ทำไม Ken ถึงต้องร้องเพลง Push เพลงที่เคยถูกเฟมินิสต์เข้าใจผิดของ Matchbox Twenty
*** บทความนี้มีการพูดถึงฉากหนึ่งในเรื่อง Barbie เหมาะสำหรับคนที่ชมแล้วจ้า ***
ฉากสำคัญฉากหนึ่งของตัวละคร Ken ใน Barbie ที่หลายคนเห็นแล้วอึ้งก็คือฉากร้องเพลงเล่นกีต้าร์ริมทะเล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแผนอันแยบยลของบาร์บี้ที่จะกอบกู้ดินแดนบาร์บี้คืนจากเหล่าเคนและระบอบปิตาธิปไตย
.
โมเมนต์นี้บางคนหัวเราะกับความเสียดสี “ชายแท้” ของเกรต้า เกอร์วิก ที่ตั้งใจ ให้พี่ไรอัน กอสลิ่ง โชว์สกิลคอทองคำครวญเพลง Push เพลงในตำนานของ “Matchbox Twenty” แต่หลายคนอาจจะงง ให้ร้องเพลงทำไมอ่ะ ดูเหวอๆ แปลกๆ อยู่นะ ใช่ค่ะ มันเหวอจริงๆ แต่เป็นความตั้งใจ เกรต้าให้สัมภาษณ์ว่า เธอโตมากับเพลงยุค 90s (เกรต้าเกิดปี 1983) ดังนั้นถ้าให้บาร์บี้ชอบเพลง Closer to Fine ของ Indigo Girls (เพลงที่บาร์บี้ร้องตอนขับรถไปโลกจริง) แล้วคนอย่างเคนจะมีเพลงโปรดอะไรที่เหมาะไปกว่าเพลง Push ล่ะ
และเพลงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงโปรดของเกรต้า “ฉันฟังเพลงนี้ตอนอยู่เกรด7 มันเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะไม่ได้ยินเพลงนี้ เปิดไปคลื่นไหนก็เจอ ฉันชอบเพลงนี้มาก ฉันฟังมันตลอดเวลาและฉันรู้สึกได้ มันมีอะไรอยู่ในนี้
.
เพลง "Push" ปล่อยออกมาปี 1997 ตอนนั้นพอออนแอร์ในคลื่นวิทยุก็ดราม่าทันที เพราะดันมีท่อนฮุกร้องว่า
.
I wanna push you around ฉันอยากจะบงการชีวิตเธอ
I wanna push you down ฉันอยากจะกดเธอให้จมดิน
I wanna take you for granted ฉันอยากจะทำให้เธอเป็นของตาย
.
ในตอนนั้นกลุ่มเฟมินิสต์ออกมาประณามเพลงนี้ว่าเป็นเพลง “เกลียดผู้หญิง” เป็นเพลงที่เชิดชูการใช้ความรุนแรงในความสัมพันธ์
.
ซึ่งนักร้องนำ ร็อบ โธมัส ก็ออกมาโต้แย้งทันควัน ว่าเขาตั้งใจแต่งเพลงนี้ให้เป็น "เพลงรักเศร้า ๆ" เขาอยากให้เนื้อเพลงพูดถึงความรู้สึกแบบกว้างๆ ท่อนฮุกของเพลงเป็นแค่มุมมองต่อความสัมพันธ์ของเขาในเวลานั้น เขาเคยมีบาดแผลในเรื่องความรักกับแฟนเก่า และผู้หญิงคนอื่นๆ ในอดีต ซึ่งผู้ชายในเพลง (ซึ่งอาจจะหมายถึงตัวเขาหรือคนอื่นๆ) เป็นฝ่ายที่ถูกผู้หญิงทำร้ายไม่ว่าจะทางอารมณ์หรือทางร่างกาย ต่างหาก เขางงมากที่คนเอาไปตีความอะไรแย่ๆ และบอกเลยว่าถ้ามีปัญหามากก็มาคุยกันได้เลย มาคุยกันตัวต่อตัว เขาไม่ใช่ผู้ชายแบบแม้นแมน อะไรเบอร์นั้น เป็นแค่นายเตี้ย ที่ไม่น่าจะเตะตูดใครถึงเลยด้วยซ้ำ
.
แต่ก็เข้าใจได้ว่าเพลงนี้มันจะถูกเข้าใจผิด เพราะเขาใช้โครงสร้างการใช้คำที่ไม่เหมือนปกติ โดยเริ่มเล่าจากมุมมองของฝ่ายหญิง ซึ่งกำลังแสดงความไม่พอใจบางอย่าง เธอบอกว่าไม่เคยมีความรักอย่างแท้จริง หรืออาจจะหมายถึงฝ่ายชายไม่ทำให้เธอรู้สึกแบบนั้น
.
แต่แล้วเขาเปลี่ยนไปเล่ามุมมองฝ่ายชาย ซึ่ง พูดสั้นๆ ก็คือขอร้องไม่ให้เธอทิ้งเขา กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไม่สมบูรณ์แบบ (เช่น เธอทำร้ายเขา) เขาก็ยังหวังว่าทุกอย่างจะออกมาดีที่สุด
.
ซึ่งเพลงนี้เหมาะมากกับความรู้สึกของเคน เพราะตอนนั้นเคนกำลังงอนบาร์บี้ที่ไม่เคยแยแสการมีตัวตนของเขามาก่อน เขาโกรธแล้วลุกขึ้นมายึดเมือง ซึ่งต่อไปเขาจะได้เจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้ค้นพบตัวเอง
.
เบื้องหลังการทำเพลงนี้
ไรอัน กอสลิง ต้องจำเนื้อเพลงและไปบันทึกเสียงที่ Abbey Road Studios ที่มีชื่อเสียงในลอนดอน ซึ่งเขายอมรับกับเกรต้าเลยว่า ประหม่ามากๆ ที่ต้องเพลงนี้ เพราะเพลงมันเป็นเพลงที่เคยฮิตมากๆ กลัวจะโดนคนด่า แต่ก็อย่างที่ได้เห็นกันในหนังพี่ไรอันถ่ายทอดมันออกมาได้ดีสุดๆ ซึ่งถ้าใครอยากฟังอยากเก็บเพลงนี้ก็หาฟังได้ใน Barbie: The Album (Best Weekend Ever Edition) -เป็นโบนัสแทรคนะจ้ะ
.
ไปฟังเสียงร้องพี่ไรอันกัน
สุดท้ายแล้วเพลงนี้กำลังฮิตมาก เพราะพี่ไรอันตีบทแตกจริงๆ ยิ่งถ้าดูตอนร้องเพลงประกอบแอคติ้งด้วยยิ่งอิน โดยเฉพาะท่อนที่ร้องว่า
.
I wanna take you for granted คำว่า granted
.
พี่ไรอันจงใจออกเสียงเพี้ยนๆ ให้เหมือนร็อบ โธมัส ที่ต้นฉบับก็ออกเสียงเพี้ยนตามสไตล์ฮิตของยุค 90s มันเลยไม่ได้ออกเสียงตามคำแต่เป็นเสียงตามอารมณ์ ซึ่งพี่ไรอันออกเสียงแนว แหว่วๆ แง่วๆ อะไรก็ไม่รู้ซึ่งฝรั่งก็ขำมากค่ะ และชมว่านี่แหละการเข้าถึงสไตล์เข้าถึงเพลงของแท้
.
ท่อน Yeah Yeah พี่ไรอันก็ออกเสียงเป็น Yah Yah ย่าห์ ย่าห์ เพื่อให้เข้ากับเคนที่ชอบม้า อยากเป็นคาวบอยแมนๆ ค่ะ
.
แถมมีท่อนเหล่าเคนประสานเสียงด้วยยิ่งทำให้เพลงนี้ยิ่งใหญ่เข้าไปอีก
และเกรต้า เกอวิก เผยว่าเพลงนี้เป็นหนึ่งในที่เธอชอบมาก และทุกสิ่งที่ใส่เข้ามาในหนังเรื่องนี้คือสิ่งที่เธอชอบทั้งนั้นรวมถึงเพลงของ Matchbox Twenty ด้วย
.
เธอมีกฎในการทำงานว่า "จะไม่ใส่อะไรที่ไม่ชอบลงไปในหนัง" ด้วยเหตุผลนี้จึงเห็นได้ชัดว่าเกรต้าอ่านเพลงขาดถึงความตั้งใจในการแต่ง แถมเลือกเพลงมาใช้ได้อย่างเหมาะสม และเลือกคนร้องได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นเป็นการยืนยันว่าเพลงนี้ไม่ได้เป็นเพลงทำร้ายผู้หญิงอย่างที่เคยโดนตีความผิดๆไว้ แต่เป็นการช่วยส่งเสริมว่าผู้ชายเองก็มีแง่มุมที่อ่อนแอได้เหมือนกันด้วยค่ะ
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกในเพจ
ผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้ผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้ สามารถไปพูดคุยกันต่อได้อีกช่องทางนะคะ
ทำไม Ken ถึงต้องร้องเพลง Push เพลงที่เคยถูกเฟมินิสต์เข้าใจผิดของ Matchbox Twenty
*** บทความนี้มีการพูดถึงฉากหนึ่งในเรื่อง Barbie เหมาะสำหรับคนที่ชมแล้วจ้า ***
ฉากสำคัญฉากหนึ่งของตัวละคร Ken ใน Barbie ที่หลายคนเห็นแล้วอึ้งก็คือฉากร้องเพลงเล่นกีต้าร์ริมทะเล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแผนอันแยบยลของบาร์บี้ที่จะกอบกู้ดินแดนบาร์บี้คืนจากเหล่าเคนและระบอบปิตาธิปไตย
.
โมเมนต์นี้บางคนหัวเราะกับความเสียดสี “ชายแท้” ของเกรต้า เกอร์วิก ที่ตั้งใจ ให้พี่ไรอัน กอสลิ่ง โชว์สกิลคอทองคำครวญเพลง Push เพลงในตำนานของ “Matchbox Twenty” แต่หลายคนอาจจะงง ให้ร้องเพลงทำไมอ่ะ ดูเหวอๆ แปลกๆ อยู่นะ ใช่ค่ะ มันเหวอจริงๆ แต่เป็นความตั้งใจ เกรต้าให้สัมภาษณ์ว่า เธอโตมากับเพลงยุค 90s (เกรต้าเกิดปี 1983) ดังนั้นถ้าให้บาร์บี้ชอบเพลง Closer to Fine ของ Indigo Girls (เพลงที่บาร์บี้ร้องตอนขับรถไปโลกจริง) แล้วคนอย่างเคนจะมีเพลงโปรดอะไรที่เหมาะไปกว่าเพลง Push ล่ะ
และเพลงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงโปรดของเกรต้า “ฉันฟังเพลงนี้ตอนอยู่เกรด7 มันเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะไม่ได้ยินเพลงนี้ เปิดไปคลื่นไหนก็เจอ ฉันชอบเพลงนี้มาก ฉันฟังมันตลอดเวลาและฉันรู้สึกได้ มันมีอะไรอยู่ในนี้
.
เพลง "Push" ปล่อยออกมาปี 1997 ตอนนั้นพอออนแอร์ในคลื่นวิทยุก็ดราม่าทันที เพราะดันมีท่อนฮุกร้องว่า
.
I wanna push you around ฉันอยากจะบงการชีวิตเธอ
I wanna push you down ฉันอยากจะกดเธอให้จมดิน
I wanna take you for granted ฉันอยากจะทำให้เธอเป็นของตาย
.
ในตอนนั้นกลุ่มเฟมินิสต์ออกมาประณามเพลงนี้ว่าเป็นเพลง “เกลียดผู้หญิง” เป็นเพลงที่เชิดชูการใช้ความรุนแรงในความสัมพันธ์
.
ซึ่งนักร้องนำ ร็อบ โธมัส ก็ออกมาโต้แย้งทันควัน ว่าเขาตั้งใจแต่งเพลงนี้ให้เป็น "เพลงรักเศร้า ๆ" เขาอยากให้เนื้อเพลงพูดถึงความรู้สึกแบบกว้างๆ ท่อนฮุกของเพลงเป็นแค่มุมมองต่อความสัมพันธ์ของเขาในเวลานั้น เขาเคยมีบาดแผลในเรื่องความรักกับแฟนเก่า และผู้หญิงคนอื่นๆ ในอดีต ซึ่งผู้ชายในเพลง (ซึ่งอาจจะหมายถึงตัวเขาหรือคนอื่นๆ) เป็นฝ่ายที่ถูกผู้หญิงทำร้ายไม่ว่าจะทางอารมณ์หรือทางร่างกาย ต่างหาก เขางงมากที่คนเอาไปตีความอะไรแย่ๆ และบอกเลยว่าถ้ามีปัญหามากก็มาคุยกันได้เลย มาคุยกันตัวต่อตัว เขาไม่ใช่ผู้ชายแบบแม้นแมน อะไรเบอร์นั้น เป็นแค่นายเตี้ย ที่ไม่น่าจะเตะตูดใครถึงเลยด้วยซ้ำ
.
แต่ก็เข้าใจได้ว่าเพลงนี้มันจะถูกเข้าใจผิด เพราะเขาใช้โครงสร้างการใช้คำที่ไม่เหมือนปกติ โดยเริ่มเล่าจากมุมมองของฝ่ายหญิง ซึ่งกำลังแสดงความไม่พอใจบางอย่าง เธอบอกว่าไม่เคยมีความรักอย่างแท้จริง หรืออาจจะหมายถึงฝ่ายชายไม่ทำให้เธอรู้สึกแบบนั้น
.
แต่แล้วเขาเปลี่ยนไปเล่ามุมมองฝ่ายชาย ซึ่ง พูดสั้นๆ ก็คือขอร้องไม่ให้เธอทิ้งเขา กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไม่สมบูรณ์แบบ (เช่น เธอทำร้ายเขา) เขาก็ยังหวังว่าทุกอย่างจะออกมาดีที่สุด
.
ซึ่งเพลงนี้เหมาะมากกับความรู้สึกของเคน เพราะตอนนั้นเคนกำลังงอนบาร์บี้ที่ไม่เคยแยแสการมีตัวตนของเขามาก่อน เขาโกรธแล้วลุกขึ้นมายึดเมือง ซึ่งต่อไปเขาจะได้เจอกับเหตุการณ์ที่ทำให้ค้นพบตัวเอง
.
เบื้องหลังการทำเพลงนี้
ไรอัน กอสลิง ต้องจำเนื้อเพลงและไปบันทึกเสียงที่ Abbey Road Studios ที่มีชื่อเสียงในลอนดอน ซึ่งเขายอมรับกับเกรต้าเลยว่า ประหม่ามากๆ ที่ต้องเพลงนี้ เพราะเพลงมันเป็นเพลงที่เคยฮิตมากๆ กลัวจะโดนคนด่า แต่ก็อย่างที่ได้เห็นกันในหนังพี่ไรอันถ่ายทอดมันออกมาได้ดีสุดๆ ซึ่งถ้าใครอยากฟังอยากเก็บเพลงนี้ก็หาฟังได้ใน Barbie: The Album (Best Weekend Ever Edition) -เป็นโบนัสแทรคนะจ้ะ
.
ไปฟังเสียงร้องพี่ไรอันกัน
สุดท้ายแล้วเพลงนี้กำลังฮิตมาก เพราะพี่ไรอันตีบทแตกจริงๆ ยิ่งถ้าดูตอนร้องเพลงประกอบแอคติ้งด้วยยิ่งอิน โดยเฉพาะท่อนที่ร้องว่า
.
I wanna take you for granted คำว่า granted
.
พี่ไรอันจงใจออกเสียงเพี้ยนๆ ให้เหมือนร็อบ โธมัส ที่ต้นฉบับก็ออกเสียงเพี้ยนตามสไตล์ฮิตของยุค 90s มันเลยไม่ได้ออกเสียงตามคำแต่เป็นเสียงตามอารมณ์ ซึ่งพี่ไรอันออกเสียงแนว แหว่วๆ แง่วๆ อะไรก็ไม่รู้ซึ่งฝรั่งก็ขำมากค่ะ และชมว่านี่แหละการเข้าถึงสไตล์เข้าถึงเพลงของแท้
.
ท่อน Yeah Yeah พี่ไรอันก็ออกเสียงเป็น Yah Yah ย่าห์ ย่าห์ เพื่อให้เข้ากับเคนที่ชอบม้า อยากเป็นคาวบอยแมนๆ ค่ะ
.
แถมมีท่อนเหล่าเคนประสานเสียงด้วยยิ่งทำให้เพลงนี้ยิ่งใหญ่เข้าไปอีก
และเกรต้า เกอวิก เผยว่าเพลงนี้เป็นหนึ่งในที่เธอชอบมาก และทุกสิ่งที่ใส่เข้ามาในหนังเรื่องนี้คือสิ่งที่เธอชอบทั้งนั้นรวมถึงเพลงของ Matchbox Twenty ด้วย
.
เธอมีกฎในการทำงานว่า "จะไม่ใส่อะไรที่ไม่ชอบลงไปในหนัง" ด้วยเหตุผลนี้จึงเห็นได้ชัดว่าเกรต้าอ่านเพลงขาดถึงความตั้งใจในการแต่ง แถมเลือกเพลงมาใช้ได้อย่างเหมาะสม และเลือกคนร้องได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นเป็นการยืนยันว่าเพลงนี้ไม่ได้เป็นเพลงทำร้ายผู้หญิงอย่างที่เคยโดนตีความผิดๆไว้ แต่เป็นการช่วยส่งเสริมว่าผู้ชายเองก็มีแง่มุมที่อ่อนแอได้เหมือนกันด้วยค่ะ
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกในเพจ ผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้ผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้ สามารถไปพูดคุยกันต่อได้อีกช่องทางนะคะ