[รีวิว] Oppenheimer - เสียงที่ดังทุ่มเป็นตราบาปในใจของชายผู้ที่คิดค้นระเบิดปรมาณู

ไม่ว่า Oppenheimer จะเป็นภาพยนตร์ที่พูดถึงอะไรหรือใครที่ไหนก็ตาม แต่เมื่อมีการแปะป้ายชื่อ “คริสโตเฟอร์ โนแลน” (Christopher Nolan) ในฐานะผู้กำกับแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะน่าจับตามองทันที และทำให้ทุกแง่มุมของชายชื่อ “เจ.โรเบิร์ต.ออปเพนไฮเมอร์” กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจด้วยเช่นกัน การถ่ายทอดเรื่องราวชีวประวัติของนักฟิสิกส์ผู้คิดค้นระเบิดปรมาณูที่ถูกใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีต้นทางมาจากหนังสือชื่อ American Prometheus: The Triumph and Tragedy of J. Robert Oppenheimer ของนักเขียน Kai Bird และ Martin J. Sherwin เมื่ออยู่ภายใต้การกำกับของผู้กำกับมือทองแห่งยุค แค่นี้ก็แทบจะอดใจรอไม่ไว้ที่จะรับชมแล้ว

ลำพังแค่การต้องเล่าเรื่องประวัติใครสักคนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยนตร์ การต้องอัดข้อมูลจำนวนมหาศาลใส่ผู้ชมนั้น เสี่ยงต่อความน่าเบื่อและง่วงเหงาหาวนอนอย่างมาก แต่เมื่ออยู่ในมือของผู้กำกับผู้ขึ้นชื่อเรื่องความพิศดารในการเล่าเรื่อง เขาย่อมไม่ปล่อยให้ Oppenheimer กลายเป็นภาพยนตร์ที่ดูซึมกะทือและไร้มิติแบบนั้นเป็นแน่

Oppenheimer จึงไม่ได้ถูกเล่าแบบลำดับเหตุการณ์ตามเวลาหนึ่งไปสอง สองไปสาม ตามขนบทั่วไป แต่ใช้วิธีการตัดสลับระหว่างเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ ได้แก่ ชีวิตของออปเพนไฮเมอร์ตั้งแต่สมัยเรียนจนไปถึงการได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างระเบิดปรมาณูร่วมกับพันเอกเลสลีย์ โกรฟ (Matt Damon) ซึ่งจะรวมไปถึงชีวิตรักของเขาระหว่างภรรยา คิตตี้ ออปเพนไฮเมอร์ (Emily Blunt) และชู้สาวอย่าง จีน แทตล็อก (Florence Pugh) ที่รู้จักกันในพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งทั้งคู่ล้วนแต่มีผลต่อจิตใจของออปเพนไฮเมอร์อย่างมาก

อีกสองเหตุการณ์ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกัน เป็นฉากการไต่สวนคดี โดยคดีแรกเป็นการไต่สวนตัวของออปเพนไฮเมอร์เกี่ยวกับการถูกกล่าวหาว่าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์ ส่วนอีกคดีเป็นคดีของ ลิวอิส สเตราส์ (Robert Downey Jr.) ซึ่งในขณะนั้นเป็นสมาชิกของคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณูแห่งสหรัฐอเมริกา (AEC) โดยสองคดีนี้มีจุดเชื่อมโยงกันบางอย่างและกลายเป็นจุดสำคัญของเรื่อง ผู้ชมสามารถแยกความแตกต่างของทั้งสองคดีนี้ได้จากการใช้สี โดยจะมีเพียงแค่ช่วงเวลาที่เป็นคดีของลิวอิส สเตราส์ เท่านั้นที่เป็นภาพขาวดำ (นั่นทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่มีการใช้ฟิล์ม IMAX ขาวดำในการถ่ายทำ)

แม้เมื่อเล่าแยกออกมาเป็นแต่ละเส้นเรื่องจะดูเหมือนเข้าใจง่าย แต่ในความเป็นจริงกลับยากพอสมควร การตัดสลับไปมาของเหตุการณ์ในแง่ดีอย่างที่บอก คือ ช่วยสร้างมิติให้กับการเล่าเรื่อง แต่ในอีกแง่มันก็ทำให้เรื่องราวขาดความต่อเนื่องและสร้างสับสนไม่น้อย ยังไม่นับว่าการดำเนินเรื่องโดยอาศัยบทสนทนาเพียงอย่างเดียวนั้นเป็นยาขมดีๆ นี่เอง หากธาตุไม่แข็งพอก็อาจจะไม่สามารถตามได้จนจบ หนำซ้ำฟิสิกส์ที่ปรากฏตัวในเรื่องนอกจาก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Tom Conti) แล้ว คนอื่นๆ ยังห่างไกลจากความรู้จักของเรา ทั้ง เออร์เนสต์ ลอว์เรนซ์ (Josh Hartnett) ริชาร์ด ไฟน์แมน (Jack Quaid) หรือแม้แต่ นิลส์ โปร์ (Kenneth Branagh) ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้บุกเบิกโลกของกลศาสตร์ควอนตัม

หากคุณเป็นเนิร์ดฟิสิกส์แต่ละชื่อที่กล่าวมาย่อมกระตุ้นต่อมขนลุกแบบสุดๆ (รวมถึงเวลาที่ตัวละครในเรื่องพูดถึงทฤษฎีทางฟิสิกส์ด้วย) และได้เห็นพวกเขาเหล่านั้นในภาพเคลื่อนไหว (แม้จะเป็นนักแสดงก็ตามที) อย่างไรก็ตามผู้ที่เกี่ยวข้องกับ “โครงการแมนฮัตตัน” (The Manhattan Project) ไม่ได้มีแค่เหล่านักฟิสิกส์ยอดอัจฉริยะชั้นนำของโลกเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงบุคลากรทางการทหารและนักการเมืองที่เข้ามามีส่วนในชีวิตของชายผู้นำเปลวไฟทำลายล้างสู่มวลมนุษย์ ซึ่งถ้าคุณไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ออปเพนไฮเมอร์ คงเป็นเรื่องยากที่จะจดจำทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขาได้ แน่นอนว่าโนแลนด์คงไม่ได้ตั้งใจจะให้ผู้คนรับชม Oppenheimer แค่รอบเดียวแล้วจบกัน การดูรอบต่อๆ ไป(หากทำได้) จะช่วยให้เก็บรายละเอียดได้ดีมากขึ้นและดื่มดำสุดยอดผลงานของเขาได้ลึกซึ้งขึ้นด้วย

ถึงอย่างนั้นก็ตาม สิ่งที่โนแลนด์อยากจะสื่อสารกับผู้ชม คงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องราวความพยายามของออปเพนไฮเมอร์และเหล่านักวิทยาศาสตร์กับการบุกเบิกโลกนิวเคลียร์ฟิสิกส์ อันนำพาชัยชนะมาสู่ฝ่ายสัมพันธมิตร แต่กลับเป็นการตีแผ่ “สภาวะภายในจิตใจ” ของชายผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้สร้างระเบิดปรมาณู เพราะหลังจากระเบิดทั้งสองลูกสัมฤทธิ์ผลแล้ว ผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วง(ทางจิตใจ)ที่สุดก็หนีไม่พ้นชายคนนี้ (ไม่ต่างกับชะตากรรมของ “โพรมีธีอุส” ที่ต้องพบกับชะตากรรมที่น่าเศร้าในตอนท้าย) ผู้ชมจะสังเกตได้ถึงเรื่องความไม่มั่นคงทางอารมณ์หรือความรู้สึกโดดเดี่ยวจากออปเพนไฮเมอร์อยู่ตลอดเวลา (ว่ากันว่าเขาเผชิญภาวะซึมเศร้าอยู่ด้วยสมัยตอนเรียนที่ Cambridge ด้วย)

และ คิลเลียน เมอร์ฟี (Cillian Murphy) สามารถถ่ายทอดสิ่งที่ว่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนไม่ต้องแปลกใจถ้าจะมีชื่อเขาในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์ครั้งถัดไป นัยน์ตาสีฟ้าที่ดูปราดเปรื่องแต่ก็แฝงไปด้วยความทุกข์ บุคลิกที่ซับซ้อนเข้าใจยากแต่ก็ทำงานกับผู้คนจำนวนมากได้ ดูเหมือนจะเข้มแข็งแต่ก็เปราะบาง (ฉากการสนทนาระหว่างออปเพนไฮเมอร์กับแฮร์รี เอส ทรูแมน (Gary Oldman) ประธานาธิบดีคนที่ 33 ของอเมริกา ที่เป็นผู้สั่งการให้นำเอาระเบิดปรมาณูไปปล่อยที่ญี่ปุ่น เป็นตัวอย่างที่ดีในการขุดคุ้นลงไปในจิตสำนึกของออปเพนไฮเมอร์เขา เมื่อเขาพูดว่า “มือผมเปื้อนเลือดเสียแล้ว” ในขณะที่อีกฝ่ายหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและบอกว่า “ผมเป็นคนสั่งให้ทิ้งระเบิด” ก่อนจะรีบจบบทสนทนากับชายผู้ขี้ขลาดคนนี้ และสั่งให้ออกจากห้องไป)

เห็นได้ชัดว่าโนแลนด์ตั้งใจใช้กล้อง IMAX ถ่ายทอดการแสดงของคิลเลียน เมอร์ฟี มากกว่าจะถ่ายทอดความอลังการของระเบิดปรมาณู (ที่ดูจะถูกโฆษณามากไปหน่อย) ทุกๆ การแสดงของคิลเลียน เมอร์ฟี จึงเป็นความทรงพลังที่ใช้ขับเคลื่อนตัวภาพยนตร์ได้อย่างยอดเยี่ยม ประสานกับการใช้เสียงประกอบแทนความรู้สึกในใจของตัวละครที่ดูแล้วจะเด่นมากกว่างานด้านภาพเสียอีก เสียงที่ดังก้องในใจของออปเพนไฮเมอร์หลังทิ้งระเบิดดูจะดังกว่าตอนที่ทำการทดสอบ “ทรินิตี้” ด้วยเช่นกัน

อีกคนที่คาดว่าน่าจะตามเข้าชิงออสการ์ไปติดๆ เห็นจะเป็น โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวของ ลิวอิส สเตราส์ ได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน และสลัดภาพความเป็นฮีโร่มหาเศรษฐีจากไอรอนแมนไปจนหมดสิ้น รวมถึงนักแสดงระดับแถวหน้ามากมาย จะให้บอกชื่อคงจะยาวอีกหลายหน้ากระดาษ แต่นี่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงบารมีของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่ไม่ว่าใครก็ต่างอยากร่วมงานด้วย ขอเพียงแค่ได้มีส่วนร่วมกับภาพยนตร์ของสุดยอดผู้กำกับคนนี้ก็พอแล้ว (เป็นไม่กี่ครั้งที่คุณจะได้เห็นนักแสดงรางวัลออสการ์สาขานำชายอย่าง Rami Malek ปรากฏตัวในฐานะนักแสดงรับเชิญเพียงไม่กี่ฉาก)

สรุป Oppenheimer เป็นการนำเรื่องราวของบิดาแห่งระเบิดปรมาณู เจ.โรเบิร์ต.ออปเพนไฮเมอร์ มาตีแผ่เรื่องราวในทุกด้านของชีวิต ซึ่งนำไปสู่การขุดลึกลงไปภายใต้บุคลิกที่ซับซ้อนของเขา และความรู้สึกต่อสิ่งที่ได้ทำลงไป ผ่านการแสดงอันยอดเยี่ยมของ คิลเลียน เมอร์ฟี และองค์ประกอบทุกอย่างในเรื่อง จะติดก็ตรงที่ข้อมูลที่อัดแน่นจนเกินไปอาจทำให้ใครหลายคนยอมแพ้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นต่อให้ไม่เข้าใจทั้งหมด ก็จะสามารถสัมผัสถึงสิ่งที่ออปเพนไฮเมอร์กำลังแบกรับอยู่ได้ หรืออาจจะบอกได้ว่า “ดูไม่รู้เรื่องแต่อารมณ์ได้” นั่นแหละ

Story Decoder
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่