สมัยพุทธกาล คฤหัสถ์นิมนต์พระผู้มีพระภาค พร้อมด้วยพระภิกษุ รวม ๔ รูปทั้งพระองค์ด้วย ไปรับภัตตาหาร
พระพุทธเจ้ามิได้ทรงตรัสห้ามหรือสอนว่า เป็นสิ่งที่ไม่สมควรแต่ประการใด
แสดงว่าลัทธิความเชื่อว่า ห้ามนิมนต์พระ 4 รูป มิใช่คำสอนของพระผู้มีพระภาค มิใข่คำสอนในพระพุทธศาสนา แต่ปลอมปนเข้ามา
นอกจากนี้ ก็ยังมีคำสอนแพร่หลายแบบผิดๆ ว่า การถวายสังฆทาน จะต้องมีภิกษุครบ 4 รูป ถึงจะจัดเป็นสังฆทาน แต่คำสอนนี้ ก็ไม่มีในพระไตรปิฎก แล้วโผล่มาตอนไหน
เราควรกลับไปหาคำสอนที่ถูกต้อง หรือควรปล่อยให้เชื่องมงายโดยไร้เหตุผลเช่นนี้ต่อไป
https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/15
ส. ถ้าไม่ศึกษาไม่มีทางมีพระธรรมเป็นสรณะเลย เราได้แต่กราบไหว้บูชาว่า ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ แต่ไม่รู้ว่า พระธรรมคืออย่างไร เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้มีพระธรรมเป็นสรณะจริงๆ เลย สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ เรานึกถึงพระคุณของพระอริยบุคคล เพราะจากความเป็นปุถุชนที่เต็มไปด้วยกิเลส ถึงความเป็นผู้ที่ดับกิเลสชนิดซึ่งกิเลสที่ดับแล้วไม่เกิดอีกเลย เพราะฉะนั้นบุคคลนั้นควรที่เราจะมีความเคารพในความเพียร ในศรัทธา ในวิริยะ ในปัญญามากแค่ไหน กว่าจะได้เป็นพระอริยบุคคล เป็นที่พึ่ง เป็นสรณะที่ว่า จะไม่ทำให้เราหลงผิดไปจากหนทางที่จะทำให้เกิดความเห็นผิดหรือมิจฉาทิฏฐิต่างๆ เพราะฉะนั้นสังฆทานที่นี้หมายความว่า จิตของเราในขณะที่ถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่ภิกษุ ไม่เจาะจง และในขณะนั้น มีความนอบน้อมต่อพระภิกษุ โดยการที่น้อมระลึกถึงคุณของพระสงฆ์คือ พระอริยสงฆ์ เพราะฉะนั้น จิตใจของเราในขณะที่ถวายแก่บุคคลนั้นจะผ่องใส ปลาบปลื้ม ไม่มีการเพ่งเล็งว่า ผู้รับมีอาจาระ คือ มีกิริยาที่ไม่สมควร มีความประพฤติที่ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าคิดอย่างนี้ จิตของเราก็ไม่ได้นึกถึงพระอริยสงฆ์ เพราะฉะนั้นสังฆทานไม่ใช่ถังข้าวสารหรืออะไรๆ ที่เป็นวัตถุ ทานทั้งหมดไม่ใช่วัตถุ แต่เป็นสภาพจิตที่สละ ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับบุคคลอื่น และถ้าเป็นสังฆทานก็คือว่า ในขณะนั้นจิตที่ให้ ให้ด้วยความนอบน้อมระลึกถึงคุณของพระอริยบุคคล เพราะฉะนั้นไม่ใช่อย่างที่เราคิดที่ว่า จะต้องไปท่อง พอถึงสังฆทานก็บอกว่า ต้องพูดอย่างนี้ พูดทำไม ไม่รู้เรื่องใช่ไหม พูดกับไม่พูดต่างกันอย่างไร ในเมื่อเราไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แต่ในขณะที่เรามีจิตนอบน้อมขณะใด ขณะนั้นเป็นสังฆทาน
ถ. เรื่องสังฆทาน บังเอิญเร็วๆ นี้ใส่บาตรเช้าหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่งได้แนะนำบอกว่า ทุกครั้งที่ใส่บาตรให้ครบ ๔ รูปขึ้นไป จึงเป็นสังฆทาน มีอยู่ในกฎเกณฑ์ด้วยหรือ
ส.
ไม่มี ในพระไตรปิฎกไม่ได้บอกอย่างนั้น
ถ. นี่พระสงฆ์เป็นผู้พูด
ส. คือจะเป็นใครก็ตาม พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้ว
แม้ผู้นั้นจะบอกว่า ได้ฟังจากพระโอษฐ์ เราก็ต้องพิจารณา เพราะฉะนั้นพระธรรมที่เป็นพระไตรปิฎกอรรถกถาคำอธิบายยังมีอยู่ ให้เรารู้ว่า คำไหนเป็นคำจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง แต่คำที่ไม่มีจริงๆ ไปหาดูในนั้น ไม่มี เพราะเหตุว่า ความจริงต้องเป็นจริง
ถ. หมายความว่า ไม่จำเป็นต้องมีกี่รูป
ส. ไม่จำเป็น อยู่ที่สภาพจิตว่า เรามีความนอบน้อม
ถ. ส่วนที่ว่า ๙ รูปคือ เป็นเรื่องของชาวบ้าน
ส. บางคนก็ไม่กล้า นิมนต์พระภิกษุ ๔ รูปไปที่บ้าน กลัวมากเลย เพราะเหตุว่า เวลาสวดศพอภิธรรม นิมนต์พระ ๔ รูป แต่ในพระไตรปิฏกมีอุบาสกที่นิมนต์พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยพระภิกษุ รวม ๔ รูปทั้งพระองค์ด้วย ไปรับภัตตาหาร ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย จำนวนนี้ เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เรางมงาย งมงาย คือ ไม่มีเหตุผล ที่เราจะตัดสินว่า อะไรงมงายคือว่า สิ่งนั้นไม่มีเหตุผลเลย ถ้าเราจะให้พระภิกษุรูป ๑ จิตเราเป็นกุศล ถ้าเราจะให้พระภิกษุ ๒ รูป จิตเราก็เป็นกุศล ถ้าเราจะให้พระภิกษุ ๓ รูป จิตเราก็เป็นกุศล ทำไมต้องมา ๙ รูปถึงจะเป็นกุศล ไม่มีเหตุผลเลยนอกจากความเชื่อ
ถ. ข้อนั้นเข้าใจ คือว่า ชาวบ้านถือเป็นมงคล
ส. มงคลคืออะไร มงคลมี ๒ อย่าง มงคลจริงๆ กับ มงคลตื่นข่าว
ถ. มงคลตื่นข่าว
ถ. คือดิฉันมีความปิติที่ว่า ณ ที่แห่งนี้ คือเกิด ส่วนมากคนจะมาเกิดที่โรงพยาบาลใช่ไหม และนึกถึงความแก่ เช่น มารับกายบำบัดบ้าง หรือว่าสายตาสั้น นี้แสดงถึงความชรา เกิด แก่ เจ็บก็แน่นอน เข้ามาโรงพยาบาลเสมอใช่ไหม และส่วนตาย ถ้ารักษาไม่หาย หรือว่าเป็นกรรมก็ต้องตายที่โรงพยาบาล เพราะฉะนั้น จุดนี้เป็นจุดที่น่าจะแสดงธรรมมาก แสดงให้เห็นถึงสภาวะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ คือรู้สึกไม่ได้ฟังธรรมอย่างนี้ เลยรู้สึกว่า กราบขอบพระคุณที่มีการจัดขึ้นที่โรงพยาบาล และการให้ธรรมเป็นทานนี้เป็นการให้ธรรมอย่างสูงส่ง โดยเฉพาะได้มาฟังพระธรรมเพิ่มขึ้น นี้ก็เพราะว่า ทางโรงพยาบาลจัดขึ้น ขอกราบขอบพระคุณด้วย
ส. ขออนุโมทนา ไม่ว่าจะมีการสนทนาธรรมที่ไหน ก็เป็นประโยชน์ที่นั่น และโดยเฉพาะอย่างที่คุณบุษบงได้กล่าวถึงเมื่อกี้นี้ว่า โดยเฉพาะถ้าเป็นที่โรงพยาบาล มีคนป่วย มีคนแก่ มีคนเจ็บ มีคนตาย เป็นที่ที่เรามองเห็นสัจจธรรม และถ้าได้มีการเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นก็เป็นประโยชน์ คือถ้าเราเข้าใจธรรมจริงๆ และเราจะไม่มีการคิดเรื่องที่จะทำให้เราเกิดความทุกข์ เพราะเรารู้ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น ถ้าเราเกิดถูกใครทำร้าย ไม่โกรธแม้แต่คนที่ทำร้ายเรา เพราะเหตุว่า เป็นกรรมของเรานี้แน่นอนที่สุด ถ้าไม่ใช่กรรมของเราที่จะถูกทำร้าย เขาก็ทำร้ายเราไม่ได้ คงจะได้ทราบว่า มีการยิงผิดตัวบ้าง มีอะไรบ้างใช่ไหม นี้ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่ถึงเวลาที่กรรมจะให้ผลแล้ว ใครก็ทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าถึงเวลาที่กรรมจะให้ผล ไม่ต้องมีใครทำให้เลย เราตกกระไดเองก็ได้ ขับเครื่องบินไปเครื่องบินตกก็ได้ หรือว่า ตกภูเขาตกอะไรก็ได้สักอย่าง เป็นโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมา แล้วทำไมเราไม่โกรธเวลานั้น แต่เวลาที่เราคิดว่า มีคนอื่นทำร้ายเราเราโกรธ นี้แสดงให้เห็นว่า เรายังไม่เข้าใจเรื่องของกรรมจริงๆ แต่ถ้าเราเข้าใจเรื่องของกรรมว่า ทุกอย่างนี้ต้องเกิดขึ้นตามกรรมของเรา เราจะไม่มีความน้อยใจ ไม่มีความเสียใจ ไม่มีความขุ่นใจว่า เพราะคนโน้นหรือเพราะคนนี้ จะไม่มีคำว่า เพราะคนอื่น แต่ว่าจะเป็นเพราะกรรมของเราเอง เพราะฉะนั้นที่เขาถามกันว่า ทำไมถึงต้องเป็นเรา แต่ทางธรรมจะต้องตอบว่า เพราะต้องเป็นเราเพราะว่า เราทำเหตุ เพราะฉะนั้นเมื่อถึงคราว ที่จะได้รับผลก็ต้องเกิดผลซึ่งเมื่อเราทำมาแล้วก็ต้องเป็นเราที่จะได้รับ จะให้คนอื่นได้รับได้อย่างไร แล้วเราจะไม่ขุ่นเคืองคนอื่นเพราะว่า แล้วจริงๆ แล้วไม่ใช่เพราะเขา แต่เป็นเพราะกรรมของเราจริงๆ เพราะฉะนั้นเราทุกคนในขณะนี้ ที่ยังสุขสบาย ไม่เดือดร้อนเพราะกุศลกรรมที่ได้ทำแล้ว แต่เราจะเป็นผู้ที่ไม่ประมาทเพราะเหตุว่า เราก็ได้เคยทำอกุศลกรรมมาแล้วมาก ในชาติก่อนๆ นั้นก็พร้อมที่จะให้ผลได้ แม้แต่พระชาติสุดท้ายที่ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว อดีตกรรมก็ยังให้ผล พระผู้มีพระภาคเองก็ทรงประชวร ถูกท่านพระเทวทัตกลิ้งหินถูกพระบาท ห้อพระโลหิต นี้ก็แสดงให้เห็นว่า ทุกคนหนีกรรมไม่พ้น ยิ่งเห็นกรรมแล้วก็รู้ว่า คนอื่นทำร้ายเราไม่ได้เลย นอกจากกรรมที่ได้ทำมาแล้วให้ผล เราก็ยิ่งเป็นผู้ที่ไม่ประมาท แล้วก็จะเป็นผู้ที่กระทำกรรมดีเพิ่มขึ้น ซึ่งจะไม่เดือดร้อนกับใครเลย เมื่อเป็นกรรมดี ดีทั้งกับตนเองและกับคนอื่นด้วย ผู้ที่มั่นคงในพระพุทธศาสนา เป็นผู้ที่เชื่อเรื่องกรรม เพราะฉะนั้นตัดเรื่องมงคลตื่นข่าวไปได้ทั้งหมด บางคนบอกว่า ถ้าเห็นดอกประดู่บานวันแรกก็เอามาทัดหูแล้วก็จะโชคดี พอคนอื่นทำตามก็ขับรถชนเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่า จะไปขึ้นอยู่กับดอกไม้หรือว่าชื่อของดอกไม้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่ขึ้นอยู่กับจิตใจ สภาพของจิตและการกระทำทางกายทางวาจา
ถ. ขอเรียนถามท่านอาจารย์ คือเท่าที่ท่านอาจารย์ได้พูดถึงเรื่องความตาย ก็รู้สึกว่า ทุกคนเกิดมาแล้วก็ไม่พ้นเรื่องตาย แต่ก็มีข้อปฏิบัติอย่างหนึ่งที่เป็นอนุสสติ ในเรื่องของมรณานุสสติ ให้พิจารณาหรือให้มีการระลึกถึงความตายบ่อยๆ เนืองๆ ตามความเป็นจริงแล้ว ถึงจะทราบว่า อย่างไรก็ต้องตาย แต่พอคิดถึงเรื่องความตายทีไร ทำไมจิตใจถึงเศร้าหมอง มันไม่เป็นกุศลเลย
ส. เพราะว่า มีการยึดมั่นในตัวตน ในบุคคล สิ่งของ ที่จะต้องพลัดพรากจากไปเพราะยังเป็นของเราอยู่
ทำไมสมัยพุทธกาล คฤหัสถ์สามารถนิมนต์พระ 4 รูปมาฉันภัตตาหารที่บ้านได้ แต่สมัยนี้กลัวกัน
พระพุทธเจ้ามิได้ทรงตรัสห้ามหรือสอนว่า เป็นสิ่งที่ไม่สมควรแต่ประการใด
แสดงว่าลัทธิความเชื่อว่า ห้ามนิมนต์พระ 4 รูป มิใช่คำสอนของพระผู้มีพระภาค มิใข่คำสอนในพระพุทธศาสนา แต่ปลอมปนเข้ามา
นอกจากนี้ ก็ยังมีคำสอนแพร่หลายแบบผิดๆ ว่า การถวายสังฆทาน จะต้องมีภิกษุครบ 4 รูป ถึงจะจัดเป็นสังฆทาน แต่คำสอนนี้ ก็ไม่มีในพระไตรปิฎก แล้วโผล่มาตอนไหน
เราควรกลับไปหาคำสอนที่ถูกต้อง หรือควรปล่อยให้เชื่องมงายโดยไร้เหตุผลเช่นนี้ต่อไป
https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/15
ส. ถ้าไม่ศึกษาไม่มีทางมีพระธรรมเป็นสรณะเลย เราได้แต่กราบไหว้บูชาว่า ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ แต่ไม่รู้ว่า พระธรรมคืออย่างไร เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้มีพระธรรมเป็นสรณะจริงๆ เลย สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ เรานึกถึงพระคุณของพระอริยบุคคล เพราะจากความเป็นปุถุชนที่เต็มไปด้วยกิเลส ถึงความเป็นผู้ที่ดับกิเลสชนิดซึ่งกิเลสที่ดับแล้วไม่เกิดอีกเลย เพราะฉะนั้นบุคคลนั้นควรที่เราจะมีความเคารพในความเพียร ในศรัทธา ในวิริยะ ในปัญญามากแค่ไหน กว่าจะได้เป็นพระอริยบุคคล เป็นที่พึ่ง เป็นสรณะที่ว่า จะไม่ทำให้เราหลงผิดไปจากหนทางที่จะทำให้เกิดความเห็นผิดหรือมิจฉาทิฏฐิต่างๆ เพราะฉะนั้นสังฆทานที่นี้หมายความว่า จิตของเราในขณะที่ถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใดแก่ภิกษุ ไม่เจาะจง และในขณะนั้น มีความนอบน้อมต่อพระภิกษุ โดยการที่น้อมระลึกถึงคุณของพระสงฆ์คือ พระอริยสงฆ์ เพราะฉะนั้น จิตใจของเราในขณะที่ถวายแก่บุคคลนั้นจะผ่องใส ปลาบปลื้ม ไม่มีการเพ่งเล็งว่า ผู้รับมีอาจาระ คือ มีกิริยาที่ไม่สมควร มีความประพฤติที่ไม่ถูกต้อง เพราะถ้าคิดอย่างนี้ จิตของเราก็ไม่ได้นึกถึงพระอริยสงฆ์ เพราะฉะนั้นสังฆทานไม่ใช่ถังข้าวสารหรืออะไรๆ ที่เป็นวัตถุ ทานทั้งหมดไม่ใช่วัตถุ แต่เป็นสภาพจิตที่สละ ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับบุคคลอื่น และถ้าเป็นสังฆทานก็คือว่า ในขณะนั้นจิตที่ให้ ให้ด้วยความนอบน้อมระลึกถึงคุณของพระอริยบุคคล เพราะฉะนั้นไม่ใช่อย่างที่เราคิดที่ว่า จะต้องไปท่อง พอถึงสังฆทานก็บอกว่า ต้องพูดอย่างนี้ พูดทำไม ไม่รู้เรื่องใช่ไหม พูดกับไม่พูดต่างกันอย่างไร ในเมื่อเราไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แต่ในขณะที่เรามีจิตนอบน้อมขณะใด ขณะนั้นเป็นสังฆทาน
ถ. เรื่องสังฆทาน บังเอิญเร็วๆ นี้ใส่บาตรเช้าหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่งได้แนะนำบอกว่า ทุกครั้งที่ใส่บาตรให้ครบ ๔ รูปขึ้นไป จึงเป็นสังฆทาน มีอยู่ในกฎเกณฑ์ด้วยหรือ
ส. ไม่มี ในพระไตรปิฎกไม่ได้บอกอย่างนั้น
ถ. นี่พระสงฆ์เป็นผู้พูด
ส. คือจะเป็นใครก็ตาม พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้ว แม้ผู้นั้นจะบอกว่า ได้ฟังจากพระโอษฐ์ เราก็ต้องพิจารณา เพราะฉะนั้นพระธรรมที่เป็นพระไตรปิฎกอรรถกถาคำอธิบายยังมีอยู่ ให้เรารู้ว่า คำไหนเป็นคำจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง แต่คำที่ไม่มีจริงๆ ไปหาดูในนั้น ไม่มี เพราะเหตุว่า ความจริงต้องเป็นจริง
ถ. หมายความว่า ไม่จำเป็นต้องมีกี่รูป
ส. ไม่จำเป็น อยู่ที่สภาพจิตว่า เรามีความนอบน้อม
ถ. ส่วนที่ว่า ๙ รูปคือ เป็นเรื่องของชาวบ้าน
ส. บางคนก็ไม่กล้า นิมนต์พระภิกษุ ๔ รูปไปที่บ้าน กลัวมากเลย เพราะเหตุว่า เวลาสวดศพอภิธรรม นิมนต์พระ ๔ รูป แต่ในพระไตรปิฏกมีอุบาสกที่นิมนต์พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยพระภิกษุ รวม ๔ รูปทั้งพระองค์ด้วย ไปรับภัตตาหาร ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลย จำนวนนี้ เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เรางมงาย งมงาย คือ ไม่มีเหตุผล ที่เราจะตัดสินว่า อะไรงมงายคือว่า สิ่งนั้นไม่มีเหตุผลเลย ถ้าเราจะให้พระภิกษุรูป ๑ จิตเราเป็นกุศล ถ้าเราจะให้พระภิกษุ ๒ รูป จิตเราก็เป็นกุศล ถ้าเราจะให้พระภิกษุ ๓ รูป จิตเราก็เป็นกุศล ทำไมต้องมา ๙ รูปถึงจะเป็นกุศล ไม่มีเหตุผลเลยนอกจากความเชื่อ
ถ. ข้อนั้นเข้าใจ คือว่า ชาวบ้านถือเป็นมงคล
ส. มงคลคืออะไร มงคลมี ๒ อย่าง มงคลจริงๆ กับ มงคลตื่นข่าว
ถ. มงคลตื่นข่าว
ถ. คือดิฉันมีความปิติที่ว่า ณ ที่แห่งนี้ คือเกิด ส่วนมากคนจะมาเกิดที่โรงพยาบาลใช่ไหม และนึกถึงความแก่ เช่น มารับกายบำบัดบ้าง หรือว่าสายตาสั้น นี้แสดงถึงความชรา เกิด แก่ เจ็บก็แน่นอน เข้ามาโรงพยาบาลเสมอใช่ไหม และส่วนตาย ถ้ารักษาไม่หาย หรือว่าเป็นกรรมก็ต้องตายที่โรงพยาบาล เพราะฉะนั้น จุดนี้เป็นจุดที่น่าจะแสดงธรรมมาก แสดงให้เห็นถึงสภาวะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ คือรู้สึกไม่ได้ฟังธรรมอย่างนี้ เลยรู้สึกว่า กราบขอบพระคุณที่มีการจัดขึ้นที่โรงพยาบาล และการให้ธรรมเป็นทานนี้เป็นการให้ธรรมอย่างสูงส่ง โดยเฉพาะได้มาฟังพระธรรมเพิ่มขึ้น นี้ก็เพราะว่า ทางโรงพยาบาลจัดขึ้น ขอกราบขอบพระคุณด้วย
ส. ขออนุโมทนา ไม่ว่าจะมีการสนทนาธรรมที่ไหน ก็เป็นประโยชน์ที่นั่น และโดยเฉพาะอย่างที่คุณบุษบงได้กล่าวถึงเมื่อกี้นี้ว่า โดยเฉพาะถ้าเป็นที่โรงพยาบาล มีคนป่วย มีคนแก่ มีคนเจ็บ มีคนตาย เป็นที่ที่เรามองเห็นสัจจธรรม และถ้าได้มีการเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นก็เป็นประโยชน์ คือถ้าเราเข้าใจธรรมจริงๆ และเราจะไม่มีการคิดเรื่องที่จะทำให้เราเกิดความทุกข์ เพราะเรารู้ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น ถ้าเราเกิดถูกใครทำร้าย ไม่โกรธแม้แต่คนที่ทำร้ายเรา เพราะเหตุว่า เป็นกรรมของเรานี้แน่นอนที่สุด ถ้าไม่ใช่กรรมของเราที่จะถูกทำร้าย เขาก็ทำร้ายเราไม่ได้ คงจะได้ทราบว่า มีการยิงผิดตัวบ้าง มีอะไรบ้างใช่ไหม นี้ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่ถึงเวลาที่กรรมจะให้ผลแล้ว ใครก็ทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าถึงเวลาที่กรรมจะให้ผล ไม่ต้องมีใครทำให้เลย เราตกกระไดเองก็ได้ ขับเครื่องบินไปเครื่องบินตกก็ได้ หรือว่า ตกภูเขาตกอะไรก็ได้สักอย่าง เป็นโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมา แล้วทำไมเราไม่โกรธเวลานั้น แต่เวลาที่เราคิดว่า มีคนอื่นทำร้ายเราเราโกรธ นี้แสดงให้เห็นว่า เรายังไม่เข้าใจเรื่องของกรรมจริงๆ แต่ถ้าเราเข้าใจเรื่องของกรรมว่า ทุกอย่างนี้ต้องเกิดขึ้นตามกรรมของเรา เราจะไม่มีความน้อยใจ ไม่มีความเสียใจ ไม่มีความขุ่นใจว่า เพราะคนโน้นหรือเพราะคนนี้ จะไม่มีคำว่า เพราะคนอื่น แต่ว่าจะเป็นเพราะกรรมของเราเอง เพราะฉะนั้นที่เขาถามกันว่า ทำไมถึงต้องเป็นเรา แต่ทางธรรมจะต้องตอบว่า เพราะต้องเป็นเราเพราะว่า เราทำเหตุ เพราะฉะนั้นเมื่อถึงคราว ที่จะได้รับผลก็ต้องเกิดผลซึ่งเมื่อเราทำมาแล้วก็ต้องเป็นเราที่จะได้รับ จะให้คนอื่นได้รับได้อย่างไร แล้วเราจะไม่ขุ่นเคืองคนอื่นเพราะว่า แล้วจริงๆ แล้วไม่ใช่เพราะเขา แต่เป็นเพราะกรรมของเราจริงๆ เพราะฉะนั้นเราทุกคนในขณะนี้ ที่ยังสุขสบาย ไม่เดือดร้อนเพราะกุศลกรรมที่ได้ทำแล้ว แต่เราจะเป็นผู้ที่ไม่ประมาทเพราะเหตุว่า เราก็ได้เคยทำอกุศลกรรมมาแล้วมาก ในชาติก่อนๆ นั้นก็พร้อมที่จะให้ผลได้ แม้แต่พระชาติสุดท้ายที่ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว อดีตกรรมก็ยังให้ผล พระผู้มีพระภาคเองก็ทรงประชวร ถูกท่านพระเทวทัตกลิ้งหินถูกพระบาท ห้อพระโลหิต นี้ก็แสดงให้เห็นว่า ทุกคนหนีกรรมไม่พ้น ยิ่งเห็นกรรมแล้วก็รู้ว่า คนอื่นทำร้ายเราไม่ได้เลย นอกจากกรรมที่ได้ทำมาแล้วให้ผล เราก็ยิ่งเป็นผู้ที่ไม่ประมาท แล้วก็จะเป็นผู้ที่กระทำกรรมดีเพิ่มขึ้น ซึ่งจะไม่เดือดร้อนกับใครเลย เมื่อเป็นกรรมดี ดีทั้งกับตนเองและกับคนอื่นด้วย ผู้ที่มั่นคงในพระพุทธศาสนา เป็นผู้ที่เชื่อเรื่องกรรม เพราะฉะนั้นตัดเรื่องมงคลตื่นข่าวไปได้ทั้งหมด บางคนบอกว่า ถ้าเห็นดอกประดู่บานวันแรกก็เอามาทัดหูแล้วก็จะโชคดี พอคนอื่นทำตามก็ขับรถชนเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่า จะไปขึ้นอยู่กับดอกไม้หรือว่าชื่อของดอกไม้อะไรเลยทั้งสิ้น แต่ขึ้นอยู่กับจิตใจ สภาพของจิตและการกระทำทางกายทางวาจา
ถ. ขอเรียนถามท่านอาจารย์ คือเท่าที่ท่านอาจารย์ได้พูดถึงเรื่องความตาย ก็รู้สึกว่า ทุกคนเกิดมาแล้วก็ไม่พ้นเรื่องตาย แต่ก็มีข้อปฏิบัติอย่างหนึ่งที่เป็นอนุสสติ ในเรื่องของมรณานุสสติ ให้พิจารณาหรือให้มีการระลึกถึงความตายบ่อยๆ เนืองๆ ตามความเป็นจริงแล้ว ถึงจะทราบว่า อย่างไรก็ต้องตาย แต่พอคิดถึงเรื่องความตายทีไร ทำไมจิตใจถึงเศร้าหมอง มันไม่เป็นกุศลเลย
ส. เพราะว่า มีการยึดมั่นในตัวตน ในบุคคล สิ่งของ ที่จะต้องพลัดพรากจากไปเพราะยังเป็นของเราอยู่