ใครบอกว่าภาษาอังกฤษนั้นง่าย 5 ปีกับการฝึกภาษาอังกฤษ

ผมไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวในทำนองที่ว่า “ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว” หรือไอพวกแนวคิด How to ที่ชอบบอกเคล็ดลับในการฝึกภาษาอังกฤษในวลาอันสั้น 

สำหรับคนที่ชอบพูดว่าภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียวนั้น คือคนที่เขามีพื้นฐานภาษามาก่อนหน้าแล้วไม่มากก็น้อย ฉะนั้นคำว่าง่ายสำหรับพวกเขา มันอาจจะยากยิ่งสำหรับคนอื่น โดยเฉพาะคนอย่างผม

ไม่ต่างกัน ผมก็เสียเงินและเวลาไปไม่น้อย ให้กับพวกที่ชอบหากินกับคนอยากฝึกภาษาอังกฤษ ด้วยหนังสือ คอร์สเรียนออนไลน์ ที่อวดอ้างว่าเรียนแล้วเห็นผลทันตา ฝึกภาษานะครับ ไม่ใช่การโปรโมทครีมหน้าใส ที่จะให้มาเห็นผลภายใน 7 วัน หรือ 1 เดือน

ผมเริ่มมาคิดฝึกภาษาจริงจังเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตอนเรียนจบปริญญาตรี เริ่มเห็นแล้วว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญโคตรๆ ในโลกของการทำงาน เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าคน 2 คน ความสามารถพอๆ กัน ถ้าอีกคนได้ภาษาอังกฤษ ความก้าวหน้าและโอกาสในหน้าที่การงานนั้นต่างกันลิบลับ

ผมเป็นคนไม่ได้มีพื้นฐานภาษาอังกฤษมามากนัก ในระดับที่ไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของ tense ต่างๆ ได้ แต่ถึงกระนั้นก็งง กับตัวเองว่าสมัยมหาวิทยาลัย ได้เกรด A ภาษาอังกฤษทุกเทอมมาได้อย่าง ผมไม่รู้จัก Past, Simple, Future tense ใดๆ ทั้งสิ้น และยิ่งมาได้รับค่านิยมที่บอกว่า ฝึกพูดไปก่อนแกรมม่าช่างมัน มันเป็นคำที่ผมทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เพราะการพูดทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจแกรมม่าเลยนั้น มันทำให้คนฟังสับสน และทำให้เราเองก็ไม่เข้าใจภาพรวมของภาษา ดังนั้นสำหรับผมการจะฝึกภาษาอังกฤษ ควรที่จะฝึกทุกๆ ด้านไปพร้อมๆ กัน 

เรียนแบบงูๆ ปลาๆ เรียนให้ตายก็ย่ำอยู่ที่เดิม

ในช่วง 2 ปีแรกที่ฝึกภาษาอังกฤษ ผมคิดเอาง่ายๆ ว่า เดี๋ยวดูหนัง ฟังเพลง ภาษาอังกฤษไปเรื่อยๆ ก็คงทำให้ตัวเองพูดได้ แต่ฝันไปเถอะครับ สำหรับผมคิดว่าดูให้ตายยังไงก็เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ผมแทบไม่เห็นพัฒนาการของตัวเองเลยกับการเรียนแบบนี้

แต่ทั้งนี้ผมก็ไม่ได้การันตีว่าการฝึกภาษาอังกฤษด้วยกันดูหนังฟังเพลง จะใช้ไม่ได้กับทุกคน ผมว่าการฝึกภาษาอังกฤษมันขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่า ซึมซับกับการเรียนรู้แบบไหนได้ดีกว่ากัน สำหรับผมการดูหนัง ฟังเพลง ฟังพอดแคสต์จะช่วยพัฒนาภาษาอังกฤษก็ต่อเมื่อคุณมีพื้นฐานมาบ้างแล้ว กล่าวคือพอฟังรู้เรื่อง ไม่เช่นนั้นการดูหนังเมื่อคุณอ่านซับไม่รู้เรื่องบ่อยเข้า คุณก็จะท้อและหันกลับมาอ่านซับไทย ส่วนการฟังเพลงนั้นมันกลายเป็นว่าเราฟังเอาแค่ทำนอง โดยที่ไม่ได้คิดตามไปกับเนื้อร้องเลย ผมเพิ่งมาฟังเพลงภาษาอังกฤษพอออก เมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้เอง จึงเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนตอนที่เราฟังแต่ไม่เข้าใจอะไร กับฟังแล้วเข้าใจความหมายของเนื้อเพลง

ในช่วงแรกผมมีไปเข้าคอร์สออนไลน์บ้าง แต่ในความคิดเห็นของผม การเรียนภาษาอังกฤษไม่ว่าจะในโรงเรียนหรือสถาบันใดๆ ก็แทบไม่ต่างกัน คือจำๆ สิ่งที่เรียนในห้องเรียน พอออกมาก็ไม่เคยได้ใช้ มันทำให้ไม่เห็นว่าสิ่งที่เรียนไป จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในบริบทใด และเมื่อมันไม่เห็นภาพและไม่เคยได้ฝึกฝน ไม่นานมันก็ลืม

การฝึกภาษาอังกฤษในช่วงแรกของผม ฝึกไปท้อไป เรียนบ้างหยุดบ้าง พอทำอะไรสักอย่างแล้วมันไม่เห็นผลลัพธ์ มันไม่มีแรงจูงใจให้เราทำต่อ และการฝึกภาษาอังกฤษในเมืองไทยนั้น เป็นเรื่องที่ยาก เพราะสภาพสังคมและวัฒนธรรมไทย ไม่เอื้อโอกาสให้คนไทยได้ใช้ภาษาอังกฤษเท่าไหร่นัก ทั้งที่เราเป็นประเทศที่ฝรั่งเต็มเมือง ในขณะที่ประเทศที่ผมเคยไปเช่นอินเดีย หรือฟิลิปปินส์นั้น ผู้คนพูดภาษาอังกฤษกันอย่างเป็นเรื่องปกติ ทำให้คนในประเทศอื่นๆ นั้นมีโอกาสในการสื่อสารอังกฤษมากกว่าไทยเยอะมาก

ผมจำได้ดีว่าประโยคหนึ่งที่ทำให้ผมไม่ยอมตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็กๆ เพราะครูสมัยประถมบอกว่า เราเป็นคนไทยพูดภาษาไทยอย่างเดียวก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดภาษาอังกฤษก็ได้ และด้วยความขี้เกียจเป็นทุนเดิม ผมก็เลยเออออเชื่อไปตามที่อาจารย์บอก วันนี้ถ้าเจออาจารย์คนนั้นอีกก็อยากจะเขกกะโหลกแกนะ เพราะผมมาเห็นค่าของภาษาอังกฤษก็ตอนทำงานนี่เอง

ผมเป็นคนขยันทำงาน และตั้งใจทำงานคนหนึ่ง งานแรกของผมคือการเป็น HR เพียงแค่ปีเดียวผมก็เรียนรู้งาน HR ได้อย่างคล่องแคล่ว จนได้รับการติดต่อสัมภาษณ์งานจากบริษัทต่างชาติ พร้อมเงินเดือนที่สูงขึ้นมากๆ

ผมได้รับการสัมภาษณ์เช่นนี้ 2-3 บริษัท และผลลัพธ์เหมือนกันหมดคือผมไม่ผ่านเลย ไม่ใช่ว่าผมไม่เก่ง แต่เพราะว่าผมพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เริ่มสะสมในตัวผมด้วยความเจ็บใจ ในทุกๆ ปีใหม่ ผมจะตั้งเป้าหมายในการพูดภาษาอังกฤษให้ได้ในทุกปี แต่ก็ไม่เคยทำมันได้ในซักปีเดียว ได้แต่ดูหนัง ฟังเพลง หวังลมๆ แล้งๆ ว่าสักวันก็คงพูดได้ แต่ฝันไปเถอะครับ การฝึกภาษาอังกฤษแบบไม่จริงจัง ฝึกให้ตายก็ไม่มีทางพูดได้ ถ้าไม่หาโอกาสใหม่ๆ ให้ตัวเอง

ออกจากกะลา ท่องโลกกว้าง เริ่มมีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติ

ผ่านมา 2 ปีหลังเรียนจบ ภาษาอังกฤษของผมยังแน่นิ่งอยู่ที่เดิม ผมท้อมาก จนกระทั่งได้เข้าไปนั่งฟัง Workshop หนึ่ง มีช่างภาพที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งมาบรรยายให้ฟัง เขาเป็นคนที่มีฝีมือเก่งมาก แต่ไม่สามารถไปทำงานในระดับนานาชาติได้ เพราะเขาติดเรื่องกำแพงภาษา ที่ทำให้ผลงานของเขายังคงจำกัดอยู่แค่ในไทย

ผมว่าปัญหามันอยู่ที่เรารู้ว่าภาษาอังกฤษสำคัญ แต่มันไม่ใช่สิ่งสำคัญอันดับแรกที่เราตั้งไว้ ชีวิตมักมีเรื่องสำคัญอื่นๆ ที่ง่ายกว่าให้เราต้องทำก่อนเสมอ ภาษาอังกฤษจึงเป็นเรื่องท้ายๆ ที่เราจะทำ ทั้งเมื่อทำไปวันแล้ววันเล่าก็ยังไม่เห็นผล ผมว่าหลายคนท้อแท้ และไม่อยากฝึกต่อ ผมเองก็เป็นเช่นนั้น

จนกระทั่งผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น ( ไปตามอ่านกันได้ https://pantip.com/topic/39412307) ด้วยความที่เป็นคนอยากรู้อยากเห็นเป็นทุนเดิม การได้ไปต่างประเทศครั้งแรก เหมือนได้เปิดหูเปิดตา และรู้สึกตื่นเต้นมากเวลาเห็นบ้านเมือง ที่เขาแตกต่างจากเรา ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ทำให้รู้ว่าตัวเองไม่อยากจะจมปลักอยู่แต่ที่ไทย อยากเดินทางท่องเที่ยวให้มากขึ้น อยากไปเห็นสิ่งใหม่ๆ อยากทำความรู้จักผู้คน การเดินทางไปต่างประเทศเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ผมลุกขึ้นมาฝึกภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง

หลังจากกลับมาจากญี่ปุ่น ผมเริ่มจัดตารางฝึกภาษาอังกฤษแบบเป็นขั้นตอน ผมฝึกแกรมม่าด้วยการลงเรียนออนไลน์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ผมฝึกการฟังและการอ่านจากซับไตเติ้ลในภาพยนตร์เช่นเคย แต่ที่ต่างออกไปผมเริ่มฝึกการพูดด้วยการไปพบเจอเพื่อนชาวต่างชาติผ่านแอป Counch suffing

Counch suffing เป็นแอปของพวก Backpacker ซะเป็นส่วนใหญ่ เราสามารถทำตัวเป็นเจ้าบ้านพาคนต่างชาติไปเที่ยว Hangout เมื่อเขามาเมืองไทยได้ ผมพยายามทักข้อความไปหาชาวต่างชาติที่มาเที่ยว กทม. ผมจำเพื่อนคนแรกได้ไม่ลืม รินเขาเป็นชาวเมียนมาร์ ผมนัดเจอเขาพาเขาไปราดข้าวแถวเสาชิงช้า โดยที่ผมบอกเขาว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยเก่ง ไม่มีเพื่อนต่างชาติคนไหนรำคาญที่ผมพูดไม่ได้ ทุกคนให้กำลังใจ และหลายคนก็เป็นเพื่อนกันมาถึงปัจจุบัน  ผมจำได้ดีว่าต้องพูดไปเปิดโปรแกรมแปลภาษาไป แม้จะทุลักทุเลไปบ้าง แต่ก็น่าสนุกและได้ฝึกภาษาแบบจริงๆ จังๆ 

หลังจากนั้นผมนัดเจอเพื่อนชาวเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย แอฟริกาใต้ จีน เยอรมัน กัมพูชา และอีกหลายคน ผมพบว่าการได้ฝึกพูดบ่อยๆ ช่วยเพิ่มความมั่นใจการสื่อสาร แต่ก็เป็นการสื่อสารที่ต้องใช้ความพยายามด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย รุ่นพี่คนหนึ่งก็บอกผมว่า เขาก็ฝึกภาษาอังกฤษกับการคุยกับคนต่างชาติแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่งที่เขาสามารถพูดได้

แต่ก็โชคร้ายที่โควิดดันเข้ามาซะก่อน เมื่อมีการปิดประเทศ นักท่องเที่ยวก็เข้ามาไม่ได้โดยปริยาย เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ทุกคนต่างต้องเอาตัวรอด แผนการเรียนภาษาอังกฤษของผมจึงต้องถูกพับไว้ แต่ก่อนที่จะถูกพับไว้ ผมก็ได้วางแผนการไปเรียนต่อภาษาอังกฤษที่ประเทศอินเดียไว้แล้ว และค่อยๆ เริ่มเก็บเงินนับตั้งแต่ที่โควิดเข้ามา

ช่วงโควิดผมย้ายงานมาเป็นนักข่าว ยิ่งเป็นอาชีพที่ทำให้เห็นว่าภาษาอังกฤษนั้นจำเป็นมากขนาดไหน แต่ตอนนั้นผมก็สนุกกับงาน จนเลื่อนแผนการไปเรียนภาษาอังกฤษออกไปวันแล้ววันเล่า จนกระทั่งวันหนึ่งที่ผมถูกส่งไปประชุมโปรเจคหนึ่งกับคนต่างชาติ

ผมจำเช้าวันนั้นได้ไม่ลืม ห้องประชุมประกอบไปด้วยนักข่าวจากหลากหลายสำนัก มีนักข่าวชาวเยอรมันคนหนึ่งเป็นเหมือนประธานของการประชุม เขากล่าวทักทายผมพร้อมพูดอะไรสักอย่างกับผม ทุกสายตาในห้องจับจ้องมาที่ผม ก่อนที่ผมจะก้มหน้าบอกเสียงเอื่อยๆ ไปว่า ผมพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ครับ จนมีคนต้องแปลให้ว่า ชาวเยอรมันเขาชมว่าผมเขียนงานชิ้นหนึ่งได้ดี มันเป็นความรู้สึกที่โคตรอาย และเจ็บใจว่าทำไมเราก็ทำงานได้ดี แต่ต้องมาเสียความมั่นใจเพราะเพียงว่าไม่ได้ภาษาด้วย

จุดเปลี่ยนชีวิต เรียนภาษาอังกฤษที่อินเดีย 

หลังจากกลับมาจากการประชุมในวันนั้น ผมเอาแผนเรียนต่อภาษาอังกฤษที่อินเดียมาปัดฝุ่นอีกครั้ง ย้อนกลับไปสำหรับคนที่เคยบอกว่า เรียนภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว ขอย้ำอีกครั้งว่ามันไม่ง่ายหรอกครับ และยิ่งเราได้ยินคำนี้กรอกหูมากเท่าไหร่ มันจะยิ่งทำให้เราท้อ เพราะทำไมคนอื่นมันบอกว่าง่ายวะ สำหรับผมมันยากชิบ!  มันยากจนผมต้องลาออกจากงาน ทิ้งชีวิตในเมืองไทย และต้องไปผจญภัยชีวิตที่อินเดีย ดังนั้นสำหรับคนที่กำลังฝึกภาษาอังกฤษอยู่ ผมจะไม่บอกว่ามันง่าย แต่ผมจะบอกว่าอย่าเพิ่งท้อ ถ้าวันใดคุณต่อมันติด คุณจะสนุกกับการใช้ภาษาอังกฤษมากๆ

เหตุผลที่เลือกอินเดีย ตอบง่ายๆ ก็เพราะไม่มีเงินไปประเทศอื่นครับ และถ้าให้ย้อนกลับไปก็จะยังเลือกประเทศนี้ ผมเป็นหนี้บุญคุณประเทศอินเดียที่ทำให้ผมพูดภาษาอังกฤษได้ ในตอนท้ายของบทความชิ้นนี้ ผมจะขอแชร์เทคนิคการฝึกภาษาอังกฤษของผมที่อินเดีย 

รายละเอียดการสมัครเรียนและการใช้ชีวิตอื่นๆ ของผมในอินเดีย สามารถตามอ่านได้จากกระทู้นี้ https://pantip.com/topic/41984566  โดยผมจะขอแชร์เฉพาะเทคนิคการบังคับฝึกภาษาอังกฤษของตัวเอง 1 ปีที่นั่น โดยในแต่ละวันตารางการฝึกภาษาอังกฤษของผมจะเริ่มจาก

ผมจะตื่นนอน 7 โมงเช้า ใช้เวลาช่วงเวลา 1-2 ชม. ในการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ เริ่มต้นจากวรรณกรรมเด็ก เรื่องที่จำได้ไม่ลืมคือเจ้าชายน้อย และก็เริ่มอ่านนิยายรัก ผมว่าการอ่านนิยายที่เนื้อเรื่องน่าติดตาม มันจะช่วยให้เราไม่เบื่อไปเสียก่อน แต่ก็ยอมรับคำว่า 3 เดือนแรกที่อ่านทรมานมาก มันอ่านไม่ค่อยสนุก เพราะต้องอ่านไปแปลคำศัพท์ไป จนกระทั่งมารู้เทคนิคว่าไม่จำเป็นต้องรู้ศัพท์ทุกคำก็ได้ รวมทั้งเลือกอ่านเรื่องที่ชอบจริงๆ เท่านั้น พอเข้าสู่เดือนที่ 4 ผมก็เริ่มสนุกกับการอ่านนิยายภาษาอังกฤษ

ประมาณ 8 โมงครึ่ง ผมจะเดินทางไปโรงเรียนสอนภาษาที่ผมสมัครไว้ ช่วงครึ่งปีหลังเพื่อนชาวซาอุฯ ก็แนะนำว่าให้ผมซื้อหูฟังแบบไร้สาย ไว้เปิดพอดแคสต์ระหว่างทางไปโรงเรียน ผมชอบฟังรายการ all ears english  เป็นพอดแคสต์ที่ง่ายต่อการฟังสุดแล้ว  ผมว่าทักษะการฟังก็สำคัญ มันทำให้เราได้คำศัพท์ใหม่ๆ และทำให้เห็นว่า ถ้าเราฟังใครสักคนมากพอ เราจะเริ่มเข้าใจเขามากขึ้น ผมจะสังเกตว่ากับเพื่อนสนิทเราจะสื่อสารกันเข้าใจง่ายกว่าการคุยกับคนแปลกหน้า กับเพื่อนสนิทต่อให้สำเนียงเพื่อนคนนั้นจะฟังยากแค่ไหน แต่ความคุ้นเคยในน้ำเสียงจะทำให้เราเข้าใจเขาเอง  อย่างทุกวันนี้ผมฟังอังกฤษสำเนียงอินเดียเก่งมาก

ผมจะไปถึงโรงเรียนประมาณ 9 โมงครึ่ง ก่อนเวลาเรียน 1-2 ชั่วโมง อาศัยช่วงเวลาตอนนี้ในการฝึกพูดกับเพื่อนชาวอินเดีย คนอินเดียพูดเก่ง ชวนคุยได้ไม่มีวันหมด ผมได้ความมั่นใจ และโอกาสในการฝึกพูดกับพวกเขาในช่วงแรกเยอะมาก ข้อได้เปรียบคือผมเป็นคนปรับตัวไว้ และเรียนรู้ไว พอเวลาผ่านไป 3 เดือนผมก็มั่นใจในการพูดกับชาวเอเชียแล้ว แต่ยอมรับว่าตอนนั้นยังฟังสำเนียง และความเร็วในการพูดจากพวกชาวตะวันตกไม่ค่อยรู้เรื่อง

ช่วงเวลา 11 โมงถึงบ่าย 4 โมงเย็น คือการเรียนภาษาอังกฤษในห้องเรียน สำหรับผมช่วงแรกในการฝึกภาษาอังกฤษการได้รับพื้นฐาน หลักการต่างๆ ก็สำคัญไม่แพ้การฝึกพูด ผมเข้าใจหลักแกรมม่า หลักการเขียน การอ่าน จากในห้องเรียน ข้อดีของการเรียนที่อินเดียคือ ไม่ว่าจะเรียนอะไรมา เราจะได้นำสิ่งนั้นมาใช้นอกห้องเรียนทันทีทันใด 


ในห้องเรียนภาษา ในประเทศอินเดีย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่