภาคส่วนว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือไม่ ส่วนนี้ขอชี้แจงว่า การให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับนั้น ไม่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองได้ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 255 ปี 60 ระบุว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญใดๆก็ตามหรือการนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะต้องไม่ทำสองอย่างคือ ต้องไม่ทำเนื้อหาใดๆที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง และไม่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ” นายพริษฐ์ กล่าว
“ชัชชาติ” สั่งเฝ้าระวัง 3 โรคติดต่อในโรงเรียน ชี้มีโอกาสเสียชีวิตหากรักษาไม่ทัน
https://siamrath.co.th/n/470149
วันที่ 16 สิงหาคม 2566 เวลา 09.00 น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดโครงการ "เสริมสร้างความสะอาดมีอนามัย ห่างไกลโรคติดต่อในโรงเรียน" ที่โรงเรียนวิชูทิศ เขตดินแดง ว่า ปัจจุบันพบโรคมือ เท้า ปากเพิ่มจากปีที่แล้ว 5 เท่า ส่วนใหญ่พบในศูนย์เด็กเล็กและในเด็กชั้นอนุบาลอายุไม่เกิน 5 ขวบ แนวทางป้องกัน คือ การทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสร่วมกัน เช่น ลูกบิดประตู ห้องน้ำ และบริเวณที่เด็กเล็กเล่นด้วยกัน ส่วนอาการของโรคมือ เท้า ปาก ที่พบคือ มีไข้ขึ้น 3 วัน จากนั้นมีตุ่มน้ำใสที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และในช่องปาก ทำให้รับประทานอาหารน้อยลง เป็นอันตรายต่อผู้ที่มีภูมิต้านทานน้อย โดยโรคดังกล่าวมีโอกาสเสียชีวิตได้แต่ยังพบไม่มาก ในปี 2566 ยังไม่พบผู้เสียชีวิต
กรณีเป็นโรคดังกล่าว เบื้องต้นสามารถดูแลตนเองได้ด้วยการรับประทานยาลดไข้ ใช้เวลา 5-7 วันอาการจะดีขึ้น แต่ควรระวังเพราะเป็นโรคติดต่อง่ายจากการสัมผัส สำหรับในโรงเรียนมีเกณฑ์กำหนดว่าหากพบเด็กติดโรคตามเกณฑ์ต้องปิดห้องเรียน หากพบหลายห้องให้ปิดชั้นเรียน เป็นต้น สามารถใช้ผงซักฟอกหรือน้ำยาทำความสะอาดทั่วไปฆ่าเชื้อโรคเป็นประจำเพื่อลดโรคดังกล่าวได้ หรืออย่างน้อยทำความสะอาดพื้นที่อาศัยวันละ 1 ครั้ง
อีกโรคคือ ไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ พบมากในเด็กที่เล่นคลุกคลีด้วยกัน ผู้ปกครองเด็กควรหมั่นสังเกตบุตรหลานหากมีอาการไอ จาม ควรให้เด็กหยุดพักอยู่ที่บ้าน หรือหากคุณครูพบเด็กมีอาการไอ จาม ควรแยกนักเรียนออก เพื่อป้องกันการติดต่อ ทั้งนี้ หากเป็นเด็กเล็กที่ไม่ได้รับการรักษาทันถ่วงทีจะมีอันตรายมาก
นอกจากนี้ ยังมีโรคไข้เลือดออก เนื่องจากช่วงนี้มีฝนตกจึงทำให้พบโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้น จึงได้ประสานงานกับสำนักงานเขตและสำนักการศึกษาเพื่อช่วยกันกำจัดแหล่งกำเนิดลูกน้ำยุงลาย อย่างไรก็ตาม กทม.ได้เตรียมการเฝ้าระวังทั้ง 3 โรคอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะในโรงเรียน
สำหรับข้อมูลด้านโรคไข้เลือดออก ล่าสุดมีผู้ป่วยสะสมในพื้นที่ กทม. 4,265 ราย อัตราป่วย 77.62 ต่อแสนประชากร เสียชีวิต 4 ราย ขณะที่ภาพรวมผู้ป่วยสะสมทั้งประเทศ 59,372 ราย อัตราป่วย 89.83 ต่อแสนประชากร เสียชีวิต 49 ราย โดยกลุ่มผู้ป่วยตามช่วงอายุ 5-14 ปี ซึ่งพบมากสุดอยู่ที่ ร้อยละ 175.25 รองลงมา ช่วงอายุ 15-34 ปี อยู่ที่ร้อยละ 128.95
ส่วนแขวงที่มีอัตราป่วยสูงสุด คือ ชนะสงคราม เขตพระนคร ร้อยละ 117.30 รองลงมา แขวงจันเกษม เขตจตุจักร 73.93 และแขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง 65.36