(ขออนุญาตเกริ่นก่อนว่าจุดประสงค์ในการเดินทางคือไปประชุม ไม่ได้ไปเที่ยว อาจไม่มีข้อมูลอันเป็นประโยชน์อย่างที่ท่านคาดหวัง เราต้องขออภัยล่วงหน้า)
นี่คือการไปมาเลเซียครั้งแรกของเรา เลยรู้สึกตื่นเต้นเล็ก ๆ ก่อนวันเดินทางเรามีมิชชั่นที่ตั้งใจมาก ๆ ว่าอยากซื้อเป๋าตังค์ใบใหม่ที่สนามบิน เพราะใบเก่าที่ใช้มานานกว่าสิบปี เริ่มจะลุ่ย ซิปมันกินผ้า
และใบใหม่ที่เราจะซื้อก็คือเป๋าหลุยจ้า ทำไมต้องหลุย ก็หนังสือแปลเล่มนั้นไง ใครเคยอ่านบ้าง เรื่องกฎ 200 เท่า คือกระเป๋าตังค์จะดูดทรัพย์ (ต่อปี) มาให้เราจำนวน 200 เท่าของราคาเป๋า เอาจริงนะ เท่าที่ใช้มาก็ไม่เคยหาเงินได้ถึงตามที่เค้าว่าไว้หรอก แต่อย่างน้อยการใช้เป๋าแพง ๆ มันก็ทนทานนานหลายปี ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย เพราะว่าไม่เหลืองบให้เปลี่ยนแล้วไง

เมื่อล๊อคเป้าแล้วว่าจะซื้อยี่ห้อไร เราก็หาข้อมูล พบว่าเป๋าหลุยหลาย ๆ รุ่น ไม่ใช่หนังแท้ แต่เป็นแคนวาส ซึ่งเราไม่ค่อยชอบ สรุปว่าจะซื้อรุ่น Clemence ราคาหน้าเว็บ 25,300
ก่อนวันเสียตังค์ เราแอบกังวลไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าพนง.จะจับได้ไหมนะว่าเราไม่เคยซื้อผลิตภัณฑ์หลุยมาก่อน เค้าจะแอบเหยียดเราไหมนะ เราแต่งตัวดีพอที่จะเข้าร้านหรูหราไหมนะ แต่เอาจริงแล้ว พนง.ขายสาขานี้น่ารักมากมาย มี service mind ดีมาก ได้แนะนำให้เราสมัครสมาชิก King Power ด้วย ถึงไม่ได้ส่วนลด ก็สะสมแต้มได้ แล้วก็ใช้บริการที่ lounge ได้ และให้ของ sampling เล็ก ๆ น้อย ๆ มาด้วย

เราเลือกสีน้ำเงินเข้ม ราคา 23,600 เอาล่ะ พอเสียเงินแล้ว เราก็เดินตัวเบาเข้าไปใช้บริการที่ lounge ประเภทบัตรที่เค้าสมัครให้ สามารถใช้บริการห้องรับรองได้ 6 ครั้งต่อปี เราพาเพื่อนที่ทำงานเข้าไปด้วยได้ โดยหักสิทธิของเราไป
หน้าตาอาหารใน lounge ก็ประมาณนี้ มีให้เลือกประมาณ 6-7 เมนู โจ๊กก็มีนะ
การเดินทางไป Kuching นั้น ต้องขึ้นเครื่องสองต่อ ทางเจ้าภาพที่เชิญไปประชุม จองสายการบิน Malaysia Airline ให้ ไม้ได้ออกเดินทางเช้ามากเกินไป ซึ่งนับว่าดีมาก แต่ระยะเวลาที่ต้องต่อไฟล์ท สั้นแค่ 1 ชม. พวกเราแอบหวั่นใจว่าจะทันไหม เพราะเครื่องขาไป KL มันดีเลย์
ในที่สุดก็ได้ขึ้นเครื่องเสียที ครั้งแรกเลยนะที่บิน MH บนเครื่องมีจอให้ดูหนังด้วย เครื่องค่อนข้างเก่า แต่ก็พอรับได้ อาหารเช้าทานข้าว กะเพราเนื้อ เพื่อนบอกไม่อร่อย แต่เราดันลิ้นจรเข้ ไม่รู้รสว่าไม่อร่อย บนเครื่องไม่มีชา กาแฟ เสิร์ฟ และแถวที่เรานั่ง เก้าอี้มันเอนไม่ได้!!!
เมื่อมาถึง KL รีบเดินไปต่อเครื่อง เอาจริงเวลาก็เหลือ ๆ ไม่ต้องรีบก็ได้ ลำที่สองนี่เก่าพอกับลำแรก อาหารที่เค้าเสิร์ฟคือผัดปลากับข้าว คราวนี้ลิ้นจรเข้รู้รสแล้วว่าไม่อร่อยเลย คือคิดดูว่าต้องไม่อร่อยขนาดไหน ที่จะทำให้จรเข้ตัวนี้รู้รสได้
ในที่สุดเราก็มาแลนดิ้งลงที่ Kuching International Airport สนามบินค่อนข้าง modern พอออกมาด้านนอกก็เจอเคาน์เตอร์ขายซิม เราซื้อแพคเกจเน็ตแรงสุด ใช้ได้ 30 วัน ราคา 48 ริงกิต ก็พอ ๆ กับเพื่อนที่ซื้อแพคเกจโรมมิ่งมา เราไม่ค่อยใช้บริการโรมมิ่ง เพราะบางที มีเหตุให้ต้องโทรศัพท์ติดต่อคนโน้นนั้นในประเทศที่ไป การซื้อซิมสะดวกกว่า และเน็ตแรงกว่า
จากนั้นใช้แกรบเรียกแท็กซี่ ไปส่งที่รร. The Waterfront ซึ่งเจ้าภาพจองให้ ก่อนหน้านี้เราก็อ่านรีวิวเมือง Kuching มาบ้าง ประมาณว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่กำลังมาแรง อาหารที่ต้องไม่พลาด ของฝากที่ควรซื้อ เรารู้แค่นี้จริง ๆ ยืนรอแท็กซี่อยู่ เหลือบไปเห็นร้านขายยา Gardian อยากจะวิ่งเข้าใส่ เค้าบอกมาที่นี่ต้องซื้อยูเซอรีน เพราะมันถูก เราเลยมาตัวเปล่า ไม่แบกครีมใด ๆ มา กะมาสอยยูเซอรีนเอาข้างหน้า แต่ taxi มาถึงก่อน และตลอดทริปนั้น เราก็ไม่ได้ซื้อยูเซอรีนเลย
คนขับแท็กซี่ผู้เกิดและเติบโตที่นี่ให้ข้อมูลเอาบุญว่า สัญลักษณ์ของเมืองนี้คือ นกเงือก และสถาปัตยกรรมที้เป็น landmark ของเมืองคือที่ทำการรัฐสภาของรัฐ Sarawak ระหว่างทางก็ชี้ให้ดูห้าง ตลาด ร้านอาหารอร่อย แล้วก็รร.ที่เค้าเรียนตอนเล็ก ๆ
ประมาณ 20 นาที ก็ถึงที่หมาย จ่ายค่ารถไป 30 ริงกิต ขึ้นไปชมห้องที่จะนอนตลอด 4 คืน บนชั้นหก ก็ไม่ใหญ่ไม่เล็ก มองออกไปเห็นวิว Kuching Esplanade มัสยิด และเห็นแม่น้ำอยู่ไกล ๆ ข้อเสียห้องนี้มีอย่างเดียวคือ มันเป็นเตียงทวิน แต่เรานอนคนเดียว เปลี่ยนห้องไม่ได้ด้วยเพราะมันเต็ม
เคยได้ยินใช่ไหม ว่าเตียงที่ว่างอยู่นั้น มันจะมีใครมาแอบนอนตอนกลางคืน หลอนตัวเองไปอีก เราเลยขนเอาข้าวของ และเป๋าหลุยมานอนบนเตียงที่ว่างแทน ซึ่งช่วยได้มาก นิทราอย่างเป็นสุขทุกคืน




ตอนเย็นเราพากันออกไปเดินเล่นที่ riverfront แล้วก็ทานดินเนอร์ที่ร้านอาหารจีนแถวรร. เจ้เจ้าของร้านได้ยินเราสามคนพูดได้ ก็ยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย แล้วพูดว่า สวัสดีค่ะ สงสัยคนไทยมาเที่ยวแถวนี้เยอะแน่เลย พวกเราสั่งก๋วยจั๊บ เจ้บอกเส้นหมด กินกับข้าวแทนแล้วกันนะ อือ เกิดมาก็เพิ่งเคยกินก๋วยจั๊บกับข้าววันนี้เอง แต่มันก็เข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาดนะ




อีกจานเป็น signature ของร้าน คือหมูทอดกระเทียม แต่คนละสูตรกับที่เมืองไทย โดยรวมก็อร่อยดีแหละ หากผ่านอาหารบนเครื่องมาได้ ก็ไม่มีอะไรเลวร้ายอีกแล้ว
วันรุ่งขึ้น เราอยู่ในห้อง conference ทั้งวัน นั่งจนรากงอก ขนมเบรคพอกินได้ แต่ชาไม่อร่อยเลย มันจืด กินแล้วไม่ดีด ถ้าเปรียบเทียบกับชาเวียดนาม คนละเรื่องราว อาจเป็นเพราะว่าคนที่นี่ไม่มีวัฒนธรรมดื่มชา
ตอนเย็นเราออกไปทานข้าวที่ร้านเจ้คนเดิม คราวนี้มีเส้นก๋วยจั๊บเหลือ เราเลยได้กินสมใจนึกบางลำพู เสร็จแล้วก็พากันไปเดินเล่นที่ห้าง Parkway ที่อยู่ติดรร. แต่เราไม่รู้ วันแรกเราเดินอ้อม คือลิฟท์รร.นั้น เมื่อกอลงไปชั้นใต้ดิน มันจะพาเราไปโผล่ในห้างเลย และชั้นสี่ของรร. ตรงทางไปห้องอาหาร ก็มีบันไดเลื่อนเชื่อมไปห้าง เมื่อลงบันไดไป ทางซ้ายมือ จะเจอร้านชื่อ Tuk Tuk ขายก๋วยเตี๋ยวเรือ โต๊ะ เก้าอี้หน้าตาคล้ายในร้านอาหารบ้านเรายังกะแกะ
Parkway มี H&M Subway แมคโดนัล Rotiboy Watsons ฯลฯ ก็เดินได้เพลิน ๆ เราซื้อโน่นนิดนี่หน่อย จนเงินที่แลกมาหมดตูด ต้องขอเพื่อนใช้

ดูสิ ได้ของแค่นี้เอง แต่เงินหมด ก็แลกมาแค่ 3,000 อ่ะนะ คำนวณแล้วทุกอย่างถูกกว่าเมืองไทย นี่ถ้าเงินไม่หมดก่อน จะซื้อฮาดะลาโบอีกขวด
ตอนนี้มีเงินเหลือแค่นั่งแท็กซี่จาก รร.ไปสนามบินเท่านั้นเอง
อ่อ ลืมบอกว่าอาหารขึ้นชื่อที่นี่คือ Saravak Laksa เราทานที่รร.ตอนเช้า ลิ้นจรเข้ยังรู้รสว่าอร่อย
อีกเมนูคือ Mee Jawa คือก๋วยเตี๋ยวที่มีสะเต๊ะไก่ราดข้างบน ถ้าใครกินหวานคงชอบ แต่เราติดกินเค็ม ก็เลยทานแค่ครั้งเดียวพอ
อีก 1 กิจกรรมที่น่าสนใจคือ Crusing along Sarawak river ราคา 70 ริงกิต เรือออก 17.30 กลับเข้าท่า 19.00 ล่องเรือชมแสงสุดท้ายของวัน และสัมผัสธรรมชาติสองฝั่งลำน้ำ แหมบรรยายซะยังกะไปลงเรือมาแล้ว เปล่าหรอก เราไม่มีเวลาเลย ออกมาจากห้องประชุมก็ค่ำแล้ว ขึ้นเรือไม่ทัน
วันสุดท้าย เจ้าภาพจะพาไปทัศนศึกษา ชมลิงอุรังอุตัง เราจะไปสัมผัสธรรมชาติในป่าของเกาะบอร์เนียว หลังว่าลิงจะไม่ขโมยแว่นตาเรานะ
สรุปแล้วเราค่อนข้างประทับการเดินทางครั้งนี้มาก (ไม่นับอาหารบนเครื่อง) บ้านเมืองสะอาด ผู้คนเป็นมิตร อาหารอร่อย ถึงร้านรวงปิดเร็วไปหน่อยก็ตาม แต่ก็เข้าใจได้ วิถี slow life ก็งี้
เอาล่ะ การรีวิว Kuching ของเราก็มีเพียงเท่านี้ สุดท้ายนี้ ถ้าใครถามว่าแล้ว Do you recommend เมืองนี้ไหมนะ ขอตอบว่า yes, I do.
รีวิว 2 in 1 Kuching (first time) และ กระเป๋าหลุยส์วิตตองที่ Duty Free
* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะนี่คือการไปมาเลเซียครั้งแรกของเรา เลยรู้สึกตื่นเต้นเล็ก ๆ ก่อนวันเดินทางเรามีมิชชั่นที่ตั้งใจมาก ๆ ว่าอยากซื้อเป๋าตังค์ใบใหม่ที่สนามบิน เพราะใบเก่าที่ใช้มานานกว่าสิบปี เริ่มจะลุ่ย ซิปมันกินผ้า
และใบใหม่ที่เราจะซื้อก็คือเป๋าหลุยจ้า ทำไมต้องหลุย ก็หนังสือแปลเล่มนั้นไง ใครเคยอ่านบ้าง เรื่องกฎ 200 เท่า คือกระเป๋าตังค์จะดูดทรัพย์ (ต่อปี) มาให้เราจำนวน 200 เท่าของราคาเป๋า เอาจริงนะ เท่าที่ใช้มาก็ไม่เคยหาเงินได้ถึงตามที่เค้าว่าไว้หรอก แต่อย่างน้อยการใช้เป๋าแพง ๆ มันก็ทนทานนานหลายปี ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย เพราะว่าไม่เหลืองบให้เปลี่ยนแล้วไง
เมื่อล๊อคเป้าแล้วว่าจะซื้อยี่ห้อไร เราก็หาข้อมูล พบว่าเป๋าหลุยหลาย ๆ รุ่น ไม่ใช่หนังแท้ แต่เป็นแคนวาส ซึ่งเราไม่ค่อยชอบ สรุปว่าจะซื้อรุ่น Clemence ราคาหน้าเว็บ 25,300
ก่อนวันเสียตังค์ เราแอบกังวลไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าพนง.จะจับได้ไหมนะว่าเราไม่เคยซื้อผลิตภัณฑ์หลุยมาก่อน เค้าจะแอบเหยียดเราไหมนะ เราแต่งตัวดีพอที่จะเข้าร้านหรูหราไหมนะ แต่เอาจริงแล้ว พนง.ขายสาขานี้น่ารักมากมาย มี service mind ดีมาก ได้แนะนำให้เราสมัครสมาชิก King Power ด้วย ถึงไม่ได้ส่วนลด ก็สะสมแต้มได้ แล้วก็ใช้บริการที่ lounge ได้ และให้ของ sampling เล็ก ๆ น้อย ๆ มาด้วย
เราเลือกสีน้ำเงินเข้ม ราคา 23,600 เอาล่ะ พอเสียเงินแล้ว เราก็เดินตัวเบาเข้าไปใช้บริการที่ lounge ประเภทบัตรที่เค้าสมัครให้ สามารถใช้บริการห้องรับรองได้ 6 ครั้งต่อปี เราพาเพื่อนที่ทำงานเข้าไปด้วยได้ โดยหักสิทธิของเราไป
หน้าตาอาหารใน lounge ก็ประมาณนี้ มีให้เลือกประมาณ 6-7 เมนู โจ๊กก็มีนะ
การเดินทางไป Kuching นั้น ต้องขึ้นเครื่องสองต่อ ทางเจ้าภาพที่เชิญไปประชุม จองสายการบิน Malaysia Airline ให้ ไม้ได้ออกเดินทางเช้ามากเกินไป ซึ่งนับว่าดีมาก แต่ระยะเวลาที่ต้องต่อไฟล์ท สั้นแค่ 1 ชม. พวกเราแอบหวั่นใจว่าจะทันไหม เพราะเครื่องขาไป KL มันดีเลย์
ในที่สุดก็ได้ขึ้นเครื่องเสียที ครั้งแรกเลยนะที่บิน MH บนเครื่องมีจอให้ดูหนังด้วย เครื่องค่อนข้างเก่า แต่ก็พอรับได้ อาหารเช้าทานข้าว กะเพราเนื้อ เพื่อนบอกไม่อร่อย แต่เราดันลิ้นจรเข้ ไม่รู้รสว่าไม่อร่อย บนเครื่องไม่มีชา กาแฟ เสิร์ฟ และแถวที่เรานั่ง เก้าอี้มันเอนไม่ได้!!!
เมื่อมาถึง KL รีบเดินไปต่อเครื่อง เอาจริงเวลาก็เหลือ ๆ ไม่ต้องรีบก็ได้ ลำที่สองนี่เก่าพอกับลำแรก อาหารที่เค้าเสิร์ฟคือผัดปลากับข้าว คราวนี้ลิ้นจรเข้รู้รสแล้วว่าไม่อร่อยเลย คือคิดดูว่าต้องไม่อร่อยขนาดไหน ที่จะทำให้จรเข้ตัวนี้รู้รสได้
ในที่สุดเราก็มาแลนดิ้งลงที่ Kuching International Airport สนามบินค่อนข้าง modern พอออกมาด้านนอกก็เจอเคาน์เตอร์ขายซิม เราซื้อแพคเกจเน็ตแรงสุด ใช้ได้ 30 วัน ราคา 48 ริงกิต ก็พอ ๆ กับเพื่อนที่ซื้อแพคเกจโรมมิ่งมา เราไม่ค่อยใช้บริการโรมมิ่ง เพราะบางที มีเหตุให้ต้องโทรศัพท์ติดต่อคนโน้นนั้นในประเทศที่ไป การซื้อซิมสะดวกกว่า และเน็ตแรงกว่า
จากนั้นใช้แกรบเรียกแท็กซี่ ไปส่งที่รร. The Waterfront ซึ่งเจ้าภาพจองให้ ก่อนหน้านี้เราก็อ่านรีวิวเมือง Kuching มาบ้าง ประมาณว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่กำลังมาแรง อาหารที่ต้องไม่พลาด ของฝากที่ควรซื้อ เรารู้แค่นี้จริง ๆ ยืนรอแท็กซี่อยู่ เหลือบไปเห็นร้านขายยา Gardian อยากจะวิ่งเข้าใส่ เค้าบอกมาที่นี่ต้องซื้อยูเซอรีน เพราะมันถูก เราเลยมาตัวเปล่า ไม่แบกครีมใด ๆ มา กะมาสอยยูเซอรีนเอาข้างหน้า แต่ taxi มาถึงก่อน และตลอดทริปนั้น เราก็ไม่ได้ซื้อยูเซอรีนเลย
คนขับแท็กซี่ผู้เกิดและเติบโตที่นี่ให้ข้อมูลเอาบุญว่า สัญลักษณ์ของเมืองนี้คือ นกเงือก และสถาปัตยกรรมที้เป็น landmark ของเมืองคือที่ทำการรัฐสภาของรัฐ Sarawak ระหว่างทางก็ชี้ให้ดูห้าง ตลาด ร้านอาหารอร่อย แล้วก็รร.ที่เค้าเรียนตอนเล็ก ๆ
ประมาณ 20 นาที ก็ถึงที่หมาย จ่ายค่ารถไป 30 ริงกิต ขึ้นไปชมห้องที่จะนอนตลอด 4 คืน บนชั้นหก ก็ไม่ใหญ่ไม่เล็ก มองออกไปเห็นวิว Kuching Esplanade มัสยิด และเห็นแม่น้ำอยู่ไกล ๆ ข้อเสียห้องนี้มีอย่างเดียวคือ มันเป็นเตียงทวิน แต่เรานอนคนเดียว เปลี่ยนห้องไม่ได้ด้วยเพราะมันเต็ม
เคยได้ยินใช่ไหม ว่าเตียงที่ว่างอยู่นั้น มันจะมีใครมาแอบนอนตอนกลางคืน หลอนตัวเองไปอีก เราเลยขนเอาข้าวของ และเป๋าหลุยมานอนบนเตียงที่ว่างแทน ซึ่งช่วยได้มาก นิทราอย่างเป็นสุขทุกคืน
ตอนเย็นเราพากันออกไปเดินเล่นที่ riverfront แล้วก็ทานดินเนอร์ที่ร้านอาหารจีนแถวรร. เจ้เจ้าของร้านได้ยินเราสามคนพูดได้ ก็ยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย แล้วพูดว่า สวัสดีค่ะ สงสัยคนไทยมาเที่ยวแถวนี้เยอะแน่เลย พวกเราสั่งก๋วยจั๊บ เจ้บอกเส้นหมด กินกับข้าวแทนแล้วกันนะ อือ เกิดมาก็เพิ่งเคยกินก๋วยจั๊บกับข้าววันนี้เอง แต่มันก็เข้ากันได้ดีอย่างน่าประหลาดนะ
อีกจานเป็น signature ของร้าน คือหมูทอดกระเทียม แต่คนละสูตรกับที่เมืองไทย โดยรวมก็อร่อยดีแหละ หากผ่านอาหารบนเครื่องมาได้ ก็ไม่มีอะไรเลวร้ายอีกแล้ว
วันรุ่งขึ้น เราอยู่ในห้อง conference ทั้งวัน นั่งจนรากงอก ขนมเบรคพอกินได้ แต่ชาไม่อร่อยเลย มันจืด กินแล้วไม่ดีด ถ้าเปรียบเทียบกับชาเวียดนาม คนละเรื่องราว อาจเป็นเพราะว่าคนที่นี่ไม่มีวัฒนธรรมดื่มชา
ตอนเย็นเราออกไปทานข้าวที่ร้านเจ้คนเดิม คราวนี้มีเส้นก๋วยจั๊บเหลือ เราเลยได้กินสมใจนึกบางลำพู เสร็จแล้วก็พากันไปเดินเล่นที่ห้าง Parkway ที่อยู่ติดรร. แต่เราไม่รู้ วันแรกเราเดินอ้อม คือลิฟท์รร.นั้น เมื่อกอลงไปชั้นใต้ดิน มันจะพาเราไปโผล่ในห้างเลย และชั้นสี่ของรร. ตรงทางไปห้องอาหาร ก็มีบันไดเลื่อนเชื่อมไปห้าง เมื่อลงบันไดไป ทางซ้ายมือ จะเจอร้านชื่อ Tuk Tuk ขายก๋วยเตี๋ยวเรือ โต๊ะ เก้าอี้หน้าตาคล้ายในร้านอาหารบ้านเรายังกะแกะ
Parkway มี H&M Subway แมคโดนัล Rotiboy Watsons ฯลฯ ก็เดินได้เพลิน ๆ เราซื้อโน่นนิดนี่หน่อย จนเงินที่แลกมาหมดตูด ต้องขอเพื่อนใช้
ดูสิ ได้ของแค่นี้เอง แต่เงินหมด ก็แลกมาแค่ 3,000 อ่ะนะ คำนวณแล้วทุกอย่างถูกกว่าเมืองไทย นี่ถ้าเงินไม่หมดก่อน จะซื้อฮาดะลาโบอีกขวด
ตอนนี้มีเงินเหลือแค่นั่งแท็กซี่จาก รร.ไปสนามบินเท่านั้นเอง
อ่อ ลืมบอกว่าอาหารขึ้นชื่อที่นี่คือ Saravak Laksa เราทานที่รร.ตอนเช้า ลิ้นจรเข้ยังรู้รสว่าอร่อย
อีกเมนูคือ Mee Jawa คือก๋วยเตี๋ยวที่มีสะเต๊ะไก่ราดข้างบน ถ้าใครกินหวานคงชอบ แต่เราติดกินเค็ม ก็เลยทานแค่ครั้งเดียวพอ
อีก 1 กิจกรรมที่น่าสนใจคือ Crusing along Sarawak river ราคา 70 ริงกิต เรือออก 17.30 กลับเข้าท่า 19.00 ล่องเรือชมแสงสุดท้ายของวัน และสัมผัสธรรมชาติสองฝั่งลำน้ำ แหมบรรยายซะยังกะไปลงเรือมาแล้ว เปล่าหรอก เราไม่มีเวลาเลย ออกมาจากห้องประชุมก็ค่ำแล้ว ขึ้นเรือไม่ทัน
วันสุดท้าย เจ้าภาพจะพาไปทัศนศึกษา ชมลิงอุรังอุตัง เราจะไปสัมผัสธรรมชาติในป่าของเกาะบอร์เนียว หลังว่าลิงจะไม่ขโมยแว่นตาเรานะ
สรุปแล้วเราค่อนข้างประทับการเดินทางครั้งนี้มาก (ไม่นับอาหารบนเครื่อง) บ้านเมืองสะอาด ผู้คนเป็นมิตร อาหารอร่อย ถึงร้านรวงปิดเร็วไปหน่อยก็ตาม แต่ก็เข้าใจได้ วิถี slow life ก็งี้
เอาล่ะ การรีวิว Kuching ของเราก็มีเพียงเท่านี้ สุดท้ายนี้ ถ้าใครถามว่าแล้ว Do you recommend เมืองนี้ไหมนะ ขอตอบว่า yes, I do.