JJNY : การศึกษาไทยอาเพศ 4 เรื่อง│“ก้าวไกล”จ่อชงญัตติ│“ชัชชาติ” สั่งเฝ้าระวัง 3 โรคติดต่อ│เวียดนามประกาศมีข้าวพอส่งออก

ฟันธง การศึกษาไทยอาเพศ 4 เรื่อง ปัญหาครอบครัวกระทบ เด็กไทย มากสุด รมว.ศธ. ไม่เป็นคุณกับปมวิกฤต
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7816568
 
 
ฟันธง การศึกษาไทยอาเพศ 4 เรื่อง ชี้ปัญหาครอบครัวกระทบ “เด็กไทย” ถึง 50% ภาวะยากจน-เหลื่อมล้ำ ทวีหนัก-รุนแรง การเมืองน้ำเน่ามีส่วนด้วย รมว.ศธ. ไม่เป็นคุณกับมูลเหตุที่วิกฤต
 
16 ส.ค. 66 – ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า ตั้งแต่เปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ได้เกิดอาเพศทางการศึกษา 4 เรื่องใหญ่ๆ ได้แก่ 
1. มีเด็กออกกลางคันประมาณ 1 แสนคน 
2. เกิดกรณี น.ส.ธนลภย์ หรือหยก ที่อยากเรียนต้องปีนรั้วเข้าโรงเรียน 
3. เกิดการผลักเด็ก 126 คน กลับเมียนมาเพื่อไปเผชิญสงคราม 
และ 4. กรณีน้องข้าว หรือพ่อลูกผูกคอตาย
 
มองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เป็นสิ่งผิดปกติในระบบการศึกษา อาจจะต้องทบทวน และตั้งคำถามว่าการศึกษาไทย มีอาเพศ หรือผิดปกติอะไร ทำไมปีนี้ถึงมีเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น กลับเกิดขึ้นได้
 
“กรณีสองพ่อลูกที่ผูกคอตายนั้น จากที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้ลงพื้นสำรวจผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบอะไรกับครอบครัวไทยบ้าง
 
โดย กสศ.สำรวจ 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ ขอนแก่น ยะลา ราชบุรี และพิษณุโลก พบครอบครัวที่เหมือนกับสองพ่อลูกนี้ คือประสบปัญหาวิกฤตทางการเงิน ในแต่ละจังหวัดเฉลี่ย 350-400 คน ซึ่งตนไม่อยากคิดว่าหากรวมทั้ง 77 จังหวัด จะมีจำนวนเด็กมากขนาดไหน อย่างกรณีสองพ่อลูก เด็กซึ่งก็คือ น้องข้าว อยู่ในครอบครัววิกฤต 4 มิติ
 
คือ 1. อยู่ในครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว 
2. เจอปัญหาเศรษฐกิจ คือพ่อไม่มีงานทำ จนตรอกหมดหนทาง ไปต่อไม่ได้ 
3. สภาพความเป็นอยู่ที่ไม่มีน้ำ และไฟฟ้าใช้
4.ชุมชนไม่สามารถช่วยเหลือ คุ้มครองเด็กได้มากเท่าที่ควร” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
 
ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวต่อว่า จากที่ กสศ.ตรวจสอบ พบว่า น้องข้าวได้รับทุน กสศ.มา 3 ปีแล้ว โดยได้รับทุนปีละ 3,000 บาท และปีนี้จะได้รับทุน กศส.เป็นปีที่ 4 ซึ่งตนมองว่า การช่วยเหลือเรื่องการศึกษาเพียงอย่างเดียว เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้เด็กมีโอกาสเข้าถึงการศึกษา แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ และความยากจนได้
 
ประเด็นนี้สังคมอาจต้องคิดหนักขึ้น เพราะปัญหาครอบครัวส่งผลกระทบต่อเด็กถึง 50% จากกรณีน้องข้าวทำให้ค้นพบ 4 เรื่อง คือ 
1. ต้องช่วยเรื่องทุนการศึกษา 
2. ต้องมีครูที่คอยติดตาม ให้คำแนะนำ และช่วยเหลือเด็ก 
3. ต้องมีชุดสวัสดิการของเด็ก เช่น ค่าอาหารเช้า ค่าเดินทาง ค่าเสื้อผ้าให้เด็ก 
และ 4. มีอาชีพให้กับครอบครัวด้วย
 
ขณะนี้ภาวะความยากจนกลับมาทวีหนัก และรุนแรงมากขึ้น ผมว่าอย่างน้อยๆ จะเจอความเหลื่อมล้ำที่วิกฤต 2-3 ปี และหน่วยราชการที่ไปช่วย ไม่ว่า กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สำรวจเด็กเหล่านี้ไม่ถึง หรือเข้าไม่ถึงครอบครัวที่เดือดร้อน
 
ซึ่งมีโอกาสเกิดเหตุการณ์สลดเหมือนสองพ่อลูกผูกคอตายขึ้นอีก และขณะนี้สังคมไทยเกิดความเหลื่อมล้ำมาก ระหว่างครอบครัวที่ยากจนสุด กับครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุด ต่างกันถึง 25 เท่า และคุณภาพการศึกษาระหว่างในเมือง และชนบท ต่างกันถึง 2 ชั้นปี จะเห็นว่าความเหลื่อมล้ำกลับมากระหน่ำสังคมไทยอย่างรุนแรง” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
 
ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าวต่อว่า คิดว่าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ศธ.ขาดคนที่กล้าตัดสินใจเรื่องการศึกษา การได้ รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ที่รักษาการอยู่ทุกวันนี้ ไม่เป็นคุณกับปัญหาที่วิกฤต และหนักหน่วงรุนแรงขึ้น เรากำลังพบความมืดจากระบบการเมือง ไม่มีใครกล้าจับประเด็นปัญหา ไม่มีใครกล้าลงไปดูปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นสุญญากาศทางการเมือง

ขณะนี้จะเห็นสถานการณ์การเมืองที่กำลังจัดตั้งรัฐบาล ทำให้รู้ว่าการเมืองน้ำเน่าแบบเดิมจะกลับมาอีก แบ่งกระทรวงเหมือนเดิม จะได้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.มาตามโควตา ไม่เห็นมิติการทำงานใหม่ๆ คือมาปกครอง แต่ไม่ทำให้การศึกษาดีขึ้น
 
มองว่ากำลังเข้าสู่วงจรแห่งความล้าหลัง ไม่กล้าตัดสินใจ อยู่แบบตัวใครตัวมัน ไม่มีใครใส่ใจชีวิตของเด็ก ความยากจน ความค้นแค้น ตนไม่อยากให้ความสูญเสียครั้งนี้ เป็นการสูญเปล่าในสังคมไทย” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว



“ก้าวไกล” จ่อชงญัตติ ให้สภาฯ พิจารณาออกเสียงประชามติ ถามความเห็นทำรธน.ใหม่
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7816561

“ก้าวไกล” จ่อชงญัตติ ให้สภาฯ พิจารณาออกเสียงประชามติ ถามความเห็นประชาชนจัดทำรธน.ใหม่ทั้งฉบับ ยันไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายพรรคเคยเห็นด้วย
 
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 16 ส.ค.2566 ที่รัฐสภา พรรคก้าวไกล นำโดย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงว่าพรรคก้าวไกลจะเสนอญัตติเรื่องให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเห็นชอบ และแจ้งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติ เพื่อสอบถามความเห็นของประชาชนต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งพรรคก้าวไกลยืนยันเรื่องนี้มาตลอด เนื่องจากเห็นว่ารัฐธรรมนูญ 60 ขาดความชอบธรรม นำพาวิกฤตการเมืองมาสู่ประเทศ
 
ซึ่งการดำเนินการตามขั้นตอนรัฐธรรมนูญ 60 เป็นไปได้ที่ประชาชนจะเข้าคูหา 4 ครั้ง โดยขั้นตอนแรกคือจัดทำประชามติครั้งที่ 1 ก่อนเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อถามประชาชนว่าเห็นด้วยให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
 
อย่างไรก็ตาม แม้ไม่มีความจำเป็นทางกฎหมาย แต่หากผลออกมาชัดว่าประชาชนอยากให้จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ จะทำให้รัฐสภาไม่สามารถขัดขวางเจตจำนงประชาชนได้ ถือเป็นกระดุมเม็ดแรกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อสะท้อนฉันมามติประชาชนจริงๆ
 
ทั้งนี้ คำถามว่าควรเห็นชอบหรือไม่ว่าประเทศไทยควรจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับแทนที่รัฐธรรมนูญ 60 โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เหตุผลคือ การถามคำถามลักษณะนี้เป็นการถามถึงหลักการสำคัญว่าควรร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับหรือไม่ ซึ่งพรรคก้าวไกลเห็นว่าควรร่างใหม่ทั้งฉบับ
 
คำถามนี้ยังถามถึงหลักการสำคัญว่าสสร. ควรมาจากการเลือกตั้ง 100% หรือไม่ ซึ่งเรามองว่าเป็นคำถามที่เข้าใจง่ายไม่ชี้นำ แตกต่างจากปี 59 ที่มีคำถามพ่วงในลักษณะซ้ำซ้อนชี้นำ และคำถามประชามตินี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นคำถามที่ทุกพรรคการเมืองเคยผ่านความเห็นชอบมาก่อน ในการประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 3 พ.ย.65
 
นายพริษฐ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ถ้าอิงตาม พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ปี 64 สามารถทำได้ 3 ช่องทาง คือ
 
1. ทำได้โดยครม. ออกมติด้วยตนเอง
2. ประชาชนเข้าชื่อ 5 หมื่นคน ให้ครม.พิจารณาอนุมัติ
3. เสนอโดยสมาชิกรัฐสภา เพื่อให้ครม.ดำเนินการ
 
เรามองว่าเพื่อความรวดเร็วในการทำประชามติ สามารถดำเนินการทั้ง 3 ช่องทางคู่ขนานกันได้ พรรคก้าวไกลจึงใช้กลไกสภาเสนอญัตติด่วนดังกล่าว โดยขอความร่วมมือทุกพรรคที่เห็นชอบว่าควรจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ให้ร่วมมือกับเรา โดยให้ญัตตินี้ถูกพิจารณาโดยเร็วที่สุด และให้เห็นด้วยกับคำถามที่เสนอไป

เมื่อมีการพูดถึงการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ อาจมีข้อกังวลจากบางภาคส่วนว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือไม่ ส่วนนี้ขอชี้แจงว่า การให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับนั้น ไม่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองได้ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 255 ปี 60 ระบุว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญใดๆก็ตามหรือการนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะต้องไม่ทำสองอย่างคือ ต้องไม่ทำเนื้อหาใดๆที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง และไม่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ” นายพริษฐ์ กล่าว


  

“ชัชชาติ” สั่งเฝ้าระวัง 3 โรคติดต่อในโรงเรียน ชี้มีโอกาสเสียชีวิตหากรักษาไม่ทัน
https://siamrath.co.th/n/470149

วันที่ 16 สิงหาคม 2566 เวลา 09.00 น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดโครงการ "เสริมสร้างความสะอาดมีอนามัย ห่างไกลโรคติดต่อในโรงเรียน" ที่โรงเรียนวิชูทิศ เขตดินแดง ว่า ปัจจุบันพบโรคมือ เท้า ปากเพิ่มจากปีที่แล้ว 5 เท่า ส่วนใหญ่พบในศูนย์เด็กเล็กและในเด็กชั้นอนุบาลอายุไม่เกิน 5 ขวบ แนวทางป้องกัน คือ การทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสร่วมกัน เช่น ลูกบิดประตู ห้องน้ำ และบริเวณที่เด็กเล็กเล่นด้วยกัน ส่วนอาการของโรคมือ เท้า ปาก ที่พบคือ มีไข้ขึ้น 3 วัน จากนั้นมีตุ่มน้ำใสที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และในช่องปาก ทำให้รับประทานอาหารน้อยลง เป็นอันตรายต่อผู้ที่มีภูมิต้านทานน้อย โดยโรคดังกล่าวมีโอกาสเสียชีวิตได้แต่ยังพบไม่มาก ในปี 2566 ยังไม่พบผู้เสียชีวิต
 
กรณีเป็นโรคดังกล่าว เบื้องต้นสามารถดูแลตนเองได้ด้วยการรับประทานยาลดไข้ ใช้เวลา 5-7 วันอาการจะดีขึ้น แต่ควรระวังเพราะเป็นโรคติดต่อง่ายจากการสัมผัส สำหรับในโรงเรียนมีเกณฑ์กำหนดว่าหากพบเด็กติดโรคตามเกณฑ์ต้องปิดห้องเรียน หากพบหลายห้องให้ปิดชั้นเรียน เป็นต้น สามารถใช้ผงซักฟอกหรือน้ำยาทำความสะอาดทั่วไปฆ่าเชื้อโรคเป็นประจำเพื่อลดโรคดังกล่าวได้ หรืออย่างน้อยทำความสะอาดพื้นที่อาศัยวันละ 1 ครั้ง
 
อีกโรคคือ ไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ พบมากในเด็กที่เล่นคลุกคลีด้วยกัน ผู้ปกครองเด็กควรหมั่นสังเกตบุตรหลานหากมีอาการไอ จาม ควรให้เด็กหยุดพักอยู่ที่บ้าน หรือหากคุณครูพบเด็กมีอาการไอ จาม ควรแยกนักเรียนออก เพื่อป้องกันการติดต่อ ทั้งนี้ หากเป็นเด็กเล็กที่ไม่ได้รับการรักษาทันถ่วงทีจะมีอันตรายมาก
 
นอกจากนี้ ยังมีโรคไข้เลือดออก เนื่องจากช่วงนี้มีฝนตกจึงทำให้พบโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้น จึงได้ประสานงานกับสำนักงานเขตและสำนักการศึกษาเพื่อช่วยกันกำจัดแหล่งกำเนิดลูกน้ำยุงลาย อย่างไรก็ตาม กทม.ได้เตรียมการเฝ้าระวังทั้ง 3 โรคอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะในโรงเรียน
สำหรับข้อมูลด้านโรคไข้เลือดออก ล่าสุดมีผู้ป่วยสะสมในพื้นที่ กทม. 4,265 ราย อัตราป่วย 77.62 ต่อแสนประชากร เสียชีวิต 4 ราย ขณะที่ภาพรวมผู้ป่วยสะสมทั้งประเทศ 59,372 ราย อัตราป่วย 89.83 ต่อแสนประชากร เสียชีวิต 49 ราย โดยกลุ่มผู้ป่วยตามช่วงอายุ 5-14 ปี ซึ่งพบมากสุดอยู่ที่ ร้อยละ 175.25 รองลงมา ช่วงอายุ 15-34 ปี อยู่ที่ร้อยละ 128.95
 
ส่วนแขวงที่มีอัตราป่วยสูงสุด คือ ชนะสงคราม เขตพระนคร ร้อยละ 117.30 รองลงมา แขวงจันเกษม เขตจตุจักร 73.93 และแขวงสะพานสูง เขตสะพานสูง 65.36
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่