
- การเล่าเรื่องมีส่วนผสมระหว่างความเป็น Document สลับกับการสัมภาษณ์บุคคลจริง อย่างตัว แอร์นสท์ และ โรปี้ คู่รักวัยเก๋าชาว LGBTQ ตั้งแต่วัยหนุ่มยันวัยชรา และมีการให้บุคคลเกี่ยวข้องกับพวกเขาเข้ามามีส่วนร่วมในการถ่ายทอดเรื่องราวของพวกเขารวมถึงองค์กรเรียกร้องเสรีภาพทางเพศที่ชื่อ The Circle ให้มีหลายมุมมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ได้ใส่ภาพเหตุการณ์จริงลงไปเสริมเพื่อยืนยันอีกทีว่าสิ่งที่ถูกนำเสนอตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 42 นาที เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้จริง ๆ

- ตลอดทั้งเรื่องจะโฟกัสไปที่เรื่องราวความสัมพันธ์ของ แอร์นสท์ ครูสอนหนังสือ กับ โรปี้ ช่างตัดผมและเป็นนักร้องกลางคืนเป็นหลัก โดยจุดเริ่มต้นมาจากในฐานะลูกค้าพ่อค้าก่อนที่หนังก็เล่าข้าม Speed ไปในช่วงที่ทั้งคู่สนิทสนมจนเป็นแฟนกันอย่างรวดเร็วเสียแล้ว จากนั้นทั้งคู่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในองค์กรที่ชื่อว่า The Circle เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นมาอย่างลับ ๆ เพื่อต่อสู้เรียกร้องเสรีภาพทางเพศให้มีสิทธิความเท่าเทียมกันในสังคม ซึ่งตรงจุดนี้หนังให้พื้นที่ในการนำเสนอในช่วงกลางเรื่องมากแถมมีตัวละครอื่นที่เป็นสมาชิกในองค์กรนี้หลายคนเข้ามามีบทบาททำให้เกิดประเด็นอื่นตามมาอย่าง รักเงียบ ๆ กับคนมีสี , การสุมหัววางแผนทำภารกิจประหนึ่งสายลับ Mission Impossible เล็ก ๆ จนนำไปสู่การจลาจลกวาดล้างของทางการตำรวจ และ การยอมรับแก้ไขกฎหมายในการยอมรับเรื่องเพศสภาพให้สามารถแต่งงานได้ในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าหนังจะเลือกหยิบ Details ที่คิดว่าสำคัญจริง ๆ มาใส่ลงไปเพียงบางส่วนแต่ก็ทำให้เราเข้าใจในความรักของทั้งคู่เลยว่ากว่าจะได้ใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุขนั้นต้องฝ่าฟันอุปสรรคปัญหารายล้อมมาอย่างหนักหนาสาหัสแค่ไหน

- ความที่เนื้อเรื่องพูดถึงเพศ แน่นอนว่าจะต้องมีฉากการแสดงความรักของตัวละครในรูปแบบการปฎิสัมพันธ์ออกมาในภาพที่ล่อแหลมจนเกิดอารมณ์ขึ้นมา แต่ไม่เข้าใจอีกแล้วว่าทำไมต้องไปทำในห้องน้ำ คือ อย่างที่เคยกล่าวไปในเรื่องก่อนว่ามันไม่ใช่สถานที่อภิรมย์ในการทำกิจกรรมตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น พอมีฉากนี้ขึ้นมาผมรีบปิดตาทันทีแล้วค่อย ๆ หรี่ตาดูว่ามันผ่านไปยัง กลัวภาพจะติดตาขึ้นมาอีกยิ่งลืม ๆ ยากอยู่ ถ้าไปทำในห้องนอนดูเข้าท่ากว่าอีก

- นักแสดงนำทั้ง 2 คนอย่าง แอร์นสท์ กับ โรปี้ ยอมรับว่า Cast มาได้เหมือนตัวจริงในวัยหนุ่มมาก แถมแสดงดี เคมีมุ๊งมิ๊ง โรแมนติกอีกด้วย โดยเฉพาะตัว โรปี้ มีความหน้าหวานมาก เป็นชายก็หล่อเป็นหญิงก็สวย โดยเฉพาะ Scene ที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงร้องเพลงบนเวทีนี้สวยจนผู้หญิงยังอาย ถึงแม้ว่า Scene จะโผล่ไม่มากเท่า แอร์นสท์ แต่ทุก Scene ที่ปรากฎช่วยยกระดับให้เรื่องมีเสน่ห์ น่าค้นหา และน่าติดตามขึ้น ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่น ๆ ก็ทำหน้าที่ Support เรื่องให้มี Details ในการนำเสนอให้หลากหลายง่มุมมากขึ้น

- สรุป สำหรับผมกลาง ๆ ดูง่าย เข้าใจง่าย เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน เพราะได้หยิบ Details บางอย่างที่คิดว่าจับใจคนดูได้ไม่ยากนักนำมาเสนอผนวกกับ Timeline ที่เชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์และการเมืองในสมัยนั้นเป็นปัจจัยรองอีกทีแต่แค่ไม่ต่อเนื่องกับการเชื่อมโยงของ Timeline ใน Story ไปสู่ตัวองค์กร The Circle ซะเท่าไหร่ ขณะดูไปรู้สึกเลยว่าเนื้อเรื่องมันขัด ๆ ภาพก็ตัดกระโดดไปอีกฉากเหมือนงานตัดแปะประกบฉากเพื่อต่อให้เนื้อเรื่องมันยาวออกไป และไม่ได้มี Scene ที่ Impact ขยี้อารมณ์ให้สะเทือนใจเช่นกัน บางช่วงมีฉากกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกับกิจกรรมโซเดมาคอมอยู่ จู่ ๆ ก็ตัดภาพไปอีกฉากนึงที่เป็น Part ของ Document สัมภาษณ์บุคคลทันที อารมณ์ที่กำลังมันส์ดันค้างกลางอากาศซะงั้น ถึงแม้จะเรื่องราวอีกหลายอย่างของ แอร์นสท์ กับ โรปี้ มีที่ไม่ได้ถูกพูดถึงเพราะมีเวลาที่จำกัดขณะเดียวกันหนังได้ให้ Massage เกี่ยวกับกรณีศึกษาในประเด็นเรื่องของ LGBTQ ที่ถูกแอนตี้อย่างหนักไปไม่มากไม่น้อย สะท้อนให้เห็นถึงความหัวรุนแรงในสมัยนั้นมองว่าเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ ผิดจารีต ผิดศาสนา ผิดกฎหมาย ห้ามแสดงตัวต่อหน้าสาธารณะ ถ้าใครฝ่าฝืนจะถูกจับ ถูกประจาน เลวร้ายที่สุดถึงขั้นประหารชีวิตทันที ซึ่งกว่าที่สังคมจะเข้าใจจะยอมรับทีละอย่างได้ต้องใช้เวลานานพอสมควรจนลืมการตั้งคำถามในความเป็นคน สำรวจหัวใจของความเป็นตัวตนไปซะสนิท

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.42 The Circle (2014) : มีเธอกับฉัน แล้วเรื่องของเราล่ะ ?
- การเล่าเรื่องมีส่วนผสมระหว่างความเป็น Document สลับกับการสัมภาษณ์บุคคลจริง อย่างตัว แอร์นสท์ และ โรปี้ คู่รักวัยเก๋าชาว LGBTQ ตั้งแต่วัยหนุ่มยันวัยชรา และมีการให้บุคคลเกี่ยวข้องกับพวกเขาเข้ามามีส่วนร่วมในการถ่ายทอดเรื่องราวของพวกเขารวมถึงองค์กรเรียกร้องเสรีภาพทางเพศที่ชื่อ The Circle ให้มีหลายมุมมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ได้ใส่ภาพเหตุการณ์จริงลงไปเสริมเพื่อยืนยันอีกทีว่าสิ่งที่ถูกนำเสนอตลอดเวลา 1 ชั่วโมง 42 นาที เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้จริง ๆ
- ตลอดทั้งเรื่องจะโฟกัสไปที่เรื่องราวความสัมพันธ์ของ แอร์นสท์ ครูสอนหนังสือ กับ โรปี้ ช่างตัดผมและเป็นนักร้องกลางคืนเป็นหลัก โดยจุดเริ่มต้นมาจากในฐานะลูกค้าพ่อค้าก่อนที่หนังก็เล่าข้าม Speed ไปในช่วงที่ทั้งคู่สนิทสนมจนเป็นแฟนกันอย่างรวดเร็วเสียแล้ว จากนั้นทั้งคู่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในองค์กรที่ชื่อว่า The Circle เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นมาอย่างลับ ๆ เพื่อต่อสู้เรียกร้องเสรีภาพทางเพศให้มีสิทธิความเท่าเทียมกันในสังคม ซึ่งตรงจุดนี้หนังให้พื้นที่ในการนำเสนอในช่วงกลางเรื่องมากแถมมีตัวละครอื่นที่เป็นสมาชิกในองค์กรนี้หลายคนเข้ามามีบทบาททำให้เกิดประเด็นอื่นตามมาอย่าง รักเงียบ ๆ กับคนมีสี , การสุมหัววางแผนทำภารกิจประหนึ่งสายลับ Mission Impossible เล็ก ๆ จนนำไปสู่การจลาจลกวาดล้างของทางการตำรวจ และ การยอมรับแก้ไขกฎหมายในการยอมรับเรื่องเพศสภาพให้สามารถแต่งงานได้ในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าหนังจะเลือกหยิบ Details ที่คิดว่าสำคัญจริง ๆ มาใส่ลงไปเพียงบางส่วนแต่ก็ทำให้เราเข้าใจในความรักของทั้งคู่เลยว่ากว่าจะได้ใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุขนั้นต้องฝ่าฟันอุปสรรคปัญหารายล้อมมาอย่างหนักหนาสาหัสแค่ไหน
- ความที่เนื้อเรื่องพูดถึงเพศ แน่นอนว่าจะต้องมีฉากการแสดงความรักของตัวละครในรูปแบบการปฎิสัมพันธ์ออกมาในภาพที่ล่อแหลมจนเกิดอารมณ์ขึ้นมา แต่ไม่เข้าใจอีกแล้วว่าทำไมต้องไปทำในห้องน้ำ คือ อย่างที่เคยกล่าวไปในเรื่องก่อนว่ามันไม่ใช่สถานที่อภิรมย์ในการทำกิจกรรมตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น พอมีฉากนี้ขึ้นมาผมรีบปิดตาทันทีแล้วค่อย ๆ หรี่ตาดูว่ามันผ่านไปยัง กลัวภาพจะติดตาขึ้นมาอีกยิ่งลืม ๆ ยากอยู่ ถ้าไปทำในห้องนอนดูเข้าท่ากว่าอีก
- นักแสดงนำทั้ง 2 คนอย่าง แอร์นสท์ กับ โรปี้ ยอมรับว่า Cast มาได้เหมือนตัวจริงในวัยหนุ่มมาก แถมแสดงดี เคมีมุ๊งมิ๊ง โรแมนติกอีกด้วย โดยเฉพาะตัว โรปี้ มีความหน้าหวานมาก เป็นชายก็หล่อเป็นหญิงก็สวย โดยเฉพาะ Scene ที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงร้องเพลงบนเวทีนี้สวยจนผู้หญิงยังอาย ถึงแม้ว่า Scene จะโผล่ไม่มากเท่า แอร์นสท์ แต่ทุก Scene ที่ปรากฎช่วยยกระดับให้เรื่องมีเสน่ห์ น่าค้นหา และน่าติดตามขึ้น ส่วนนักแสดงสมทบคนอื่น ๆ ก็ทำหน้าที่ Support เรื่องให้มี Details ในการนำเสนอให้หลากหลายง่มุมมากขึ้น
- สรุป สำหรับผมกลาง ๆ ดูง่าย เข้าใจง่าย เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน เพราะได้หยิบ Details บางอย่างที่คิดว่าจับใจคนดูได้ไม่ยากนักนำมาเสนอผนวกกับ Timeline ที่เชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์และการเมืองในสมัยนั้นเป็นปัจจัยรองอีกทีแต่แค่ไม่ต่อเนื่องกับการเชื่อมโยงของ Timeline ใน Story ไปสู่ตัวองค์กร The Circle ซะเท่าไหร่ ขณะดูไปรู้สึกเลยว่าเนื้อเรื่องมันขัด ๆ ภาพก็ตัดกระโดดไปอีกฉากเหมือนงานตัดแปะประกบฉากเพื่อต่อให้เนื้อเรื่องมันยาวออกไป และไม่ได้มี Scene ที่ Impact ขยี้อารมณ์ให้สะเทือนใจเช่นกัน บางช่วงมีฉากกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกับกิจกรรมโซเดมาคอมอยู่ จู่ ๆ ก็ตัดภาพไปอีกฉากนึงที่เป็น Part ของ Document สัมภาษณ์บุคคลทันที อารมณ์ที่กำลังมันส์ดันค้างกลางอากาศซะงั้น ถึงแม้จะเรื่องราวอีกหลายอย่างของ แอร์นสท์ กับ โรปี้ มีที่ไม่ได้ถูกพูดถึงเพราะมีเวลาที่จำกัดขณะเดียวกันหนังได้ให้ Massage เกี่ยวกับกรณีศึกษาในประเด็นเรื่องของ LGBTQ ที่ถูกแอนตี้อย่างหนักไปไม่มากไม่น้อย สะท้อนให้เห็นถึงความหัวรุนแรงในสมัยนั้นมองว่าเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ ผิดจารีต ผิดศาสนา ผิดกฎหมาย ห้ามแสดงตัวต่อหน้าสาธารณะ ถ้าใครฝ่าฝืนจะถูกจับ ถูกประจาน เลวร้ายที่สุดถึงขั้นประหารชีวิตทันที ซึ่งกว่าที่สังคมจะเข้าใจจะยอมรับทีละอย่างได้ต้องใช้เวลานานพอสมควรจนลืมการตั้งคำถามในความเป็นคน สำรวจหัวใจของความเป็นตัวตนไปซะสนิท
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้