ระบบทุนนิยม เริ่มต้นจนเท่ากันๆ แต่ในที่สุดมันจะผูกขาดอยู่ไม่กี่เจ้า และตอนนี้เรากำลังจะเข้าสู่จุดอิ่มตัว
สมมุติเราตั้งว่าเราต้องการกำไร 1 ล้านบาทต่อเดือน
ทุนนิยมต้องการจำนวนประชากรเพื่อกระจายสินค้า
หนึ่งล้านบาทต่อเดือน สมมุติกำไรชื้นละ 100 บาท ต้องขายหนึ่งหมื่นชื้นต่อเดือน ถึงจะกำไรหนึ่งล้านต่อเดือน
แต่เราจะต้องมีคู่แข่ง นั่นหมายถึงคนอื่นก็กำลังหาหนึ่งหมื่นชิ้นต่อเดือนเช่นกัน
จะเห็นได้ว่า แค่ประชากรหยิบมือเดียว(เรา คู่แข่ง และบรรดาลูกจ้าง) มันก็ผลิตเพื่อประชากรจำนวนมหาศาลได้
ยิ่งปัจจุบันโรงงานแทบไม่ต้องใช้คนงาน ออฟฟิศก็กำลังจะเปลี่ยนเป็นซอฟต์แวร์A.I ยิ่งทำให้ใช้คนน้อยลงอีก
*ข่าว A.I ทำกราฟฟิคดีไซน์, A.I ทำไลฟ์สด, ChatGPT ช่วยเขียนสคริปต์
*ข่าวโรงงาน Tesla ไม่ใช้ในสายการผลิตเลย
แล้วการเกษตรก็กำลังจะกลายเป็นโรงงานเพิ่มขึ่นเรื่อยๆ เช่นการเลี้ยงปลา เลี้ยงสัตว์ ตอนนี้ในจีนกลายเป็นโรงงานได้หมดแล้ว
* ข่าว ระบบอัตโนมัติในจีนเลี้ยงหมูบนตึก20ชั้น
* ข่าว การเลี้ยงปลาโดยระบบกึ่งอัตโนมัติ
อีกไม่นานคงจะอัตโนมัติหมด
งั้นเหลืออะไรให้ทำบ้าง? อสังหา, ร้านบริการต่างๆ(เช่นตัดผม ทำผิว ทำหน้า สัก),
แต่ในที่สดุ ร้านเหล่านี้ก็มีปริมาณที่มากที่สุดที่เมืองๆนึงจะต้องการ เช่น ร้านตัดผมอำเภอเล็กๆคงมีไม่เกินกี่ร้าน ร้านตัดผมในกรุงเทพก็ต้องมีได้ไม่เกินกี่ร้าน เพราะเหตุผลเหมือนกัน ร้านเดียวตัดให้คนจำนวนมากๆ ถึงจะกำไร หรืออสังหา ในที่สุดก็เต็มตลาด ดูได้จากเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครผลิตตึกออฟฟิศให้เช่าแล้ว เพราะมันมีได้แค่กี่บริษัทในประเทศ และตอนนี้ประชากรหดตัว แม้กระทั่งคอนโดก็จะแย่ เพราะในอนาคต ครอบครัวมีลูกคนเดียว เกิดมาก็มีบ้านสองหลังของพ่อกับของแม่เป็นมรดก
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่นานคนรวยรุ่นลูกก็จะจับคู่กัน ก่อให้เกิดแชร์โบลในเกาหลีใต้ คือกลุ่มธุรกิจขนาดยักษ์แต่งง่านข้ามกันไปมาสร้างระบบชนชั้นในสังคมที่คนจนไม่มีสิทธิ์ขึ่นไปเป็นคนรวยตลอดไป จนกว่าจะเกิดสงครามหรือการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ซึ่งกรณีเกาหลีใต้ แม้แต่ร้านเล็กๆในย่อหน้าบนก็ยังคงเป็นของลูกหลานเพื่อนแชร์โบล์
ตอนนี้ไทยเราอยู่ตรงไหน ผมเชื่อว่าเรากำลังเข้าสู่ยุคอิ่มตัว ยุคที่เจ้าตลาดต่างๆมีหมดแล้ว ดังนั้นคนที่ต้องการสร้างตัวควรมองระดับโลก
งั้นโลกเราอยู่ตรงไหน ตอนนี้โลกเรา ประเทศที่พัฒนาแล้วคือประเทศที่อิ่มตัวแล้ว แม้แต่จีนก็กำลังจะอิ่มตัวแล้ว ที่ๆยังไม่อิ่มตัวคือประเทศยังจนมีลูกเยอะ ยิ่งประเทศจนมีลูกเยอะ ยิ่งมีโอกาสสำหรับเจ้าของธุรกิจใหม่ๆ ถ้าใครยังหนุ่ม มีความกล้าผจญต่ออันตราย ผมว่าพม่า,อาฟริกาคืออนาคตสำหรับการตั้งธุรกิจใหม่ๆ
สำหรับประเทศที่อิ่มตัวแล้ว ทางเดียวที่จะสร้างธุรกิจใหม่ๆคือ เทคโนโลยีใหม่ ซึ่งทางนี้ ณ ตอนนี้ก็ยากอีก เพราะดอกเบี้ยสูง ทำให้ Venture Capital ไม่อยากมาเสี่ยง10เอาหนึ่ง การจะมีเทคโนโลยีใหม่คือต้องออกมาจาก research lab ร้อนๆ หรือคนที่มีไอเดียในการนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในตลาดที่ยังคงใช้เทคโนโลยีเดิมแล้วเอาชนะเจ้าตลาดเดิม
ดังนั้นธุรกิจที่จะเติบโตได้ในอนาคต จะต้องเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆที่ใช้งานได้จริง (เช่น A.I อย่างที่ทุกคนเห็น) ซึ่งถ้ามองเทรนเทคโนโลยี จะมีเทรนดังต่อไปนี้
1. การแบ่งแยกระบบอุปทานโลกออกเป็นสองขั้ว จีน สหรัฐ
การแบ่งห่วงโซ่อุปทานโลกก่อให้เกิดช่องว่างทางอุปทานของแต่ละฝ่ายที่เคยเติมเต็มกันก็กลายเป็นช่องว่าง
ถ้าใครสามารถช่วยอุปทานของฝ่ายนึงให้ชนะอีกฝ่ายนึงได้ ก็ทำธุรกิจได้
2. Central Bank Digital Currency + Big data
คือถ้าใครรู้ว่าเกิดการซื้อขายที่ไหนทุกที่ในประเทศไทย หรือ ประเทศขนาดกลางขึ้นไป รวย เพราะสามารถไปขายแข่ง
แต่คนที่จะเข้าถึงข้อมูลนี้ก็น่าจะเป็นคนที่เข้าถึงข้อมูลCBDC
3. A.I, Robotics, Automation นักวิจัยกลายเป็นนักธุรกิจ
ถ้าใครสามารถเอาผลงานวิจัยตัวเองหรือคนอื่นมาทำธุรกิจได้ ก็เป็นธุรกิจได้
4. สังคมคนชราที่มีปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง
สินค้าเกี่ยวกับคนชรา หรือบริการดูแลคนชรา ถ้าทำแค่สาขาเดียวคงไม่ยาก ความยากคือการสเกลให้มีหลายสาขา
เทคโนโลยีทางการแพทย์ การแพทย์
5. เทคโนโลยีที่อาจจะมาในกรณีโลกเปลี่ยนทิศทางไปเป็นสงครามโลก เช่น เทคโนโลยีทหาร การผลิตอาวุธ
อันนี้คงไม่เกี่ยวกับผมและคุณผู้อ่าน
ปัญหาของการลงทุนเทคโนโลยีใหม่ในปัจจุบันคือ โลกเรากำลังเข้าสู่ยุคดอกเบี้ยสูงขึ้น นั่นคือเงิน Venture Capital จะลดลง
การก่อหนี้กับธนาคารในกิจการด้าน start up นับว่าเสี่ยงสูงมากเมื่อ start up 90% จะไม่ประสบความสำเร็จ ปัญหาอีกข้อคือ ประเทศไทยเรายังไม่สามารถสร้างเทคโนโลยีได้ขนาดนั้น เนื่องจากการลงทุนที่สูงและโอกาสล้มเหลวสูง ทำให้ไม่ค่อยมีคนกล้าวิจัยเพื่อstart upในไทย
คุณว่าจริงไหม แล้วจะทำไงดี ถึงจะสร้างธุรกิจในยุคนี้สำหรับคนไทย
เวิ่นเวิ้อ เรืองทิศทางทุนนิยมโลกไปเรื่อย
สมมุติเราตั้งว่าเราต้องการกำไร 1 ล้านบาทต่อเดือน
ทุนนิยมต้องการจำนวนประชากรเพื่อกระจายสินค้า
หนึ่งล้านบาทต่อเดือน สมมุติกำไรชื้นละ 100 บาท ต้องขายหนึ่งหมื่นชื้นต่อเดือน ถึงจะกำไรหนึ่งล้านต่อเดือน
แต่เราจะต้องมีคู่แข่ง นั่นหมายถึงคนอื่นก็กำลังหาหนึ่งหมื่นชิ้นต่อเดือนเช่นกัน
จะเห็นได้ว่า แค่ประชากรหยิบมือเดียว(เรา คู่แข่ง และบรรดาลูกจ้าง) มันก็ผลิตเพื่อประชากรจำนวนมหาศาลได้
ยิ่งปัจจุบันโรงงานแทบไม่ต้องใช้คนงาน ออฟฟิศก็กำลังจะเปลี่ยนเป็นซอฟต์แวร์A.I ยิ่งทำให้ใช้คนน้อยลงอีก
*ข่าว A.I ทำกราฟฟิคดีไซน์, A.I ทำไลฟ์สด, ChatGPT ช่วยเขียนสคริปต์
*ข่าวโรงงาน Tesla ไม่ใช้ในสายการผลิตเลย
แล้วการเกษตรก็กำลังจะกลายเป็นโรงงานเพิ่มขึ่นเรื่อยๆ เช่นการเลี้ยงปลา เลี้ยงสัตว์ ตอนนี้ในจีนกลายเป็นโรงงานได้หมดแล้ว
* ข่าว ระบบอัตโนมัติในจีนเลี้ยงหมูบนตึก20ชั้น
* ข่าว การเลี้ยงปลาโดยระบบกึ่งอัตโนมัติ
อีกไม่นานคงจะอัตโนมัติหมด
งั้นเหลืออะไรให้ทำบ้าง? อสังหา, ร้านบริการต่างๆ(เช่นตัดผม ทำผิว ทำหน้า สัก),
แต่ในที่สดุ ร้านเหล่านี้ก็มีปริมาณที่มากที่สุดที่เมืองๆนึงจะต้องการ เช่น ร้านตัดผมอำเภอเล็กๆคงมีไม่เกินกี่ร้าน ร้านตัดผมในกรุงเทพก็ต้องมีได้ไม่เกินกี่ร้าน เพราะเหตุผลเหมือนกัน ร้านเดียวตัดให้คนจำนวนมากๆ ถึงจะกำไร หรืออสังหา ในที่สุดก็เต็มตลาด ดูได้จากเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครผลิตตึกออฟฟิศให้เช่าแล้ว เพราะมันมีได้แค่กี่บริษัทในประเทศ และตอนนี้ประชากรหดตัว แม้กระทั่งคอนโดก็จะแย่ เพราะในอนาคต ครอบครัวมีลูกคนเดียว เกิดมาก็มีบ้านสองหลังของพ่อกับของแม่เป็นมรดก
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่นานคนรวยรุ่นลูกก็จะจับคู่กัน ก่อให้เกิดแชร์โบลในเกาหลีใต้ คือกลุ่มธุรกิจขนาดยักษ์แต่งง่านข้ามกันไปมาสร้างระบบชนชั้นในสังคมที่คนจนไม่มีสิทธิ์ขึ่นไปเป็นคนรวยตลอดไป จนกว่าจะเกิดสงครามหรือการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ซึ่งกรณีเกาหลีใต้ แม้แต่ร้านเล็กๆในย่อหน้าบนก็ยังคงเป็นของลูกหลานเพื่อนแชร์โบล์
ตอนนี้ไทยเราอยู่ตรงไหน ผมเชื่อว่าเรากำลังเข้าสู่ยุคอิ่มตัว ยุคที่เจ้าตลาดต่างๆมีหมดแล้ว ดังนั้นคนที่ต้องการสร้างตัวควรมองระดับโลก
งั้นโลกเราอยู่ตรงไหน ตอนนี้โลกเรา ประเทศที่พัฒนาแล้วคือประเทศที่อิ่มตัวแล้ว แม้แต่จีนก็กำลังจะอิ่มตัวแล้ว ที่ๆยังไม่อิ่มตัวคือประเทศยังจนมีลูกเยอะ ยิ่งประเทศจนมีลูกเยอะ ยิ่งมีโอกาสสำหรับเจ้าของธุรกิจใหม่ๆ ถ้าใครยังหนุ่ม มีความกล้าผจญต่ออันตราย ผมว่าพม่า,อาฟริกาคืออนาคตสำหรับการตั้งธุรกิจใหม่ๆ
สำหรับประเทศที่อิ่มตัวแล้ว ทางเดียวที่จะสร้างธุรกิจใหม่ๆคือ เทคโนโลยีใหม่ ซึ่งทางนี้ ณ ตอนนี้ก็ยากอีก เพราะดอกเบี้ยสูง ทำให้ Venture Capital ไม่อยากมาเสี่ยง10เอาหนึ่ง การจะมีเทคโนโลยีใหม่คือต้องออกมาจาก research lab ร้อนๆ หรือคนที่มีไอเดียในการนำเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในตลาดที่ยังคงใช้เทคโนโลยีเดิมแล้วเอาชนะเจ้าตลาดเดิม
ดังนั้นธุรกิจที่จะเติบโตได้ในอนาคต จะต้องเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆที่ใช้งานได้จริง (เช่น A.I อย่างที่ทุกคนเห็น) ซึ่งถ้ามองเทรนเทคโนโลยี จะมีเทรนดังต่อไปนี้
1. การแบ่งแยกระบบอุปทานโลกออกเป็นสองขั้ว จีน สหรัฐ
การแบ่งห่วงโซ่อุปทานโลกก่อให้เกิดช่องว่างทางอุปทานของแต่ละฝ่ายที่เคยเติมเต็มกันก็กลายเป็นช่องว่าง
ถ้าใครสามารถช่วยอุปทานของฝ่ายนึงให้ชนะอีกฝ่ายนึงได้ ก็ทำธุรกิจได้
2. Central Bank Digital Currency + Big data
คือถ้าใครรู้ว่าเกิดการซื้อขายที่ไหนทุกที่ในประเทศไทย หรือ ประเทศขนาดกลางขึ้นไป รวย เพราะสามารถไปขายแข่ง
แต่คนที่จะเข้าถึงข้อมูลนี้ก็น่าจะเป็นคนที่เข้าถึงข้อมูลCBDC
3. A.I, Robotics, Automation นักวิจัยกลายเป็นนักธุรกิจ
ถ้าใครสามารถเอาผลงานวิจัยตัวเองหรือคนอื่นมาทำธุรกิจได้ ก็เป็นธุรกิจได้
4. สังคมคนชราที่มีปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง
สินค้าเกี่ยวกับคนชรา หรือบริการดูแลคนชรา ถ้าทำแค่สาขาเดียวคงไม่ยาก ความยากคือการสเกลให้มีหลายสาขา
เทคโนโลยีทางการแพทย์ การแพทย์
5. เทคโนโลยีที่อาจจะมาในกรณีโลกเปลี่ยนทิศทางไปเป็นสงครามโลก เช่น เทคโนโลยีทหาร การผลิตอาวุธ
อันนี้คงไม่เกี่ยวกับผมและคุณผู้อ่าน
ปัญหาของการลงทุนเทคโนโลยีใหม่ในปัจจุบันคือ โลกเรากำลังเข้าสู่ยุคดอกเบี้ยสูงขึ้น นั่นคือเงิน Venture Capital จะลดลง
การก่อหนี้กับธนาคารในกิจการด้าน start up นับว่าเสี่ยงสูงมากเมื่อ start up 90% จะไม่ประสบความสำเร็จ ปัญหาอีกข้อคือ ประเทศไทยเรายังไม่สามารถสร้างเทคโนโลยีได้ขนาดนั้น เนื่องจากการลงทุนที่สูงและโอกาสล้มเหลวสูง ทำให้ไม่ค่อยมีคนกล้าวิจัยเพื่อstart upในไทย
คุณว่าจริงไหม แล้วจะทำไงดี ถึงจะสร้างธุรกิจในยุคนี้สำหรับคนไทย