การเดินทางครั้งนี้ถือว่าเป็นทริปพิเศษประจำปี 2019 โดยมีเพื่อนสาวเป็นผู้ดำเนินการจัดทริปหรูหราไฮโซ ทั้งหมดนี้เพื่อ สว. ของเราได้ไปไหว้พระขอพรปีเก่าปีใหม่ไปพร้อมกันในคราเดียวเลย จะได้เฮงๆปังๆ ตลอดปีตลอดไปจ้า
เราจองทริปแบบส่วนตัว ระหว่างวันที่ 30 ธค. 62 ถึง 1 มค. 63 และจองตั๋วเครื่องบินเองตามวันและเวลาที่เหมาะสม เดินทางไปลงเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า โดยสายการบิน Thai Lion Air SL200 เวลา 06:45 - 07:35 ออกเดินทางจากประเทศไทยสู่สนามบินนานาชาติมินกะลาดง เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า
(ใช้เวลาเดินทาง 1.10 ชม.) ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง (เวลาท้องถิ่นที่พม่าช้ากว่าประเทศไทย 30 นาที)
ช่วงเทศกาลท่องเที่ยวแบบนี้ สนามบินจึงเนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากมาย แถมเสียเวลาในการลงทะเบียนเช็คอิน
และเข้า ตม. ตั้งแต่ขาไปแบบสไลว์ไลฟ์มาก ๆ พอมาถึงพม่าก็ช้าอีกทำให้เราเลยกำหนดการที่ตั้งไว้ตามแผนไปเลย
เมื่อมาถึงสนามบินนานาชาติมินกะลาดง เมืองย่างกุ้ง ไกด์ที่ดูแลเราก็มารอเราตรงบริเวณทางออก
ไกด์ของเราชื่อน้องเอ็มมี่ เราก็เรียกเค้าว่าน้องมีมี่ตลอดทริปเลย..55++
ถึงสนามบินเรียบร้อยน้องมีมี่ ไกด์ของเราพาไปรับประทานอาหารเช้าแบบพม่ากับชุดขนมจีนโมฮิงกา 1 ชุด และขนมจีบคนละ 3 ถาด
พร้อมชาพม่าแท้ เป็นบริการพิเศษจากทางทัวร์
โมฮิงกา หรือ หม่อฮิงคา (Mohinga) เป็นขนมจีนแบบพม่ากินกับน้ำยาปลาใส่หยวกกล้วย ซึ่งเป็นอาหารประจำชาติของพม่า
นิยมรับประทานเป็นอาหารเช้า ในเมืองย่างกุ้งจะมีแผงขายโมฮิงกาอยู่ทั่วไป ที่เป็นร้านก็มี แต่น้อยมาก โมฮิงกาถึงได้ว่าเป็นอาหารประจำชาติ
แต่ได้รับความนิยมกันมากในภาคกลางเท่านั้น ทางเหนือของเมียนม่าจะเป็นวัฒนธรรมไทยใหญ่ เขาทานอาหารแบบอื่น พวกขนมจีนน้ำเงี้ยวอะ
อิ่มหนำสำราญแล้ว แต่ส่วนตัวไม่ค่อยถูกปากเท่าไร สงสัยชินรสชาติติ่มซำเยาวราชมากเกินไป
และสถานที่แรกคือ เราจะไปเมืองหงสาวดีหรือเมืองพะโค อดีตเมืองหลวงที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นเมืองมอญโบราณที่ยิ่งใหญ่อายุมากกว่า 500 ปี
ชมเจดีย์ไจ๊ปุ่น ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1476 เป็นวัดที่สร้างเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ 4 องค์ หันพระพักตร์ไปยัง 4 ทิศ
แทนความหมายถึงพระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางทิศเหนือ,
พระพุทธเจ้าโกนาคมโน ทางทิศใต้, พระพุทธเจ้ากกุสันโธ ทางทิศตะวันออก, พระพุทธเจ้ามหากัสสปะ ในทิศตะวันตก
เรายังอยู่กันที่เมืองหงสาวดี หรือเมือง Bago นะ จากเจดีย์ไจ๊ปุ่นเราก็มาไหว้พระนอนกันคะ ชื่อเต็มว่า พระนอนชเวตาเลียว หรือพระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว มีอายุเก่าแก่มากกว่า 1,200 ปีมาแล้ว คนไทยมักเรียกว่า “พระนอนยิ้มหวาน” เป็นพระร่วมสมัยกับปราสาทบันทายสรีของกัมพูชา
เป็นพระนอนที่สวยงามที่สุดในพม่า องค์พระมีความยาว 55 เมตร สูง 16 เมตร ถึงแม้จะไม่ใหญ่เท่าพระพุทธไสยาสน์เจ้าทัตจีที่ย่างกุ้งเท่าไหร่
แต่ความงามนั้นสวยงามกว่า โดยพระบาทนั้นจะวางเหลื่อมพระบาท ซึ่งจะเป็นลักษณะที่ไม่เหมือนกับพระนอนของไทยเรา
แต่เป็นศิลปะที่สวยงามอีกแบบที่น่าสนใจ พระนอนชเวตาเลียวนับเป็นพุทธบูชาศักดิ์สิทธิ์
เป็นอันดับสองรองจากพระธาตุชเวมอดอร์ (ไจท์มุเตา) ของเมืองหงสาวดี
ได้เวลามื้อเที่ยงของเรากับร้านอาหารเหลาๆ กันที่ Royal Taste ไกด์ได้จัดเตรียมทุกอย่างพร้อม แน่นไปด้วยกุ้งแม่น้ำเผาตัวโต ไข่เจียว
น้ำพริกกรอบๆ แปลกดี กินกับไข่เจียวเข้ากันมากเลย ผัดถั่วและก็รสชาติเข้าท่าเหมือนใส่ความซ่าของพริกหมาล่าลงไปคลุกเคล้าด้วย เมนูอื่นๆ
ก็จรรโลงลิ้นมิใช่น้อย หรือว่าหิวก็ไม่รู้นะ (สำหรับมื้อนี่พี่ให้ 3 ผ่านจ๊ะ) ร้านนี้เค้าติดอันดับ “A good restaurant in Bago” ด้วยนะ
ไม่ไกลจากพระนอนยิ้มหวานด้วย ใครมาไหว้พระอิ่มบุญแล้วก็มาอิ่มท้องกันที่ร้านนี้ได้เลยคะ เค้าเปิดทุกวัน 9:00-23:00 น.
มาถึงเจดีย์ชเวมอดอร์ (พระธาตุมุเตา) เป็นอีกเจดีย์หนึ่งที่สวยงามไม่แพ้เจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง
เป็นมหาเจดีย์เก่าแก่ (2,000 ปี) อยู่กลางเมืองหงสาวดี พม่าเรียกว่า ‘ชเวมอดอ’ หมายถึง มหาเจดีย์พระเจ้าทองคำ
มีฉัตรแบบเรียบ ๆ และมีองค์ระฆังของเจดีย์แคบเรียว ภายนอกหุ้มด้วยทองจังโก้ ภายในเป็นอิฐกลวง
บริเวณรอบ ๆ องค์เจดีย์มีพระพุทธรูปหลายองค์ให้กราบไหว้ เป็นศิลปะมอญผสมพม่า อีกด้านก็มีพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ ด้วย
มีความเชื่อว่าหากใครได้ไปกราบไหว้องค์พระธาตุแล้ว นำเอาไม้ไปค้ำไว้กับยอดพระธาตุที่หัก
พร้อมกับเอาหน้าผากไปแตะกับยอดองค์พระธาตุที่หักลงมา จะทำให้ชีวิตของคนคนนั้นไม่มีวันตกต่ำลงไปได้
มาถึงไฮท์ไลท์ของวันนี้ พระธาตุอินแขวน ก้อนหินแห่งศรัทธา การเดินทางมาที่นี่จะยากลำบากนิดหน่อย
ด้วยระยะทางที่ไกลจากเมืองหงสาวดี มาถึงเมืองไจก์โท ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. เรานั่งรถตู้มาและก็ต้องมาเปลี่ยนรถขนหมู
(คนไทยเรียกแบบนั้น เพราะมันเหมือนจริงๆ) นั่งมาประมาณ 45 นาที และก็ต้องเดินต่อไปอีก 2 กิโล
หลังจากหลับบนรถตู้จนอิ่ม เราเสำราญตากับธรรมชาติ 2 ข้างทางบนรถขนหมู ซึ่งจริงๆ ก็ไม่แย่อย่างที่คิดนะ
รถเค้ามีหลังคา ติดโช้คเปิด และปิดได้ เพื่อให้คนขึ้นลงได้อย่างสะดวก เราต้องเดินเข้าคอกหมูเรียงถวขึ้นไปอย่างเป็นระเบียบ
บันไดสูงชันเหมือนเรากำลังปีนขึ้นไปนั่งบนหลังช้าง
ค่ารถโดยสารนั้นหากต้องการนั่งหน้ากับคนขับ คนละ 80 บาท นั่งแบบปกติ คนละ 60 บาท
เราสามารถนั่งกระเช้าขึ้นไปได้ด้วยนะ แต่ก็ต้องขึ้นรถขนหมูก่อนอยู่ดี โดยรถขนหมูก็จะไปจอดตรงจุดขึ้นกระเช้า
ปลายทางคือจุดเดียวกันเรา เลยไม่มีความจำเป็นที่จะเปลี่ยนไปขึ้นกระเช้า เสียเงินแล้วก็ยิงยาวไปเลยดีก่า
เมื่อลงจากรถบรรทุกหรือ Cable Car แล้วจะต้องเดินไปอีกประมาณ 800 เมตร จึงจะถึงพระธาตุอินทร์แขวน โดยจะมีด่านเก็บเงินค่าเข้า
(เฉพาะชาวต่างชาติ) คนละ 10,000 kyat อยู่ที่หน้าโรงแรม Mountain Top Hotel พอจ่ายค่าเข้าเรียบร้อย เราก็เดินไปอีกหน่อยก็ถึงที่พักเรา
และคืนนี้เราจะนอนที่นี่ Kyaik Hto Hotel เช็คอินที่นี่ก่อนเลยจ๊ะ ที่พักที่นี่ไม่ไก่กานะคะ ถือว่าดีมาก ๆ ใกล้พระธาตุด้วย
เราเดินทางขึ้นไปไหว้พระธาตุรอบแรกในช่วงก่อนหัวค่ำ และเดินทางลงมาเพื่อรับประทานอาหารเย็น ระหว่างทางก็แวะไหว้รอยพระพุทธบาท
เพื่อขอพรกันก่อน เกี่ยวกับเรื่องการงาน บ้างว่าหากใครอยากจะสำเร็จก้าวหน้า เรื่องการงานก็ให้เขียนขอพร อธิฐานและวางชื่อ
หรือเอานามบัตรตัวเองเอาไว้พร้อมจตุปัจจัย เชื่อว่าจะปังดังมีเชื่อเสียงเรื่องการงานอะไรประมาณนั้นอะ
เราไม่ได้เอานามบัตรมา สามารถเขียนชื่อขอพรก็ได้เหมือนกัน
ผู้คนเรียงรายเต็ม 2 ข้างทางระหว่างเดินลงมา มีทั้งของขาย ผู้มีจิตศรัทธาที่มานอนรอ นักแสดงบุญ พระภิกษุบ้าง
มีอาหารท้องถิ่นของพม่าขายข้างทาง ก็เมนูขนมจีนนั่นแหละ ขายดีด้วยนะ คนที่นี่ดูกินกันง่ายดี ฉันได้แต่ยืนมองตาปริบๆ (ไม่กล้ากิน)
การเดินชมวิถีผู้คนนี้ก็เพลิดเพลินดี
อรุณสวัสดิ์วันสิ้นปี เรามากราบไหว้ขอพรพระธาตุกันแต่เช้าตรู่ เป็นการกราบครั้งที่ 3 ว่ากันว่าถ้าผู้ใดได้มานมัสการพระธาตุอินทร์แขวนครบ 3 ครั้ง ก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ พร้อมทั้งขอสิ่งใดก็จะได้สมดั่งปรารถนาทุกประการ (เมื่อวาน 2 รอบ เช้านี้อีกรอบ ถือว่าครบถ้วน)
เช้านี้เราตื่นกันตั้งแต่ตี 4 คนเยอะกว่าเมื่อคืนอีกไม่รู้มาจากไหน ทุกคนต่างรีบกันมาซื้ออาหารถวายพระพุทธ เพราะเค้าให้ถวายถึงแค่ 6-7 โมงเช้า
เรา 3 คนครอบครัวเดียวกันก็จัดไป 1 ถาดใหญ่ ประมาณหมื่นจ๊าด ครบชุดทั้งผลไม้ อาหารคาวหวาน และน้ำ
เมื่อได้อาหารแล้วเราก็เดินไปไหว้พระธาตุ สวดคำอธิฐาน บริเวณใกล้กับพระธาตุ พร้อมด้วยถวายระฆังที่ได้เช่ามาบางคนก็จะสวดมนต์
และนั่งขอพรกันอย่างหนาแน่น แม้อากาศจะหนาวเย็นมากก็ตาม
เราแวะเช่าระฆังเขียนชื่อตัวเองลงไป เพื่อความมีชื่อมีเสียงกึ่งก้องกังวาล ราคา 100 บาทไทย (5,000 จ๊าด)
และด้วยบริเวณพระธาตุนั้นเค้าให้เฉพาะผู้ชายเราจึงให้คุณสามี ผู้ชายคนเดียวในทริปนี้เป็นตัวแทนในการนำทองคำเปลวไปติดกับพระธาตุ
แต่ก่อนเข้าก็ต้องผ่านเครื่องตรวจร่างกายกันก่อนนะ เพื่อความปลอดภัยค่ะ
เราค่อยๆ เดินลงมาเพราะคนหนาแน่นมาก และต้องรีบทำเวลาเพื่อจะได้ลงไปกินข้าว มื้อเช้าที่เดิมห้องอาหารเยื้องๆ กับโรงแรม
แล้วเช็คเอ้าท์ เดินเท้าลงไปต่อคิวขึ้นรถขนหมูลงไปด้านล่างกันจ๊ะ...
สถานที่ต่อไปวัดไจ้คะวาย (Kyakhat wine monastery) เป็นสถานศึกษาพระปริยัติธรรมคล้ายกับวิทยาลัยสงฆ์บ้านเรา
แต่พระที่มาเรียนมาศึกษาจะต้องอยู่ประจำที่นี่ เหมือนเป็นโรงเรียนกิน-นอนในสมัยก่อน จึงเป็นวัดเดียวที่ได้พบพระสงฆ์จำนวนมาก
เราไปถึงวัดไจ้คะวายราวเกือบ 11 โมง เกือบเพลพอดี คนต่อคิวยาวไปจนสุดทาง หากใครมาที่นี่อยากจะทำบุญอย่างอื่นเค้าก็รับนะ
ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้เพื่อการศึกษา เช่น สมุด ปากกา ดินสอ อาหารแห้ง แต่เราถวายเป็นค่าข้าวสาร จำนวน 2 กระสอบ
ไปต่อกันที่พระราชวังบุเรงนอง และบัลลังก์ผึ้ง เมืองหงสาวดี ชมวีรกรรมอันยิ่งใหญ่จากวรรณกรรมเด่น “ผู้ชนะสิบทิศ”
และความงามของพระราชวังอันยิ่งใหญ่อลังการ
ได้เวลามื้อเที่ยงกับร้าน GOLDEN KEY ร้านนี้คนเยอะด้วย อร่อยด้วย ที่นี่มีเมนูน้ำพริกป่น ๆ อีกแล้ว กินกับไข่เจียวคือเริดมาก
กินเสร็จก็มาช๊อปปิ้งกันที่ตลาดสก๊อต (Scott Market) หรือ ตลาดโบยกอองซาน ศูนย์รวมของฝากทุกชนิด โดยเฉพาะหยกพม่าถูกมากค่ะ
มหัศจรรย์ Myanmar 5 มหาบูชาสถาน