จริงๆ ก็ได้ข่าวมาสักระยะหนึ่งแล้ว ที่ว่าจะมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้า ซึ่งอยู่ในบริเวณของมหาวิทยาลัยพายัพ เขตแก้วนวรัตน์ จังหวัดเชียงใหม่ (ม.พายัพเขาจะมี 2 วิทยาเขต คือในเมืองเชียงใหม่บริเวณโรงพยาบาลแมคคอร์มิคเรียกเขตแก้วนวรัตน์ ส่วนอีกวิทยาเขตหนึ่งเรียกเขตแม่คาวอยู่ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ นอกเมืองเชียงใหม่) ตรงกันข้ามกับโรงพยาบาลแมคคอร์มิค ซึ่งใช้สถานที่คืออาคารเก่าอายุเกือบ 100 ปี ใช้เป็นตัวพิพิธภัณฑ์ เราได้ทราบข่าวมาเท่านั้น ซึ่งไปเชียงใหม่ทีไรก็ชอบจะเวียนรถไปดูสถานที่ว่าพิพิธภัณฑ์ที่ว่า เปิดให้เยี่ยมชมแล้วหรือยัง ... ก็ 2-3 ปีก่อนหน้านี้ และดูเหมือนจะเป็นก่อนวิกฤตโควิด 19 ด้วยซ้ำ
.
คราวนี้ก็เช่นกัน เราขับรถเข้าไปแล้วจอดไว้บริเวณอาคารโสมสวลีของคณะพยาบาลศาสตร์ ม.พายัพ อยู่ตรงกันข้ามกับตึกของวิทยาลัยดุรยศิลป์ โดยอีกฟากหนึ่งของถนนแก้วนวรัตน์ก็เป็นโรงพยาบาลแมคคอร์มิค อาคารเก่าที่กำลังจะเป็นพิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้าจะอยู่ในอ้อมกอดของอาคารเหล่านี้
.

.
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก หรือ "หมอเจ้าฟ้า" ของชาวเชียงใหม่ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) พระราชสมภพแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เป็นต้นราชสกุลมหิดล ทรงจบการศึกษาแพทย์ศาสตร์บัณฑิต (Medical Doctor) จากมหาวิทยาลัยบอสตันในปี พ.ศ. 2471
.
หลังจากนั้นทรงเสด็จนิวัติสยามและทรงวางแผนเป็นแพทย์ประจำบ้านที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค จังหวัดเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2472 ซึ่งในช่วงนั้น นายแพทย์เอ็ดวิน ชาร์ลส คอร์ท (หมอคอร์ท) ปฏิบัติหน้าที่เป็นแพทย์ประจำและผู้อำนวยการโรงพยาบาล โดยพระองค์ท่านทรงปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิคตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน ถึง วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2472 โดยประทับที่บ้านพัก นายแพทย์เอ็ดวิน ชารล์ส คอร์ท ซึ่งได้รับการดูแลจากหมอคอร์ทและแหม่มคอร์ท (ภรรยานายแพทย์คอร์ท) อย่างดี หลังจากนั้นมีราชกิจที่พระนครจึงต้องพักการเป็นแพทย์ประจำบ้านและเสด็จกลับพระนคร ก่อนที่จะทรงประชวรและเสด็จสวรรคตในที่สุดโดยไม่ได้ขึ้นกลับเชียงใหม่อีก
.
บ้านพักของนายแพทย์เอ็ดวิน ชาร์ลส คอร์ท หรือหมอคอร์ท ซึ่งเป็นที่ประทับของพระองค์ท่านถูกออกแบบโดยสถาปนิคชาวอเมริกัน ถูกใช้เป็นบ้านพักผู้อำนวยการโรงพยาบาลแมคคอร์มิคตั้งแต่ช่วงนั้นเป็นต้นมาโดยหลังจากหมอคอร์ทได้เดินทางกลับสหรัฐอเมริกาแล้ว บ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านพักของผู้อำนวยการโรงพยาบาลแมคคอร์มิคอีก 2-3 ท่านและไม่ได้ใช้งานในระยะเวลาต่อมา จวบจนมีโครงการพัฒนาอาคารนี้และอาคารบริวารให้เป็นพิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้าในปัจจุบัน
.
เราเข้าไปถึงประมาณ 11 โมง เดินดูรอบบริเวณซึ่งเห็นว่าอาคารตัวพิพิธภัณฑ์ปิดอยู่ แต่ด้านในมีการจัดแสดงแล้ว เปิดเครื่องปรับอากาศและเปิดไฟ จึงเข้าไปที่ร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ด้านข้างในบริเวณเดียวกัน น้องพนักงานแจ้งว่าต้องจองการเข้าชมไว้ล่วงหน้าซึ่งจะมีเป็นรอบๆ พร้อมแนะนำให้เราเข้าไปที่สำนักงานที่อยู่ใกล้ๆ กันเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและจองการเข้าชมซึ่งจะใช้เวลารอบละประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที
.
แต่เอาเข้าจริงเราสนุกกับการเข้าชมและใช้เวลาไปกว่า 2 ชั่วโมง
.
ตัวอาคารมองจากด้านริมถนนแก้วนวรัตน์ ซึ่งหมายความว่าเรากำลังหันหลังให้กับโรงพยาบาลแมคคอร์มิค โรงหลังคาสังสีด้านซ้ายของภาพคือร้านกาแฟที่เราอ้างถึง สำนักงานจะอยู่ด้านหลัง ... ร้านกาแฟ ดั้งเดิมตอนที่บ้านหลังนี้ทำหน้าที่เป็นบ้านพักผู้อำนวยการฯ อาคารนี้คือโรงจอดรถครับ
.

.
ส่วนด้านนี้เป็นด้านที่จัดเป็นทางเข้าตัวอาคาร
.

.
ลักษณะอาคารจะเป็นแบบสมัยนิยมในช่วงรัชกาลที่ 6-7 หลังคาทรงมะนิลา (ซึ่งต่างจากหลังคาทรงปั้นหยาที่นิยมในระยะก่อนหน้าตรงที่มีจั่วเพิ่มเข้ามาที่หัวและท้ายของหลังคา) มีการทำปล่องไฟ 2 จุดคือห้องกลางบ้าน (เตาผิง-ให้ความอบอุ่น) และบริเวณที่ทำเป็นห้องครัว (เตาไฟสำหรับประกอบอาหาร) ชั้นล่างทำเป็นกันสาดเพื่อให้เข้ากับสภาพอากาศในเชียงใหม่ ... ถ้ามองจากมุมนี้จะเห็นอาคารหลังคาสีแดง คือโรงพยาบาลแมคคอร์มิค
.

.
เรื่องของอาคาร โดยเฉพาะการออกแบบทางสถาปัตยกรรม ให้นึกไปถึงอาคารของมิวเซียมสยามซึ่งเดิมเป็นอาคารของกระทรวงพานิชย์เก่า ที่ออกแบบและก่อสร้างน่าจะอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่างกันตรงที่อาคารของมิวเซียมสยามหลังคาเป็นแบบปั้นหยาซึ่งเป็นที่นิยมมาก่อนหน้า ไม่มีปล่องไฟอาจเนื่องจากที่พระนครอากาศไม่ได้หนาวเหมือนเชียงใหม่ และออกแบบให้เป็นอาคารเพื่อเป็นสำนักงานจึงไม่มีบริเวณครัว รวมทั้งยังไม่มีการทำกันสาดเพิ่มที่ชั้นล่าง
.
มิวเซียมสยาม (ภาพจาก wikipedia เข้าถึง 24/7/2566 18.03 pm
https://th.wikipedia.org/wiki/มิวเซียมสยาม)

.
พิพิธภัณฑ์เริ่มเปิดให้เข้าชม (อย่างไม่เป็นทางการ) ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา โดยเปิดให้เข้าชมฟรี จะมีเจ้าหน้าที่บรรยายและนำชม ระยะเวลาต่อรอบจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ต้องจองล่วงหน้าซึ่งอาจในวันเดียวกันแบบที่เราทำ หรือถ้ามาเป็นคณะใหญ่อาจต้องจองผ่านช่องทางต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์ที่ได้ให้ไว้ โดยอาคารสำนักงาน ซึ่งจะมีห้องจัดแสดงบางส่วน ตั้งอยู่ด้านข้างของอาคารหลัก
.
เราได้รอบเข้าชม 13.00 น.
.






.
รูปด้านบนคือห้องจัดแสดง แสดงเครื่องตอกเม็ดยา กล้องจุลทรรศน์ และเครื่องเอ็กซเรย์ ที่ถือเป็นเครื่องเอ็กซเรย์เครื่องแรกของจังหวัดเชียงใหม่ที่นำเข้าจากเยอรมนี หลังจากห้องนี้แล้ว เจ้าหน้าที่จะพาเราเข้าไปในอาคารหลัก โดยอาคารหลักจะมี 2 ชั้น และห้องใต้หลังคาซึ่งเดิมเป็นห้องเก็บของ
.
รูปนี้คือหมอคอร์ทครับ ซึ่งจัดแสดงเป็นห้องทำงาน


.
รูปปั้นแหม่มคอร์ท (ภรรยาของหมอคอร์ท) จัดแสดงในส่วนที่เป็นห้องครัว ข้อความบนผนังแปลมาจากจดหมายของแหม่มคอร์ทที่จะเขียนส่งกลับไปที่สหรัฐอเมริกาเป็นระยะๆ ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญของนักประวัติศาสตร์ในการไล่เรียงเรื่องราวของหมอเจ้าฟ้าในการมาปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค และพำนักที่บ้านหลังนี้
.







.
โรงพยาบาลแมคคอร์มิค เป็นโรงพยาบาลในมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย (มูลนิธิสภาคริสตจักรในประเทศไทย :The Church of Christ in Thailand เป็นองค์การทางศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ในประเทศไทย) โดยเริ่มต้นจากการที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ส่งแพทย์มิชชันนารีเข้ามาเพื่อทำงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขและเผยแพร่ศาสนาในช่วงปี พ.ศ. 2410 เป็นต้นมา จนในระยะต่อมาจึงได้มีการสร้างโรงพยาบาลแมคคอร์มิคขึ้นและเปิดให้การรักษาผู้ป่วยในปี พ.ศ. 2467
.
มันจะมีสารคดีของไทยพีบีเอสอยู่ 2 ตอนที่นำเสนอเรื่องหมอเจ้าฟ้า (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกหรือสมเด็จพระราชบิดา) โดยที่พูดถึงการเสด็จทรงงานเป็นแพทย์ประจำบ้านที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิคของพระองค์ท่าน ซึ่งเป็นส่วนที่นำเสนอในตอนที่ 2 ของสารคดีชุดนี้ (
https://www.youtube.com/watch?v=ENZXFhZAOu0 ) สารคดีทำได้ดีมากครับ อยากให้ลองเข้าไปดู สมจริง และทำการเปรียบเทียบอดีตและปัจจุบันของสถานที่ต่างๆ ได้อย่างน่าประทับใจ
.
ทางพิพิธภัณฑ์ได้มีการจัดแสดงโครงสร้างของอาคารให้เห็น อย่างเช่นรูปนี้แสดงให้เห็นโครงสร้างของชั้น 1 บริเวณธรณีประตูของห้องทำงานของหมอคอร์ท

.
รูปนี้แสดงให้เห็นถึงผนังของอาคาร ซึ่งทำเป็นไม้ระแนงก่อนจะฉาบปูนทับ ทางผู้บรรยายให้คำจำกัดความผนังแบบนี้ว่า "ผนังเบา" ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีในยุคนั้นเพื่อประโยชน์ในการไม่ทำให้บ้านมีน้ำหนักมากเกินไป (เนื่องจากฐานรากของอาคารไม่ได้แข็งแรงเหมือนเทคโนโลยีปัจจุบัน) รวมทั้งรักษาอุณหภูมิภายในบ้านในคงที่และสบายต่อการพักอาศัยมากที่สุด ... เราแอบคิดไปว่า จะเกี่ยวกับเรื่องป้องกันความเสียหายกรณีเกิดแผ่นดินไหวด้วยหรือไม่

.
ภาพนี้คือห้องบรรทม จะเห็นผ้าม่านเป็นสีแดงเข้ม ทางผู้บรรยายเล่าว่าเป็นสีของมหาวิทยาลัยบอสตัน ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาทางการแพทย์ที่ทรงสำเร็จการศึกษา

.
ส่วนหนึ่งจากการบูรณะ

.
บันทึกที่เกี่ยวข้องครับ

.
แนะนำเลยครับ ถ้าใครได้มีโอกาสมาจังหวัดเชียงใหม่ แต่อย่าลืมจองรอบเข้าชมกันก่อน อ้อ ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ อนาคตจะมีการประดิษฐานพระรูปของพระราชบิดา ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่พาเราชมพิพิธภัณฑ์บอกว่า พระรูปกำลังอยู่ในขั้นตอนการหล่อ โดยน่าจะประมาณอีก 3 เดือนจึงจะเสร็จสมบูรณ์ และในช่วงเวลานั้นจะมีงานประดิษฐานพระรูป พร้อมทั้งพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้าอย่างเป็นทางการ
.
ที่ร้านกาแฟนอกจากมีแอร์เย็น วิวมองตรงมายังบ้านของหมอคอร์ท ซึ่งก็คือพิพิธภัณฑ์ที่เราได้เยี่ยมชมเพิ่งจบ ... ร้านกาแฟทางเจ้าหน้าที่บอกเราว่าเดิมคือโรงจอดรถของบ้าน ... นอกจากกาแฟจะหอมกรุ่นละมุนลิ้นแล้ว ยังมีขนมคุ้กกี้ที่เป็นสูตรซึ่งแหม่มคอร์ด (ภรรยาของหมอคอร์ด) ได้ทำถวายพระราชบิดา หมอเจ้าฟ้า เสวยช่วงที่มาพำนักและทรงงานที่นี่ ซึ่งแหม่มคอร์ดได้จดสูตรไว้ในบันทึก และปัจจุบันได้มีการนำสูตรคุกกี้นี้มาทำขึ้นใหม่ให้พวกเราได้ชิมกันอีกครั้ง
.

---------------------
คุณหมูยอ
เยี่ยมชม 20/6/2566
บันทึก 24/6/2566
พาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้า จ.เชียงใหม่
.
คราวนี้ก็เช่นกัน เราขับรถเข้าไปแล้วจอดไว้บริเวณอาคารโสมสวลีของคณะพยาบาลศาสตร์ ม.พายัพ อยู่ตรงกันข้ามกับตึกของวิทยาลัยดุรยศิลป์ โดยอีกฟากหนึ่งของถนนแก้วนวรัตน์ก็เป็นโรงพยาบาลแมคคอร์มิค อาคารเก่าที่กำลังจะเป็นพิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้าจะอยู่ในอ้อมกอดของอาคารเหล่านี้
.
.
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก หรือ "หมอเจ้าฟ้า" ของชาวเชียงใหม่ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) พระราชสมภพแต่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เป็นต้นราชสกุลมหิดล ทรงจบการศึกษาแพทย์ศาสตร์บัณฑิต (Medical Doctor) จากมหาวิทยาลัยบอสตันในปี พ.ศ. 2471
.
หลังจากนั้นทรงเสด็จนิวัติสยามและทรงวางแผนเป็นแพทย์ประจำบ้านที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค จังหวัดเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2472 ซึ่งในช่วงนั้น นายแพทย์เอ็ดวิน ชาร์ลส คอร์ท (หมอคอร์ท) ปฏิบัติหน้าที่เป็นแพทย์ประจำและผู้อำนวยการโรงพยาบาล โดยพระองค์ท่านทรงปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิคตั้งแต่วันที่ 25 เมษายน ถึง วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2472 โดยประทับที่บ้านพัก นายแพทย์เอ็ดวิน ชารล์ส คอร์ท ซึ่งได้รับการดูแลจากหมอคอร์ทและแหม่มคอร์ท (ภรรยานายแพทย์คอร์ท) อย่างดี หลังจากนั้นมีราชกิจที่พระนครจึงต้องพักการเป็นแพทย์ประจำบ้านและเสด็จกลับพระนคร ก่อนที่จะทรงประชวรและเสด็จสวรรคตในที่สุดโดยไม่ได้ขึ้นกลับเชียงใหม่อีก
.
บ้านพักของนายแพทย์เอ็ดวิน ชาร์ลส คอร์ท หรือหมอคอร์ท ซึ่งเป็นที่ประทับของพระองค์ท่านถูกออกแบบโดยสถาปนิคชาวอเมริกัน ถูกใช้เป็นบ้านพักผู้อำนวยการโรงพยาบาลแมคคอร์มิคตั้งแต่ช่วงนั้นเป็นต้นมาโดยหลังจากหมอคอร์ทได้เดินทางกลับสหรัฐอเมริกาแล้ว บ้านหลังนี้ก็เป็นบ้านพักของผู้อำนวยการโรงพยาบาลแมคคอร์มิคอีก 2-3 ท่านและไม่ได้ใช้งานในระยะเวลาต่อมา จวบจนมีโครงการพัฒนาอาคารนี้และอาคารบริวารให้เป็นพิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้าในปัจจุบัน
.
เราเข้าไปถึงประมาณ 11 โมง เดินดูรอบบริเวณซึ่งเห็นว่าอาคารตัวพิพิธภัณฑ์ปิดอยู่ แต่ด้านในมีการจัดแสดงแล้ว เปิดเครื่องปรับอากาศและเปิดไฟ จึงเข้าไปที่ร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ด้านข้างในบริเวณเดียวกัน น้องพนักงานแจ้งว่าต้องจองการเข้าชมไว้ล่วงหน้าซึ่งจะมีเป็นรอบๆ พร้อมแนะนำให้เราเข้าไปที่สำนักงานที่อยู่ใกล้ๆ กันเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและจองการเข้าชมซึ่งจะใช้เวลารอบละประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที
.
แต่เอาเข้าจริงเราสนุกกับการเข้าชมและใช้เวลาไปกว่า 2 ชั่วโมง
.
ตัวอาคารมองจากด้านริมถนนแก้วนวรัตน์ ซึ่งหมายความว่าเรากำลังหันหลังให้กับโรงพยาบาลแมคคอร์มิค โรงหลังคาสังสีด้านซ้ายของภาพคือร้านกาแฟที่เราอ้างถึง สำนักงานจะอยู่ด้านหลัง ... ร้านกาแฟ ดั้งเดิมตอนที่บ้านหลังนี้ทำหน้าที่เป็นบ้านพักผู้อำนวยการฯ อาคารนี้คือโรงจอดรถครับ
.
.
ส่วนด้านนี้เป็นด้านที่จัดเป็นทางเข้าตัวอาคาร
.
.
ลักษณะอาคารจะเป็นแบบสมัยนิยมในช่วงรัชกาลที่ 6-7 หลังคาทรงมะนิลา (ซึ่งต่างจากหลังคาทรงปั้นหยาที่นิยมในระยะก่อนหน้าตรงที่มีจั่วเพิ่มเข้ามาที่หัวและท้ายของหลังคา) มีการทำปล่องไฟ 2 จุดคือห้องกลางบ้าน (เตาผิง-ให้ความอบอุ่น) และบริเวณที่ทำเป็นห้องครัว (เตาไฟสำหรับประกอบอาหาร) ชั้นล่างทำเป็นกันสาดเพื่อให้เข้ากับสภาพอากาศในเชียงใหม่ ... ถ้ามองจากมุมนี้จะเห็นอาคารหลังคาสีแดง คือโรงพยาบาลแมคคอร์มิค
.
.
เรื่องของอาคาร โดยเฉพาะการออกแบบทางสถาปัตยกรรม ให้นึกไปถึงอาคารของมิวเซียมสยามซึ่งเดิมเป็นอาคารของกระทรวงพานิชย์เก่า ที่ออกแบบและก่อสร้างน่าจะอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่างกันตรงที่อาคารของมิวเซียมสยามหลังคาเป็นแบบปั้นหยาซึ่งเป็นที่นิยมมาก่อนหน้า ไม่มีปล่องไฟอาจเนื่องจากที่พระนครอากาศไม่ได้หนาวเหมือนเชียงใหม่ และออกแบบให้เป็นอาคารเพื่อเป็นสำนักงานจึงไม่มีบริเวณครัว รวมทั้งยังไม่มีการทำกันสาดเพิ่มที่ชั้นล่าง
.
มิวเซียมสยาม (ภาพจาก wikipedia เข้าถึง 24/7/2566 18.03 pm https://th.wikipedia.org/wiki/มิวเซียมสยาม)
.
พิพิธภัณฑ์เริ่มเปิดให้เข้าชม (อย่างไม่เป็นทางการ) ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา โดยเปิดให้เข้าชมฟรี จะมีเจ้าหน้าที่บรรยายและนำชม ระยะเวลาต่อรอบจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ต้องจองล่วงหน้าซึ่งอาจในวันเดียวกันแบบที่เราทำ หรือถ้ามาเป็นคณะใหญ่อาจต้องจองผ่านช่องทางต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์ที่ได้ให้ไว้ โดยอาคารสำนักงาน ซึ่งจะมีห้องจัดแสดงบางส่วน ตั้งอยู่ด้านข้างของอาคารหลัก
.
เราได้รอบเข้าชม 13.00 น.
.
.
รูปด้านบนคือห้องจัดแสดง แสดงเครื่องตอกเม็ดยา กล้องจุลทรรศน์ และเครื่องเอ็กซเรย์ ที่ถือเป็นเครื่องเอ็กซเรย์เครื่องแรกของจังหวัดเชียงใหม่ที่นำเข้าจากเยอรมนี หลังจากห้องนี้แล้ว เจ้าหน้าที่จะพาเราเข้าไปในอาคารหลัก โดยอาคารหลักจะมี 2 ชั้น และห้องใต้หลังคาซึ่งเดิมเป็นห้องเก็บของ
.
รูปนี้คือหมอคอร์ทครับ ซึ่งจัดแสดงเป็นห้องทำงาน
.
รูปปั้นแหม่มคอร์ท (ภรรยาของหมอคอร์ท) จัดแสดงในส่วนที่เป็นห้องครัว ข้อความบนผนังแปลมาจากจดหมายของแหม่มคอร์ทที่จะเขียนส่งกลับไปที่สหรัฐอเมริกาเป็นระยะๆ ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญของนักประวัติศาสตร์ในการไล่เรียงเรื่องราวของหมอเจ้าฟ้าในการมาปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค และพำนักที่บ้านหลังนี้
.
.
โรงพยาบาลแมคคอร์มิค เป็นโรงพยาบาลในมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย (มูลนิธิสภาคริสตจักรในประเทศไทย :The Church of Christ in Thailand เป็นองค์การทางศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ในประเทศไทย) โดยเริ่มต้นจากการที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ส่งแพทย์มิชชันนารีเข้ามาเพื่อทำงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขและเผยแพร่ศาสนาในช่วงปี พ.ศ. 2410 เป็นต้นมา จนในระยะต่อมาจึงได้มีการสร้างโรงพยาบาลแมคคอร์มิคขึ้นและเปิดให้การรักษาผู้ป่วยในปี พ.ศ. 2467
.
มันจะมีสารคดีของไทยพีบีเอสอยู่ 2 ตอนที่นำเสนอเรื่องหมอเจ้าฟ้า (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกหรือสมเด็จพระราชบิดา) โดยที่พูดถึงการเสด็จทรงงานเป็นแพทย์ประจำบ้านที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิคของพระองค์ท่าน ซึ่งเป็นส่วนที่นำเสนอในตอนที่ 2 ของสารคดีชุดนี้ ( https://www.youtube.com/watch?v=ENZXFhZAOu0 ) สารคดีทำได้ดีมากครับ อยากให้ลองเข้าไปดู สมจริง และทำการเปรียบเทียบอดีตและปัจจุบันของสถานที่ต่างๆ ได้อย่างน่าประทับใจ
.
ทางพิพิธภัณฑ์ได้มีการจัดแสดงโครงสร้างของอาคารให้เห็น อย่างเช่นรูปนี้แสดงให้เห็นโครงสร้างของชั้น 1 บริเวณธรณีประตูของห้องทำงานของหมอคอร์ท
.
รูปนี้แสดงให้เห็นถึงผนังของอาคาร ซึ่งทำเป็นไม้ระแนงก่อนจะฉาบปูนทับ ทางผู้บรรยายให้คำจำกัดความผนังแบบนี้ว่า "ผนังเบา" ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีในยุคนั้นเพื่อประโยชน์ในการไม่ทำให้บ้านมีน้ำหนักมากเกินไป (เนื่องจากฐานรากของอาคารไม่ได้แข็งแรงเหมือนเทคโนโลยีปัจจุบัน) รวมทั้งรักษาอุณหภูมิภายในบ้านในคงที่และสบายต่อการพักอาศัยมากที่สุด ... เราแอบคิดไปว่า จะเกี่ยวกับเรื่องป้องกันความเสียหายกรณีเกิดแผ่นดินไหวด้วยหรือไม่
.
ภาพนี้คือห้องบรรทม จะเห็นผ้าม่านเป็นสีแดงเข้ม ทางผู้บรรยายเล่าว่าเป็นสีของมหาวิทยาลัยบอสตัน ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาทางการแพทย์ที่ทรงสำเร็จการศึกษา
.
ส่วนหนึ่งจากการบูรณะ
.
บันทึกที่เกี่ยวข้องครับ
.
แนะนำเลยครับ ถ้าใครได้มีโอกาสมาจังหวัดเชียงใหม่ แต่อย่าลืมจองรอบเข้าชมกันก่อน อ้อ ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ อนาคตจะมีการประดิษฐานพระรูปของพระราชบิดา ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่พาเราชมพิพิธภัณฑ์บอกว่า พระรูปกำลังอยู่ในขั้นตอนการหล่อ โดยน่าจะประมาณอีก 3 เดือนจึงจะเสร็จสมบูรณ์ และในช่วงเวลานั้นจะมีงานประดิษฐานพระรูป พร้อมทั้งพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์หมอเจ้าฟ้าอย่างเป็นทางการ
.
ที่ร้านกาแฟนอกจากมีแอร์เย็น วิวมองตรงมายังบ้านของหมอคอร์ท ซึ่งก็คือพิพิธภัณฑ์ที่เราได้เยี่ยมชมเพิ่งจบ ... ร้านกาแฟทางเจ้าหน้าที่บอกเราว่าเดิมคือโรงจอดรถของบ้าน ... นอกจากกาแฟจะหอมกรุ่นละมุนลิ้นแล้ว ยังมีขนมคุ้กกี้ที่เป็นสูตรซึ่งแหม่มคอร์ด (ภรรยาของหมอคอร์ด) ได้ทำถวายพระราชบิดา หมอเจ้าฟ้า เสวยช่วงที่มาพำนักและทรงงานที่นี่ ซึ่งแหม่มคอร์ดได้จดสูตรไว้ในบันทึก และปัจจุบันได้มีการนำสูตรคุกกี้นี้มาทำขึ้นใหม่ให้พวกเราได้ชิมกันอีกครั้ง
.
---------------------
คุณหมูยอ
เยี่ยมชม 20/6/2566
บันทึก 24/6/2566