ไม่ได้อัพเดทเรื่องราวการท่องเที่ยวของตัวเองนานมากแล้ว ครั้งนี้เรากลับมาแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยวสำหรับขาลุยกันบ้าง
กับสถานที่แห่งนี้ "อุทยานแห่งชาติรามคำแหง หรือที่เรียกกันว่า เขาหลวงสุโขทัย" ในจังหวัดสุโขทัยค่ะ
ทริปนี้เราเดินทางกัน 4 คน เดินทางระหว่าง 11-14 พฤศจิกายน 2565 เป็นช่วงอากาศกำลังดีค่ะ
วันที่ 1 : วัดใหญ่-วัดนางพญา-ตลาดน้ำท่ารับเสด็จฯ
เราเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวกันค่ะ กะว่าจะขับรถไปเรื่อยๆ แวะไหว้พระทำบุญขอพรกันก่อน ณ วัดใหญ่ หรือ "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรวิหาร" จ.พิษณุโลก ที่มีองค์พระพุทธชินราชอันงดงามอยู่ที่นี่ ซึ่งหลายคนก็น่าจะเคยมากันแล้ว ข้างๆ ก็จะเป็นวัดนางพญาอันเลื่องลือ
หนึ่งในชุดเบญจภาคี เราจึงเช่ามา 1 องค์ปลุกเสกและทำพิธีในวันเสาร์ 5 ด้วยนะ ปังๆ กันไปจ๊ะ
จากนั้น เราก็มุ่งหน้าไปยังเมืองสุโขทัยค่ะ ไปเช็คอินที่ "สุโขทัยการ์เด้น" (ณเดชน์ก็เคยมาพักที่นี่ด้วยนะ)
ที่นี่มีจักรยานให้เราปั่นไปเที่ยวเล่นด้วยค่ะ มีอาหารเช้า และก็มีน้ำและผลไม้ให้ทานระหว่างวันด้วย แถมยังใกล้อุทยานแห่งชาติประวัติศาสตร์
และตลาดท่าน้ำรับเสด็จฯ ด้วยค่ะ เราสามารถปั่นจักรยานไปนั่งทานอาหารเย็นกันที่ตลาดได้อย่างสบายเลย ตลาดเปิดทุกวันศุกร์-อาทิตย์ค่ะ
วันที่ 2 : ตลาดเช้า - สะพานบุญวัดตระพังทอง - อุทยานแห่งชาติรามคำแหง ชมพระอาทิตย์ตกที่ "เขาพระแม่ย่า"
เราตื่นกันแต่เช้าและไปเดินเล่นที่ตลาด ข้างวัดตระพังทอง ไม่ไกลจากที่พักค่ะ เพื่อซื้ออาหารสำหรับใส่บาตรที่สะพานบุญ
"สะพานบุญ" เป็นจุดไฮไลท์ของจังหวัดสุโขทัยค่ะ โดยชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างก็มานั่งรอใส่บาตรพระกันแต่เช้า น่ารักมากๆ
หลังจากใส่บาตรเรียบร้อยเราก็กลับไปทานอาหารเช้าที่ที่พัก พร้อมกับเตรียมสะเบียงและสัมภาระต่างๆ ที่จะเดินทางไปยังอุทยานฯ
จากที่พักก็ใช้เวลาเดินทางประมาณไม่เกิน 30 นาที เมื่อมาถึงอุทยานเราจะต้องลงทะเบียนก่อนค่ะ โดยก่อนเดินทางเราได้จองที่พักล่วงหน้าผ่านแอพ QQ (จองล่วงหน้าได้ 15 วัน) แต่จริง ๆ จะ WALK-IN มาเลยก็ได้ค่ะ ถ้าช่วงนั้นเป็นช่วงที่คนไม่เยอะ
ลงทะเบียนเรียบร้อยเราก็ติดต่อลูกหาบ รวมถึงเตรียมสเบียงสำหรับเดินขึ้นเขาไปเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น เช่น น้ำดื่ม และอาหารเที่ยงระหว่างทาง
(เราซื้อเตรียมจากตลาดตอนเช้าแล้ว เป็นอาหารง่ายๆ พวกข้าวเหนียว ไก่ย่าง) ส่วนสัมภาระอื่นๆ จ้างลูกหาบขนไปค่ะ กิโลละ 25 บาทนะ
อุทยานแห่งชาติรามคำแหง มีเนื้อที่ 341 ตารางกิโลเมตร เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 18 ของประเทศ มีลักษณะเป็นเขาสูงสลับซับซ้อน
สภาพภูมิอากาศเป็นแบบฝนตกชุกสลับแห้งแล้ง แนะนำให้มาในช่วงฤดูหนาวค่ะ ประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ค่ะ
ซึ่งช่วงที่อากาศเย็นสบายที่สุดจะเป็นช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคมนะคะ โดยอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีนั้นก็จะประมาณ 27 อาศาค่ะ
ระยะทางจากจุดเริ่มต้นไปจนถึงที่พักกางเต้นท์ก็ประมาณ 3.7 km.
จากจุดเริ่มต้นเราเดินกันมาเรื่อย ๆ ตามทางจนมาถึงจุดชมวิว ถ้านับระยะทางที่เดินมาก็ประมาณ 1.6 กิโลเมตร แต่ทำไมเหนื่อยแล้วอะ นี่เพิ่งเริ่มต้นเองนะ
เรานั่งพักตรงนี้สักครู่ ก่อนจะเดินทางกันต่อ ชมวิวกันไปเพลินๆ แบบ 360 องศา สวยงามและมีลมพัดเย็นสบายค่ะ
อุปกรณ์ที่สำคัญในการเดินขึ้นเขาคือโพลนะคะ มันช่วยรับน้ำหนักหรือพยุงตัวเราได้ดี และก็ควรเดินอย่างช้าๆ เป็นจังหวังสม่ำเสมอ จะได้ไม่เหนื่อยมาก
จากจุดนี้เราเดินทางกันต่ออีกประมาณ 300 เมตร ก็จะเจอตะเคียนคู่, น้ำดิบผามะหาด, ชานเบิกภัย และไทรงาม ตามลำดับ
และเราจะแวะกินอาหารกลางวันที่เราได้เตรียมกันมา ณ จุดนี้ เพราะมันมีที่นั่งพอดี กินไปชมความงามต้นไทรไป
เมื่อมาถึง “ต้นไทรงาม” แสดงว่าเราเดินมาได้ 3 กิโลเมตร เหลืออีกแค่ 700 เมตร เราก็ถึงจุดหมายปลายทางของเราค่ะ
เดินไปชมธรรมชาติไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึงลานกลางเต้นท์ค่ะ แต่ช่วง 700 เมตรนี่แหละ ชันจนน่องตึงไปหมดเลยค่ะ
แต่ความเมื่อยล้าได้หายไปแบบชั่วขณะ เมื่อเรามาถึงจุดชมวิวระเบียงไม้ "หนูทำได้"
เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้านักวิ่งเทรลเจ๋งๆ เค้าใช้เพียง 45 นาทีในการเดินขึ้นมาถึงขุดนี้ ส่วนนักท่องเที่ยวหากแบกของเองเดินขึ้นเร็วๆ ก็ประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ แต่เราก็ใช้เวลาเดินทางประมาณไม่ถึง 2 ชม. ค่ะ เพราะไม่ได้แบกน้ำหนักอะไรมาก เมื่อมาถึงเราเดินไปหาเจ้าหน้าที่และเป๊ปซี่แบบด่วน
ใช่ค่ะ..เป๊ปซี่!!! อ่านไม่ผิดเพราะมันเหมาะกับร่างกายของเรา ณ ตอนนี้มาก ๆ
เจ้าหน้าที่ยิ้มและเดินมาต้อนรับเรา พร้อมบอกกับพวกเราว่าให้เลือกตำแหน่งเต้นท์ได้ตามสบาย เพราะค่ำคืนนี้มีไม่ถึง 50 คนเท่านั้น
ก็ช่วงที่เรามาเป็นวันอาทิตย์คนก็ทยอยลงกันไปเกือบหมด เราเลยไม่ต้องไปแย่งกับใคร และหลังจากเลือกที่พัก เก็บของที่ลูกหาบขนมาให้แล้ว
เราเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา และเตรียมเดินทางไปชมพระอาทิตย์กันต่อค่ะ
เราเดินทางไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ “เขาพระแม่ย่า” ระยะทางจากที่พักไปประมาณ 1 กิโลเมตร
วันที่เราพักตรงกับวันอาทิตย์ที่ 20 เวลาพระอาทิตย์ตกบริเวณเขาแม่ย่านั้นคือ 17:45 น. (เจ้าหน้าที่เค้าเขียนขึ้นกระดานเลย)
ส่วนตอนเช้าพระอาทิตย์ขึ้นประมาณ 06:27 น. ที่ยอดเขานารายณ์ อย่าเดินผิดฝั่งนะ และอย่าลืมพกไฟฉายด้วยเผื่อตอนเดินกลับมันก็จะมืดพอดี
เราค่อยๆ เดินชมวิวสองข้างทาง ไม่กี่อึดใจก็ถึงจุดชมวิว แต่ยังไม่ได้เวลาพระอาทิตย์ตกก็ถ่ายรูปชมวิวกันไปก่อน
เมื่อชมพระอาทิตย์ตกเรียบร้อยก็เดินทางกลับมายังที่พัก อาบน้ำอาบท่า และเตรียมทำอาหาร จากอุปกรณ์ที่เราเตรียมมาด้วย
เมนูสำหรับคืนนี้เป็นต้นยำปลากระป๋อง หมูทอด เนื้อทอดที่ซื้อจากตลาดเมื่อเช้า ปูเสื่อทานกันท่ามกลางฝนปรอยแบบไร้แสงดาว
โดยมีน้องหมา 2 ตัว ที่มองดูพวกเราทำกับข้าวอย่างตั้งใจ คืนนี้เราคงนอนหลับสบายเพราะกความเหนื่อยล้าและอาหารเลอค่าแบบจุกๆ
วันที่ 3 : ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานารายณ์ - ลงเขาหลวง - บ้านมะขวิด - วัดศรีชุม
เรารีบตื่นแต่เช้า คว้าไฟส่องกบเพื่อจะเดินไปให้ทันพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าที่ผานารายณ์ เส้นทางที่เราเดินมาผานารายณ์นั้นอาจจะต้องระวังหน่อย เพราะว่าทางเดินเลียบหน้าผานั้นหากไม่มีแสงสว่างก็ค่อยข้างอันตราย บริเวณหน้าผามีป้จุดถ่ายภาพ วิว 360 สวยงามมากค่ะ
ความสูงจากจุดนี้ประมาณ 1,160 เมตร จากระดับน้ำทะเล แต่พระอาทิตย์เช้านี้ขึ้นแบบไม่สวยเท่าไรเพราะโดนก้อนเมฆบดบัง แต่ก็ยังงดงามอยู่
ชมพระอาทิตย์เสร็จแล้วเราก็เดินกลับไปเก็บสัมภาระเพื่อเตรียมตัวลงเขา เพราะหากสายเกินไปอากาศก็จะร้อน ขาลงจะเร็วกว่าขาขึ้น
แต่ก็ต้องลงแบบระวังเพราะทางชันมาก ลงเร็วไปอาจทำให้หัวเขาเราเสียได้ โดยก่อนลงเขาเราต้องจัดการขยะของเราทั้งหมดใส่ถุงดำให้เรียบร้อย
แล้วเอาลงไปทิ้งด้านล่างด้วยนะคะ ไม่งั้นเราอาจจะโดนปรับได้ ที่สำคัญมันทำให้เสียสมดุลธรรมชาติอีกด้วย
ซึ่งผู้รับบทบาทนี้คือน้องสาวดิฉันเองจ๊ะ นางเป็นผู้เชียวชาญเส้นทางเขาหลวงนี้ เพราะนางมาซ้อมวิ่งเทลที่นี่ไม่ต่ำกว่า 6 ครั้งแล้ว เราจึงให้นางล่วงหน้าเพื่อเราขยะไปทิ้งก่อนเลย ซึ่งก็ไม่ทำให้พวกเราผิดหวังค่ะ นางลงมาถึงด้านล่างด้วยเวลาไม่เกิน 30 นาที (บ้าบอมาก)
บริเวณด้านล่างมีห้องน้ำให้อาบ และร้านอาหาร นางจึงอาบน้ำและดื่มเป๊ปซี่รอพวกเราอย่างสบายใจค่ะ
สรุปการเดินขึ้น-ลงเขาหลวงก็จบแต่เพียงเท่านี้ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าแก่การเสียเหงื่อ เพราะความสวยด้านบนมันสวยงามมากจริงๆ
ถ้าใครเป็นสายธรรมชาติก็ต้องชอบอยู่แล้ว แต่หากใครยังไม่เคยเที่ยวชมธรรมชาติแบบนี้ก็ควรมาสักครั้งค่ะ ที่สำคัญเราควรซ้อมออกกำลังกายก่อนมา
ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือนค่ะ เดินทน หรือเดินขึ้นบันไดก็ช่วยได้เยอะค่ะ ฝึกกำลังขาของเราก่อน จะทำให้ร่างกายไม่ล้ามากค่ะ
จากนั้นเราก็เดินทางมายังร้าน "บ้านมะขวิด" ร้านกาแฟบรรยากาศสงบเงียบ พร้อมวิวต้นไม้และทุ่งนาสีเขียว เพื่อมาพักร่างจากการปีนป่ายค่ะ
จิบกาแฟแล้ว นอนพักสายตาเรียบร้อยแล้ว ก็มีแรงไปเที่ยวกันจ๊ะ เราขับรถมุ่งหน้าไปที่วัดศรีชุม อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
ที่มีพระพุทธรูปปางมารวิชัย สูงประมาณ 11.30 เมตร หรือที่เรียกว่า "พระอจนะ" หรือพระพูดได้นั่นเองค่ะ
ชมโบราณสถานแล้วก็ได้เวลาเช็คอินอีก 1 คืน เราจองที่พักไว้ที่ ไทยไทย สุโขทัย รีสอร์ท ว่ายน้ำ นอนเล่น และไปหาหมูกะทะอร่อยๆ ก่อนนอน
วันที่ 4 : ชมความงามเครื่องสังคโลก - ร้านกาแฟเก๋ๆ - ก๋วยเตี๋ยวห้อยขา
ก่อนเดินทางกลับเราแวะชมความงามของเครื่องชามสังคโลกกันสักหน่อยค่ะ นอกจากจานชามแล้วก็มีเครื่องปั้นมากมายให้ชมนะคะ มาลองดูกันได้
เรามาที่กะเณชา สังคโลกค่ะ เค้าเป็นศูนย์จำหน่ายและยังเป็นแกลลอรี่ด้วยนะ
จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่ร้านกาแฟ Finally Coffee Co มีทั้งกาแฟและขนมให้เลือกทานเยอะเลย เราเลือกประเภทกาแฟได้ด้วยนะ
กินกาแฟเสร็จก็และกินก๋วยเตี๋ยวห้อยขาสักหน่อย ตอนขามาไม่ได้กิน ร้านก็จะอยู่ใกล้ๆ กับวัดใหญ่ที่เราแวะมาไหว้พระพุทธชินราชตอนขามาเลยค่ะ
จบทริป 4 วัน 3 คืน เรียบร้อย ขอบคุณที่ตามอ่านกันมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนะคะ หวังว่าจะเป็นไอเดียในการมาเที่ยวของใครหลายๆ คนนะคะ
[CR] 4 วัน 3 คืน ณ เขาหลวงสุโขทัย...สายปีนป่ายต้องมาสักครั้ง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้