[CR] Backpack กำเงิน 1 หมื่นบาทถ้วน ไปตะลุยญี่ปุ่นครั้งแรก



.     ญี่ปุ่นประเทศที่ผมไม่เคยอิน และยังไม่เคยคิดอยากจะไป เพราะไม่มีตัง แต่แล้วเหมือนถูกหวย ได้ตั๋วเครื่องบินฟรีมาซะงั้น
มันก็เลยเกิดเป็นการเดินทาง และญี่ปุ่นก็ทำให้ผมตกหลุมรัก........

.     นี่เป็นการเดินทางต่างประเทศครั้งแรกของผม ถ้าไม่นับลาวที่ไปแค่วันเดียว สำหรับนักเดินทางที่ผ่านการเดินทางในประเทศไทย
มาหลายต่อหลายครั้ง การเดินทางไปญี่ปุ่นเองก็จะยากอะไร ผมมีเวลาเตรียมตัวถึง 6 เดือน  วันนี้เลยอยากมาบันทึกเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในทริป backpack กำเงินหมื่นไปตะลุยเจแปนกัน  หวังว่าบันทึกนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่อยากไปญี่ปุ่นแบบไม่ต้องจ่ายหนัก แต่ยังไม่รู้จะเริ่มอย่างไรอยู่ 

.     6 เดือนก่อนการเดินทาง  “คุณคือผู้โชคดีได้ตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่น” นี่คือ รางวัลจากการเล่นกิจกรรมบน Facebook  หันไปปรึกษาแฟนว่าเอาไงดี
ก็ได้คำตอบแบบที่ไม่ต้องถามก็ได้คือ “ไป”

.     เราเริ่มแบ่งกันหาข้อมูลว่าการเดินทางไปต่างประเทศต้องทำอย่างไร ซึ่งบอกเลยว่า รายละเอียดแมร่งโคตรเยอะ สำหรับคนที่ไม่เคยไปนะ
แต่ถ้าผ่านครั้งแรกได้ครั้งต่อไปก็สบาย โดยคร่าวๆก็จะมีดังนี้
ทำพาสปอร์ต จองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก ดูเรื่องแผนการเดินทาง ประกันการเดินทาง ซิมมือถือ กฎระเบียบการผ่านตม. การแลกเงิน 
พาสตั๋วรถไฟที่จะใช้ในญี่ปุ่น วางแผนค่าใช้จ่าย วัฒนธรรมญี่ปุ่น ข้อห้าม ไฟฟ้าที่ใช้  เป็นต้น 

ซึ่งแต่ละอันที่ว่ามามันก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยให้เรา ได้ปวดหัวกันอยู่ในครั้งแรกที่ผมคิดว่าอย่างน้อยๆควรมีเวลาเตรียมตัวสัก 3 เดือน

.      คราวนี้พอคุณวางแผนเรียบร้อยแล้วใช่ไหม ไอผมก็คิดว่า เย้ จะได้ไปสักที แต่ก็มีความคิดในหัวอีกว่า ถ้าแมร่งจะยุ่งยากขนาดนี้ กูเที่ยวในประเทศยังสบายซะกว่า อีกทั้งยังแอบเสียดาย ว่าเงินตั้งหมื่นนึง  เพราะนั้นมันคือเงินเดือนเกือบทั้งเดือน

.      แต่เท่านั้นยังไม่พอนะ ตอนที่ผมหาข้อมูลญี่ปุ่น ผมก็ได้เข้าไปอยู่ในกลุ่ม คนชอบตะลอนญี่ปุ่น เราก็เสพข้อมูลเขามาเรื่อยๆ จนมาเจอโพสของหลายๆคนประมาณว่า ถ้าคุณเจอพายุ หรือเหตุไม่คาดคิด คุณก็อาจจะโดนเลื่อนไฟล์ทบินได้ ได้แต่อุทานเบาๆในใจ  นอกจากจะยุ่งยากแล้ว ยังต้องมาวัดดวงว่าจะได้ไปอีกหรอเนี้ย   

.     จังหวะวันที่ผมไปเป็นช่วงที่พายุฮากิบิส ลูกใหญ่กำลังเข้าญี่ปุ่น ก็เลยได้แต่สวดมนต์ภาวนาว่า ให้ผมได้ไปเถอะ  และก็บอกเลยว่า รอบนี้รอบเดียวพอขอฉันเที่ยวไทย หรือประเทศใกล้บ้านฉันพอดีกว่า แต่จนแล้วจนรอด ก็มาถึงวันที่ออกเดินทาง

.      ผมบินรอบ ตีหนึ่ง แต่ด้วยความกลัว + ความไม่เคยไปต่างประเทศและขึ้นเครื่อง ผมเลยไปถึงสนามบินตั้งแต่ทุ่มนึง แต่ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด เพราะเขาเปิดให้เช็คอินตั้งนู้น สามทุ่ม  พอถึงเวลาเราก็เดินไปเช็คอินกับพนักงาน อย่างของผมไม่ได้โหลดกระเป๋าไว้ใต้เครื่องบินก็ประหยัดเงินได้หลักพัน มีแค่กระเป๋าสะพาย ตามระเบียบของสายการบินคือ ถ้าคุณไม่ซื้อน้ำหนักกระเป่าเพิ่ม คุณจะสามารถสะพายกระเป๋าเป้ได้ 1 ใบ แล้วก็กระเป๋าสะพายข้างหรือถือได้อีก 1 ใบ โดยน้ำหนักรวมกันต้องไปเกิน 7 กิโลกรัม แนะนำว่าให้ซื้อที่ชั่งน้ำหนักแบบพกพาติดมาไว้กันด้วย จะได้มั่นใจว่าน้ำหนักไม่เกิน แต่ขาไป ฝั่งไทยไม่ได้ตรวจเข้มเท่าไหร่ ขากลับนี่สิเกือบไม่รอด 555 ไว้จะมาเล่าตอนขากลับให้ฟัง

.     พอผ่านการเช็คอิน  ผมก็เดิน งงๆ มาด่านตรวจ ตม ขาออก เขาก็จะให้เราวางกระเป๋า และนำสิ่งของทุกอย่างผ่านเครื่องสแกน ถอดรองเท้าด้วยนะ และห้ามนำของเหลวเกิน 100 มิลลิลิตรขึ้นเครื่อง พาวเวอแบงค์ก็ต้องมีตัวเลขระบุแอมชัดเจน พอตรวจเสร็จ คุณก็สบายใจได้เลย เพราะว่าคุณจะได้ขึ้นเครื่องบินแน่นอน แต่สำหรับผมยังไม่สบายใจ เพราะคิดหนักอยู่ว่า พรุง่นี้จะผ่าน ตม ญี่ปุ่นไหม


"ย่างก้าวแรกที่ ญี่ปุ่น"

       มาถึงสนามบินคันไซตอน 8 โมงเช้า อย่าลืมปรับนาฬิกากันด้วยนะ ที่นี่เร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง ก็ถึงเวลาที่มาลุ้นกันว่าเขาจะให้เข้าประเทศไหม ที่กังวลเพราะว่า หน้าตาเราหนักไปทางขุนโจร ทั้งยังสะพายกระเป๋าใบเก่าๆคู่ใจ ยังกับไปเดินป่าเดินเขา ที่ผมก็คิดว่าเลือกชุดที่ดีที่สุดมาแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก่อนมา ผมก็ได้ศึกษามาหมดแล้วว่า ตม เขาจะถามอะไรบ้าง ผมทำตัวอย่างมาให้ดู

คำถามจุดประสงค์ของการมาที่นี่
- What’s the purpose of your visit? (purpose แปลว่า จุดประสงค์)
- Why are you here? (คำถามแบบตรงประเด็น)
- Why are you coming here?
คำตอบคือ    to travel. มาเพื่อท่องเที่ยว

คำถามเป็นครั้งแรกใช่หรือไม่ที่คุณเดินทางมาที่นี่
-Is this your first time here? (first time แปลว่า ครั้งแรก)
คำตอบ   Yes, this is my first time. ใช่ นี่คือครั้งแรกของฉัน

คำถามอาศัยอยู่นานเท่าไหร่
-How many day are you planning to be here?
-How long are you going to be in ……? (ชื่อประเทศ) (How long แปลว่า นานเท่าไหร่)
-How long will you be staying? อยู่กี่วัน
-Show me your return ticket, please. ขอดูตั๋วเครื่องบินขากลับด้วย ตอบ OK ก็ยื่นให้เขาเลย
คำตอบ  I’II be here for 4 days. 3 night at Japan , ตอบสั้นๆก็ได้ 4 days. 3 night

คำถามคุณเดินทางมากับใคร
-Who are you traveling with? (traveling with แปลว่า เดินทางกับ?)
-Are you traveling alone? (traveling alone แปลว่า เดินทางคนเดียว?)
คำตอบ I’m traveling with my boyfriend ( Gril friend) ฉันเดินทางมากับแฟน

คำถามคุณจะพักที่ไหน
-Where are you staying? (staying แปลว่า อาศัยอยู่)
-Where will you be staying?
คำตอบ  I’ll be staying at Osaka hotal  …… (ชื่อโรงแรม) ฉันจะพักอยู่ที่…… (ชื่อโรงแรม)พร้อมยื่นเอกสารการจองโรงแรมให้ตรวจสอบ

.     เมื่อข้อมูลมีพร้อมผมก็เดินดุ่มๆตาม นักท่องเที่ยวคนอื่นไป จนไปถึงหน้าเคอเตอร์ ตม ใจนี่เต้นเร็วยิ่งกว่าจังหวะสามช่า ลุ้นยิ่งกว่าสอบติดมหาลัย
เจ้าหน้าที่กรอกข้อมูลอยุ่พักนึง ก็ยื่นเอกสารคืนให้ ไอที่เตรียมมาตั้งเยอะ ทั้งหนังสือรับรองการทำงาน ตั๋วเครื่องบินขากลับ แพลนเที่ยวภาษาอังกิต
ใบจ่ายเงินที่พัก  และอีกมากมายหายสิบแผ่น คุณ ตม ไม่ขอดูสักกะแผ่น แต่ถึงอย่างไรเตรียมไว้ก็อุ่นใจกว่ากันเยอะ แต่ดูแล้วส่วนใหญ่ทางญี่ปุ่นจะตรวจผู้หญิงเข้มงวดมากกว่าผู้ชายคงเป็นเพราะมีการออกข่าวเกี่ยวกับการขนยาเสพติดเข้าประเทศอยู่บ่อยครั้ง



       เอาละๆ ได้เวลาตะลุยญี่ปุ่นกันแล้ว ก่อนอื่นเลยต้องไปแลกบัตรขึ้นรถไฟที่ซื้อตั้งแต่ที่ไทยกันก่อน ซึ่งขั้นตอนนี้ก็ทำเอาผม งง อยู่นาน กับการศึกษาการเดินทางในญี่ปุ่นว่าจะ ซื้อตั๋วแบบใดดี เพราะที่ญี่ปุ่น รถไฟเยอะมากกกกกกกก ทั้ง ของรัฐบาล เอกชน ใต้ดิน บนดิน ข้ามเมือง ในเมือง วิ่งกันให้วุ่นไปหมด ซึ่งเราก็ต้องออกแบบแผนการเดินทางของเราให้สอดคล้องการพาสที่เราจะซื้อ เพื่อความคุ้มค่าของค่าใช้จ่ายที่เสียไป เพราะอย่างผมใช้คันไซ ทรูพาส ใบเดียวก็สามารถขึ้นรถไฟเอกชนได้ทั้งหมดตลอดทริป ไม่เสียค่ารถไฟฟ้าสักบาทเดียวเลยละ

          ได้เวลาขึ้นรถไฟเข้าเมืองกันแล้ว ยังจำได้ดีถึงความรู้สึกที่ได้เห็นเมืองญี่ปุ่นครั้งแรก ตาแมร่งลุกวาวเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปดูการ์ตูนช่อง 9 อีกครั้ง คือมันเหมือนกันเด๊ะๆเลย อาคารบ้านช่อง โรงเรียน ถนนทางเดิน อย่างกับในโดเรมอนที่เคยดูมาไม่มีผิด ในวันแรกคุณไม่ต้องกลัว เพราะเราจะ งงๆ กับการดูสถานีรถไฟเล็กน้อย แต่พอขึ้นสองสามรอบคุณจะเริ่มเข้าใจและสนุกกับการเดินทางในญี่ปุ่น ที่แมร่งโคตรสะดวกสบาย จะไปไหนก็ขึ้นแต่รถไฟ บนถนน หนทาง นี่เห็นรถยนต์ มอไซ น้อยมาก จะมีแต่จักรยาน ที่คนญี่ปุ่นเขาขี่กันไปจอดตามสถานีรถไฟเพื่อใช้เดินทางไปไหนต่อไหน

พอรถไฟมาจอดสถานีใกล้ที่พัก ผมก็รีบบึ่งไปร้านสะดวกซื้อ ที่มีแต่ของน่ากินๆเต็มไปหมด แต่ก็มาจบที่ร้านข้าวไก่ทอดข้างๆ ชุดละ 500 เยน จะบอกว่าทริปนี้ผมหมดค่าข้าวมื้อละประมาณ 500เยนทุกมื้อ ก็จะเป็นพวกข้าวหน้าเนื้อ ข้าวไก่ทอด ข้าวหมูย่าง อะไรประมาณนี้ ต้องบอกว่ากินจานเดียวก็อยู่ท้องแล้ว เพราะในหนึ่งชุด มีทั้งเนื้อ ข้าว ผัก มาพร้อม แถมรสชาติก็อร่อยชวนให้คิดถึง

ชุดนี้ราคา 490 เยน ร้านอยู่ตรงย่านดงทงบุริ อร่อยมา เราชอบขิงดองที่เขาวางไว้เปนกับแกล้ม

Yoshinoya สถานที่ฝากท้องในทุกมื้อเย็น


.       เรามาถึงที่พักกันตอนเที่ยง เป็น Hostel ของพี่วูฟชื่อ Air Osaka Hostel ราคาตกคืนละ 1000 บาทเองละ ไม่มีอาหารเช้า ห้องน้ำรวมแต่สะอาด เป็น Hostel ที่ค่อนข้างเก่า เล็ก แต่อบอุ่นดี ให้อารมณ์เหมือนบ้านไม้ไทยผสมญี่ปุ่น ถ้าใครไม่คิดอะไรมาก ที่นี่เหมาะสำหรับเป็นที่ซุกหัวนอน เอาแรงไว้เที่ยวที่ราคาไม่แพง เจ้าของน่ารักมากเลยละ แต่ถ้าใครอยากอยู่แบบสบายๆไม่คับแคบ ที่นี่คงไม่เหมาะ


บรรยากาศภายใน จะเก่าๆหน่อย เป็นอาคารไม้

นี่คือห้องเรา ตกคืนละ 638 บาท / คน / คืน

     จัดการสัมภาระเสร็จสรรพ ก็ได้เวลาเที่ยว ที่แรกคือ ปราสาทโอซาก้า ระหว่างทางเดินก็ตะลึงในความสะอาดของบ้านเมืองเขาสมคำร่ำลือ ไปมา 4 วัน เจอขยะตามข้างทางไม่เกิน 10 ชิ้น คนที่นี่เขามีระเบียบวินัยดีมาก แต่เขาค่อนข้างจะเงียบเมื่อเทียบกับคนไทยที่พร้อมจะสนทนากับคนแปลกหน้าตลอดเวลา  5555 ที่ชอบอีกอย่างหนึ่งคือทางข้ามม้าลาย ที่ค่อนข้างไว้ใจได้ในเรื่องความปลอดภัย ไม่ต้องกลัวมอเตอร์ไซต์แว๊นมาเฉี่ยวชน หรือทำให้หัวร้อน เหมือนที่ไทยแน่นอน  แต่ๆๆๆๆเราอยากจะบอกว่าถึงแม้ที่ญี่ปุ่นจะมีระเบียบเรียบร้อย แต่เราก็แอบรู้สึกเหงาๆ อ้างว้างเหมือนกันเวลาเห็นคนญี่ปุ่น เพราะดูเขานิ่งสงบ แต่เรารุ้สึกถึงความเหงาลึกๆข้างในเหมือนกัน


ปราสาทโอซาก้า

.     เราไปถึงปราสาทโอซาก้า อากาศเย็นกำลังดี ที่นี่ก็ไม่มีอะไรมากสำหรับผมนะ ก็ไปถ่ายรูปเดินเล่นปกติ จากนั้นตอนเย็นก็วางแผนจะไปเดินเล่นย่าน ดงทงบุริ (สถานีรถไฟนัมบะ) ซึ่งเป็นย่านถนนคนเดิน ที่คนหนาแน่นตลอดทั้งวัน ครั้งแรกรุ้สึกเฉยๆกับที่นี่ แต่พอไปแล้วบอกเลยว่าห้ามพลาด คือผมเดินที่นี่ได้ทุกเย็น เดินแบบไม่มีตังซื้อของอะไรมากมายหรอกนะ แต่อยากเดิน เพราะบรรยากาศมันดี มันมีทั้งแสง สี ผู้คนจากหลากหลายชาติ เดินเพลินมาก ยิ่งถ้าขาช๊อปนะ มีกระเป๋าฉีก ขนาดผมไม่ชอบช๊อป ยังหมดเงินกับย่านนี้ไปหลายบาท  แนะนำเลยให้มาเดินช่วง 17.00 – 20.00 ฟินมากกกก


ย่านดงทงบุริ

       ขากลับเราก็นั่งรถไฟฟ้ากลับที่พัก การเดินทางทั้งหมดอาศัยแผนการเดินทางที่ทำมา กับ Google map เอา แล้ววันแรกในญี่ปุ่นก็ผ่านไป ทำให้ผมเริ่มตะลึงในความเป็นญี่ปุ่นแล้วสิ


"Day 2 wakayama"
 
            เราตื่นนอนกันตีห้าครึ่ง รีบจัดการธุระส่วนตัว เพื่อออกเดินทางกัน 6.30 น อากาศที่นี่คือดีงามมาก ปกติอยู่ไทยจะแสบจมูกตลอด ไปญี่ปุ่นอาการหายไปหมดเลย คงเป็นเพราะประเทศเขาใช้รถยนต์กันน้อยด้วยมั้ง ตัดภาพมาที่ไทยเรา รถเมล์แมร่งควันดำยังกับเฉาก๊วย


ระหว่างทางไปวะกะยะมะ
ชื่อสินค้า:   Osaka & Kyoto
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่