อ.ปริญญา งง ตู่บอกเป็นนายกฯไม่มีใครส่งมอบงานให้ ลืมเหรอ ว่าตัวเองยึดอำนาจมา
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7725000
อ.ปริญญา งง ตู่บอกเป็นนายกฯไม่มีใครส่งมอบงานให้ ลืมตัวเองเหรอ ว่ายึดอำนาจมา ใครไปส่งข้อมูลให้ บ่นไปเรื่อยโดยไม่รู้ว่ากำลังว่าตัวเองอยู่
20 มิ.ย. 2566 – ผศ.ดร.
ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุข้อความดังนี้
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ บ่นว่า ตอนเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีไม่มีใครส่งมอบงานให้
วันนี้เมื่อนักข่าวถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าได้เตรียมข้อมูลส่งต่อให้รัฐบาลชุดใหม่แล้วหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ทุกกระทรวงเตรียมไว้หมดแล้ว จากนั้นก็กล่าวต่อว่า “ผมเข้ามาไม่มีใครส่งให้ผมสักคนเลย ทั้งสองครั้ง ไม่มีใครส่งสักคนเลย”
ผมฟังแล้วก็ให้ประหลาดใจ เพราะตอนท่านเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก ท่านยึดอำนาจเขามา เขาจะไปส่งข้อมูลให้ท่านได้อย่างไร ไม่ทราบท่านพูดอะไรออกมา
ครั้งที่สองยิ่งประหลาดหนัก เพราะท่านเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากตัวท่านเอง โดยอาศัยเสียง ส.ว. 250 เสียงที่ท่านเลือกไว้
นี่ไม่ทราบว่า ท่านบ่นว่าคนอื่นไปเรื่อยโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังว่าตัวเองอยู่หรืออย่างไร ท่านอยู่ในอำนาจนานจนจำไม่ได้เลยเหรอครับว่า ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยการยึดอำนาจ และตลอดเวลากว่า 9 ปีที่ผ่านมา ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่คนเดียวเลยนะครับ
https://www.facebook.com/prinya.thaewanarumitkul/posts/6533438426700040
อดีตที่ปรึกษากมธ.เด็กฯ เปิดกม.-ยกระเบียบศธ.ยัน เตรียมพัฒน์ต้องรับ ‘หยก’
https://www.matichon.co.th/politics/news_4039682
อดีตที่ปรึกษากมธ.เด็กฯ เปิดกม.-ยกระเบียบศธ. ยัน เตรียมพัฒน์ต้องรับ ‘หยก’ กรอกข้อมูลหลัง 10 มิ.ย.ยังได้
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน นาย
สุรพงษ์ กองจันทึก อดีตที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร แสดงความคิดเห็น กรณี หยก เยาวชนวัย 15 ปี ความว่า
หยกและเด็กทุกคนต้องได้เรียน โรงเรียนมีหน้าที่รับนักเรียนเข้าเรียน แม้ไม่มีผู้ปกครองก็ได้เรียน กรอกข้อมูลนักเรียนเข้าระบบหลัง 10 มิถุนายนก็สามารถทำได้เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน “หยก” เด็กนักเรียนวัย 15 ปี เขียนในเฟซบุ๊กว่า ทางโรงเรียนเรียกตัวเข้าไปคุย และรองผู้อำนวยการซึ่งเป็นผู้หญิง บอกว่า จะคืนค่าเทอมให้ แต่หยกต้องออกจากโรงเรียน
วันรุ่งขึ้นโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ออกประกาศชี้แจงในเรื่องนี้ว่า หยกเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ได้รับรายงานตัวหยกไว้ก่อน และอนุญาตให้นักเรียนเข้าเรียนไว้ก่อนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แต่ต้องนำผู้ปกครองคือมารดา มามอบตัวนักเรียนให้สมบูรณ์ ภายในวันที่ 10 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่โรงเรียนต้องยืนยันข้อมูลจำนวนนักเรียนในระบบของกระทรวงศึกษาธิการ
แต่หยกไม่ได้นำผู้ปกครองมาดำเนินการภายในเวลากำหนด ทำให้หยกไม่ได้เป็นนักเรียนของโรงเรียนเตรียมอุดมพัฒนาการ ทั้งหลังจากที่หยกเข้ามาเรียนตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม ทางโรงเรียนได้ชี้แจงให้นักเรียนรับทราบระเบียบแนวปฏิบัติตามคู่มือนักเรียน แต่หยกไม่ปฏิบัติตามระเบียบ เช่น ไม่สวมชุดนักเรียน ทำสีผม ไม่เข้าร่วมกิจกรรมโฮมรูม กิจกรรมหน้าเสาธง
ในวันต่อๆมาหยกเดินทางไปโรงเรียนและพยายามเข้าห้องเรียนด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การปีนรั้วเข้าไป ซึ่งทางโรงเรียนมีท่าทีปฏิเสธการรับหยกเข้าเรียน
ทิชา ณ นคร นักพัฒนาการเด็ก ผู้อำนวยการบ้านกาญจนาภิเษก ซึ่งดูแลเด็กที่ถูกต้องกักและต้องขัง กล่าวว่า เมื่อประตูโรงเรียนปิดใส่เด็ก ประตูคุกจะเปิดทันทีนโยบายของรัฐเองก็เห็นความสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษา ที่จะสร้างอนาคตให้กับเด็กทุกคนและเป็นกำลังสำคัญของสังคมในอนาคต จึงมีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 28/2559 เรื่อง ให้จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปีโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ซึ่งคำสั่งนี้เป็นผลทางกฎหมายสูงสุดเหนือแม้กระทั่งกฎหมายรัฐธรรมนูญ ปัจจุบันก็ยังไม่มีการยกเลิกประกาศฉบับนี้
ประกาศ คสช. ระบุชัดว่าการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี หมายถึง การศึกษาตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษา(อนุบาล 1-3) ระดับประถมศึกษา จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเมื่อถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เด็กส่วนมากจะมีอายุ 18 ปีพอดีนั่นหมายความว่าบังคับให้เด็กทุกคน ซึ่งเด็กหมายถึงผู้มีอายุตั้งแต่ 18 ปีลงมา ต้องได้รับการศึกษาอย่างน้อยที่สุดคือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือเทียบเท่า โดยรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายฟรี 5 อย่างคือ ค่าจัดการเรียนการสอน, ค่าหนังสือ, ค่าอุปกรณ์การเรียน, ค่าเครื่องแบบนักเรียน และค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
กระทรวงศึกษาธิการเอง ก็มีระเบียบรองรับในการให้เด็กทุกคนต้องเข้าสู่ระบบการศึกษา เป็นระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ.2548 โดยมีมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 5 กรกฎาคม 2548 รองรับและระบุให้รับเด็กทุกคนเข้าเรียนรวมทั้งจัดเงินอุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายรายหัวให้นักเรียนทุกคนระเบียบกระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้ สถานศึกษามีหน้าที่ที่จะต้องรับเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษา ถ้าไม่รับเด็กเข้าเรียนจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ถ้าเป็นเด็กนักเรียนที่เคยเรียนมาก่อนไม่ต้องเรียกหลักฐานเพิ่มเติม แต่ถ้าไม่เคยเข้าเรียนในสถานศึกษามาก่อน ให้เรียกหลักฐานข้อมูลเพื่อนำมาเป็นหลักฐานในระบบการศึกษา
ถ้าไม่มีหลักฐานเลย เช่น ไม่มีสูติบัตร ไม่มีบิดามารดา ไม่มีผู้ปกครองหรือองค์กรเอกชนให้ข้อมูล ก็ให้ครูซักถามประวัติผู้มาสมัครเรียนหรือผู้เกี่ยวข้อง เพื่อนำลงรายการบันทึกแจ้งประวัติบุคคลแนบท้ายระเบียบ เพื่อใช้เป็นหลักฐานทางการศึกษาจะเห็นว่าถ้าเป็นนักเรียนเก่าก็ไม่ต้องเรียกหลักฐานเพิ่มเติมเลย หากเป็นนักเรียนใหม่แม้ไม่มีบิดามารดาหรือผู้ปกครองมา ครูก็มีหน้าที่กรอกเอกสารนักเรียน เพื่อเป็นข้อมูลในการรับนักเรียนเข้าเรียนส่วนการกรอกยืนยันข้อมูลนักเรียนเข้าระบบของกระทรวงศึกษาธิการ ก็เพื่อให้กระทรวงทราบจำนวนนักเรียนในแต่ละโรงเรียนเพื่อจัดสรรการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายรายหัวมาให้
ซึ่งสามารถกรอกข้อมูลเพิ่มเติมแก้ไขให้ถูกต้องกับความเป็นจริงได้ตลอดเวลาเพียงแต่ข้อมูลภายในวันที่ 10 มิถุนายนของแต่ละปี จะใช้เพื่อจัดสรรงบรายหัวของเทอมการศึกษาที่ 1 มาให้ โรงเรียนสามารถกรอกข้อมูลหลังวันที่ 10 มิถุนายนได้ โดยกระทรวงศึกษาธิการจะจัดงบรายหัวมาให้ในรอบเทอมการศึกษาที่ 2ดังนั้นวันที่ 10 มิถุนายนไม่เกี่ยวกับกำหนดขีดเส้นในการรับเด็ก เพราะสามารถรับเข้ามาสู่ระบบการศึกษาได้ตลอดหรือเรียกว่าเข้าระหว่างเทอมหรือภาคการศึกษา การกำหนดวันที่ 10 เป็นเรื่องของการที่จะได้รับเงินอุดหนุนเร็วช้าต่างกันเท่านั้น ซึ่งแม้รับเด็กเข้ามาเรียนแล้วแต่เงินอุดหนุนรายหัวยังไม่มา โรงเรียนทั่วไปก็สามารถจัดการถั่วเฉลี่ยและบริหารจัดการได้เป็นปกติอยู่แล้ว
หากเด็กนักเรียนกระทำความผิด ทางกระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ.2548 เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 โดยกำหนดโทษแก่นักเรียนนักศึกษาที่กระทำความผิด มี 4 สถานดังนี้ ว่ากล่าวตักเตือน, ทำทัณฑ์บน, ตัดคะแนนความประพฤติ และทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รวมทั้งห้ามลงโทษนักเรียนด้วยวิธีรุนแรง หรือแบบกลั่นแกล้ง หรือลงโทษด้วยความโกรธ หรือด้วยความพยาบาท
ดังนั้นจากกรณีของ หยก โรงเรียนมีหน้าที่ต้องรับเข้าเรียน แม้ไม่มีผู้ปกครองก็ต้องรับเข้าเรียน สามารถส่งข้อมูลนักเรียนเข้าสู่ระบบของกระทรวงศึกษาธิการได้ด้วยโรงเรียนเอง ส่วนถ้านักเรียนกระทำความผิดก็มีระเบียบในการลงโทษให้ปฏิบัติอยู่แล้ว กระทรวงศึกษาธิการต้องทำให้ทุกโรงเรียนเป็นโรงเรียนสีขาว เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กทุกคน และต้องไม่มีเด็กที่ตกหล่นจากระบบการศึกษา
ที่มา : ข่าวสด
‘วิโรจน์’ ลั่นถึงเวลา ศธ. ต้องจริงจัง บังคับใช้พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก เอาผิดครูกระทำรุนแรงน.ร.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4039870
‘วิโรจน์’ ลั่นถึงเวลา ศธ. ต้องจริงจัง บังคับใช้พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก เอาผิดครูกระทำรุนแรงน.ร.
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“[ ได้เวลาบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก กับครูที่กระทำทารุณกรรมต่อเด็ก อย่างจริงจัง ]
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนคงได้อ่านข่าว การที่ครูบางคน ใช้ความรุนแรงในการลงโทษ หรือกระทำกับนักเรียน จนนักเรียนได้รับบาดเจ็บทางกาย หรือทางใจ
– การสั่งให้นักเรียนลุกนั่ง เป็นร้อยครั้ง โดยไม่ตระหนักเลยว่า การลงโทษดังกล่าว จะเกินกว่าศักยภาพของเด็กจะปฏิบัติได้ หรือไม่ เอาความสะใจของตนเป็นที่ตั้ง จนทำให้นักเรียนกระดูกแตก กล้ามเนื้อฉีก– จงใจกล้อนผมหรือใช้วิธีการใดๆ เพื่อตีตราประจาน ให้นักเรียนรู้สึกอับอาย จนเกิดเป็นบาดแผลในใจ
– พูดจาดูหมิ่นเหยียดหยาม ข่มขู่ว่าจะเอาปืนมายิงนักเรียน
– พฤติกรรมที่ส่อไปในทางล่วงเกินทางเพศ คุกคามทางเพศ หรือล่วงละเมิดทางเพศ
ฯลฯ
การกระทำเหล่านี้ นอกจากจะเข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 391 ผู้ใดใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น โดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แล้ว
ยังเข้าข่ายเป็นการกระทำทารุณกรรมเด็ก ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก มาตรา 26 ซึ่งบทกำหนดโทษตามมาตรา 78 กำหนดไว้ว่า ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 26 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อีกด้วย
แต่ที่ผ่านมา กลับไม่มีการดำเนินคดีกับครูที่ก่อเหตุอย่างจริงจังเลย มีแต่การลงโทษทางวินัยสถานเบา พอเรื่องซา ครูคนเดิมก็กลับมาสอนอีก แล้วพฤติกรรมเดิมๆ ที่เป็นปัญหา ก็เกิดขึ้นซ้ำกับนักเรียนคนอื่นๆ ไม่จบไม่สิ้น
ที่ผ่านมา เหตุผลที่ไม่มีการดำเนินคดีอาญาอย่างจริงจัง เป็นเพราะว่า
1. แม้ว่าเด็กจะร้องทุกข์เองได้ แต่ในทางปฏิบัติ การร้องทุกข์กล่าวโทษมักจะต้องดำเนินการโดยพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง ซึ่งส่วนมากมักจะถูกกล่อม เชิงข่มขู่ จากผู้บริหารสถานศึกษาบางท่าน ให้พ่อแม่ไม่แจ้งความดำเนินคดี โดยมักจะอ้างว่า “ถ้าแจ้งความแล้ว เด็กอาจจะอยู่ในโรงเรียนไม่ได้” พอพ่อแม่ กังวลว่าลูกจะถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียน ก็จะยอมไม่แจ้งความ หลายกรณีแทนที่กระทรวงศึกษาธิการ จะเป็นเจ้าภาพในการดำเนินคดีกับครูที่กระทำทารุณกรรมกับนักเรียน อย่างถึงที่สุด กลับทำตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ย เพื่อช่วยให้ครูที่กระทำความผิด ให้ไม่ต้องรับโทษทางอาญา กรณีที่พ่อแม่ยืนยันจะแจ้งความดำเนินคดี ส่วนใหญ่พ่อแม่ต้องย้ายลูกไปเรียนที่อื่น แปลกไหมครับ เด็กที่ถูกกระทำต้องย้ายหนี ในขณะที่ครูผู้กระทำ ยังคงสอนต่อไปที่โรงเรียนเดิม
2. คดีอาญาที่เกี่ยวกับเด็ก ในหลายกรณี ต้องมีนักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ เข้าร่วมในกระบวนการสอบสวนด้วย มีขั้นตอนในการทำงานเพิ่มเติม จึงทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่อยากจะดำเนินคดี ตำรวจจึงมักจะไกล่เกลี่ย ให้ลงเพียงบันทึกประจำวัน
JJNY : อ.ปริญญางง ตู่ลืมเหรอว่ายึดอำนาจมา│ยันเตรียมพัฒน์ต้องรับ‘หยก’│‘วิโรจน์’ลั่นถึงเวลาศธ.│ส.เอสเอ็มอี วอนอย่าผลักภาระ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7725000
อ.ปริญญา งง ตู่บอกเป็นนายกฯไม่มีใครส่งมอบงานให้ ลืมตัวเองเหรอ ว่ายึดอำนาจมา ใครไปส่งข้อมูลให้ บ่นไปเรื่อยโดยไม่รู้ว่ากำลังว่าตัวเองอยู่
20 มิ.ย. 2566 – ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุข้อความดังนี้
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ บ่นว่า ตอนเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีไม่มีใครส่งมอบงานให้
วันนี้เมื่อนักข่าวถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าได้เตรียมข้อมูลส่งต่อให้รัฐบาลชุดใหม่แล้วหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ทุกกระทรวงเตรียมไว้หมดแล้ว จากนั้นก็กล่าวต่อว่า “ผมเข้ามาไม่มีใครส่งให้ผมสักคนเลย ทั้งสองครั้ง ไม่มีใครส่งสักคนเลย”
ผมฟังแล้วก็ให้ประหลาดใจ เพราะตอนท่านเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก ท่านยึดอำนาจเขามา เขาจะไปส่งข้อมูลให้ท่านได้อย่างไร ไม่ทราบท่านพูดอะไรออกมา
ครั้งที่สองยิ่งประหลาดหนัก เพราะท่านเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากตัวท่านเอง โดยอาศัยเสียง ส.ว. 250 เสียงที่ท่านเลือกไว้
นี่ไม่ทราบว่า ท่านบ่นว่าคนอื่นไปเรื่อยโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังว่าตัวเองอยู่หรืออย่างไร ท่านอยู่ในอำนาจนานจนจำไม่ได้เลยเหรอครับว่า ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยการยึดอำนาจ และตลอดเวลากว่า 9 ปีที่ผ่านมา ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่คนเดียวเลยนะครับ
https://www.facebook.com/prinya.thaewanarumitkul/posts/6533438426700040
อดีตที่ปรึกษากมธ.เด็กฯ เปิดกม.-ยกระเบียบศธ.ยัน เตรียมพัฒน์ต้องรับ ‘หยก’
https://www.matichon.co.th/politics/news_4039682
อดีตที่ปรึกษากมธ.เด็กฯ เปิดกม.-ยกระเบียบศธ. ยัน เตรียมพัฒน์ต้องรับ ‘หยก’ กรอกข้อมูลหลัง 10 มิ.ย.ยังได้
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน นายสุรพงษ์ กองจันทึก อดีตที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร แสดงความคิดเห็น กรณี หยก เยาวชนวัย 15 ปี ความว่า
หยกและเด็กทุกคนต้องได้เรียน โรงเรียนมีหน้าที่รับนักเรียนเข้าเรียน แม้ไม่มีผู้ปกครองก็ได้เรียน กรอกข้อมูลนักเรียนเข้าระบบหลัง 10 มิถุนายนก็สามารถทำได้เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน “หยก” เด็กนักเรียนวัย 15 ปี เขียนในเฟซบุ๊กว่า ทางโรงเรียนเรียกตัวเข้าไปคุย และรองผู้อำนวยการซึ่งเป็นผู้หญิง บอกว่า จะคืนค่าเทอมให้ แต่หยกต้องออกจากโรงเรียน
วันรุ่งขึ้นโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ออกประกาศชี้แจงในเรื่องนี้ว่า หยกเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ได้รับรายงานตัวหยกไว้ก่อน และอนุญาตให้นักเรียนเข้าเรียนไว้ก่อนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แต่ต้องนำผู้ปกครองคือมารดา มามอบตัวนักเรียนให้สมบูรณ์ ภายในวันที่ 10 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่โรงเรียนต้องยืนยันข้อมูลจำนวนนักเรียนในระบบของกระทรวงศึกษาธิการ
แต่หยกไม่ได้นำผู้ปกครองมาดำเนินการภายในเวลากำหนด ทำให้หยกไม่ได้เป็นนักเรียนของโรงเรียนเตรียมอุดมพัฒนาการ ทั้งหลังจากที่หยกเข้ามาเรียนตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม ทางโรงเรียนได้ชี้แจงให้นักเรียนรับทราบระเบียบแนวปฏิบัติตามคู่มือนักเรียน แต่หยกไม่ปฏิบัติตามระเบียบ เช่น ไม่สวมชุดนักเรียน ทำสีผม ไม่เข้าร่วมกิจกรรมโฮมรูม กิจกรรมหน้าเสาธง
ในวันต่อๆมาหยกเดินทางไปโรงเรียนและพยายามเข้าห้องเรียนด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การปีนรั้วเข้าไป ซึ่งทางโรงเรียนมีท่าทีปฏิเสธการรับหยกเข้าเรียน
ทิชา ณ นคร นักพัฒนาการเด็ก ผู้อำนวยการบ้านกาญจนาภิเษก ซึ่งดูแลเด็กที่ถูกต้องกักและต้องขัง กล่าวว่า เมื่อประตูโรงเรียนปิดใส่เด็ก ประตูคุกจะเปิดทันทีนโยบายของรัฐเองก็เห็นความสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษา ที่จะสร้างอนาคตให้กับเด็กทุกคนและเป็นกำลังสำคัญของสังคมในอนาคต จึงมีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 28/2559 เรื่อง ให้จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปีโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ซึ่งคำสั่งนี้เป็นผลทางกฎหมายสูงสุดเหนือแม้กระทั่งกฎหมายรัฐธรรมนูญ ปัจจุบันก็ยังไม่มีการยกเลิกประกาศฉบับนี้
ประกาศ คสช. ระบุชัดว่าการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี หมายถึง การศึกษาตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษา(อนุบาล 1-3) ระดับประถมศึกษา จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเมื่อถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เด็กส่วนมากจะมีอายุ 18 ปีพอดีนั่นหมายความว่าบังคับให้เด็กทุกคน ซึ่งเด็กหมายถึงผู้มีอายุตั้งแต่ 18 ปีลงมา ต้องได้รับการศึกษาอย่างน้อยที่สุดคือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือเทียบเท่า โดยรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่ายฟรี 5 อย่างคือ ค่าจัดการเรียนการสอน, ค่าหนังสือ, ค่าอุปกรณ์การเรียน, ค่าเครื่องแบบนักเรียน และค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน
กระทรวงศึกษาธิการเอง ก็มีระเบียบรองรับในการให้เด็กทุกคนต้องเข้าสู่ระบบการศึกษา เป็นระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ.2548 โดยมีมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 5 กรกฎาคม 2548 รองรับและระบุให้รับเด็กทุกคนเข้าเรียนรวมทั้งจัดเงินอุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายรายหัวให้นักเรียนทุกคนระเบียบกระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้ สถานศึกษามีหน้าที่ที่จะต้องรับเด็กเข้าเรียนในสถานศึกษา ถ้าไม่รับเด็กเข้าเรียนจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ถ้าเป็นเด็กนักเรียนที่เคยเรียนมาก่อนไม่ต้องเรียกหลักฐานเพิ่มเติม แต่ถ้าไม่เคยเข้าเรียนในสถานศึกษามาก่อน ให้เรียกหลักฐานข้อมูลเพื่อนำมาเป็นหลักฐานในระบบการศึกษา
ถ้าไม่มีหลักฐานเลย เช่น ไม่มีสูติบัตร ไม่มีบิดามารดา ไม่มีผู้ปกครองหรือองค์กรเอกชนให้ข้อมูล ก็ให้ครูซักถามประวัติผู้มาสมัครเรียนหรือผู้เกี่ยวข้อง เพื่อนำลงรายการบันทึกแจ้งประวัติบุคคลแนบท้ายระเบียบ เพื่อใช้เป็นหลักฐานทางการศึกษาจะเห็นว่าถ้าเป็นนักเรียนเก่าก็ไม่ต้องเรียกหลักฐานเพิ่มเติมเลย หากเป็นนักเรียนใหม่แม้ไม่มีบิดามารดาหรือผู้ปกครองมา ครูก็มีหน้าที่กรอกเอกสารนักเรียน เพื่อเป็นข้อมูลในการรับนักเรียนเข้าเรียนส่วนการกรอกยืนยันข้อมูลนักเรียนเข้าระบบของกระทรวงศึกษาธิการ ก็เพื่อให้กระทรวงทราบจำนวนนักเรียนในแต่ละโรงเรียนเพื่อจัดสรรการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายรายหัวมาให้
ซึ่งสามารถกรอกข้อมูลเพิ่มเติมแก้ไขให้ถูกต้องกับความเป็นจริงได้ตลอดเวลาเพียงแต่ข้อมูลภายในวันที่ 10 มิถุนายนของแต่ละปี จะใช้เพื่อจัดสรรงบรายหัวของเทอมการศึกษาที่ 1 มาให้ โรงเรียนสามารถกรอกข้อมูลหลังวันที่ 10 มิถุนายนได้ โดยกระทรวงศึกษาธิการจะจัดงบรายหัวมาให้ในรอบเทอมการศึกษาที่ 2ดังนั้นวันที่ 10 มิถุนายนไม่เกี่ยวกับกำหนดขีดเส้นในการรับเด็ก เพราะสามารถรับเข้ามาสู่ระบบการศึกษาได้ตลอดหรือเรียกว่าเข้าระหว่างเทอมหรือภาคการศึกษา การกำหนดวันที่ 10 เป็นเรื่องของการที่จะได้รับเงินอุดหนุนเร็วช้าต่างกันเท่านั้น ซึ่งแม้รับเด็กเข้ามาเรียนแล้วแต่เงินอุดหนุนรายหัวยังไม่มา โรงเรียนทั่วไปก็สามารถจัดการถั่วเฉลี่ยและบริหารจัดการได้เป็นปกติอยู่แล้ว
หากเด็กนักเรียนกระทำความผิด ทางกระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ.2548 เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 โดยกำหนดโทษแก่นักเรียนนักศึกษาที่กระทำความผิด มี 4 สถานดังนี้ ว่ากล่าวตักเตือน, ทำทัณฑ์บน, ตัดคะแนนความประพฤติ และทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รวมทั้งห้ามลงโทษนักเรียนด้วยวิธีรุนแรง หรือแบบกลั่นแกล้ง หรือลงโทษด้วยความโกรธ หรือด้วยความพยาบาท
ดังนั้นจากกรณีของ หยก โรงเรียนมีหน้าที่ต้องรับเข้าเรียน แม้ไม่มีผู้ปกครองก็ต้องรับเข้าเรียน สามารถส่งข้อมูลนักเรียนเข้าสู่ระบบของกระทรวงศึกษาธิการได้ด้วยโรงเรียนเอง ส่วนถ้านักเรียนกระทำความผิดก็มีระเบียบในการลงโทษให้ปฏิบัติอยู่แล้ว กระทรวงศึกษาธิการต้องทำให้ทุกโรงเรียนเป็นโรงเรียนสีขาว เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กทุกคน และต้องไม่มีเด็กที่ตกหล่นจากระบบการศึกษา
ที่มา : ข่าวสด
‘วิโรจน์’ ลั่นถึงเวลา ศธ. ต้องจริงจัง บังคับใช้พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก เอาผิดครูกระทำรุนแรงน.ร.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4039870
‘วิโรจน์’ ลั่นถึงเวลา ศธ. ต้องจริงจัง บังคับใช้พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก เอาผิดครูกระทำรุนแรงน.ร.
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
“[ ได้เวลาบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก กับครูที่กระทำทารุณกรรมต่อเด็ก อย่างจริงจัง ]
– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –
ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนคงได้อ่านข่าว การที่ครูบางคน ใช้ความรุนแรงในการลงโทษ หรือกระทำกับนักเรียน จนนักเรียนได้รับบาดเจ็บทางกาย หรือทางใจ
– การสั่งให้นักเรียนลุกนั่ง เป็นร้อยครั้ง โดยไม่ตระหนักเลยว่า การลงโทษดังกล่าว จะเกินกว่าศักยภาพของเด็กจะปฏิบัติได้ หรือไม่ เอาความสะใจของตนเป็นที่ตั้ง จนทำให้นักเรียนกระดูกแตก กล้ามเนื้อฉีก– จงใจกล้อนผมหรือใช้วิธีการใดๆ เพื่อตีตราประจาน ให้นักเรียนรู้สึกอับอาย จนเกิดเป็นบาดแผลในใจ
– พูดจาดูหมิ่นเหยียดหยาม ข่มขู่ว่าจะเอาปืนมายิงนักเรียน
– พฤติกรรมที่ส่อไปในทางล่วงเกินทางเพศ คุกคามทางเพศ หรือล่วงละเมิดทางเพศ
ฯลฯ
การกระทำเหล่านี้ นอกจากจะเข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 391 ผู้ใดใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น โดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แล้ว
ยังเข้าข่ายเป็นการกระทำทารุณกรรมเด็ก ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก มาตรา 26 ซึ่งบทกำหนดโทษตามมาตรา 78 กำหนดไว้ว่า ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 26 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อีกด้วย
แต่ที่ผ่านมา กลับไม่มีการดำเนินคดีกับครูที่ก่อเหตุอย่างจริงจังเลย มีแต่การลงโทษทางวินัยสถานเบา พอเรื่องซา ครูคนเดิมก็กลับมาสอนอีก แล้วพฤติกรรมเดิมๆ ที่เป็นปัญหา ก็เกิดขึ้นซ้ำกับนักเรียนคนอื่นๆ ไม่จบไม่สิ้น
ที่ผ่านมา เหตุผลที่ไม่มีการดำเนินคดีอาญาอย่างจริงจัง เป็นเพราะว่า
1. แม้ว่าเด็กจะร้องทุกข์เองได้ แต่ในทางปฏิบัติ การร้องทุกข์กล่าวโทษมักจะต้องดำเนินการโดยพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง ซึ่งส่วนมากมักจะถูกกล่อม เชิงข่มขู่ จากผู้บริหารสถานศึกษาบางท่าน ให้พ่อแม่ไม่แจ้งความดำเนินคดี โดยมักจะอ้างว่า “ถ้าแจ้งความแล้ว เด็กอาจจะอยู่ในโรงเรียนไม่ได้” พอพ่อแม่ กังวลว่าลูกจะถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียน ก็จะยอมไม่แจ้งความ หลายกรณีแทนที่กระทรวงศึกษาธิการ จะเป็นเจ้าภาพในการดำเนินคดีกับครูที่กระทำทารุณกรรมกับนักเรียน อย่างถึงที่สุด กลับทำตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ย เพื่อช่วยให้ครูที่กระทำความผิด ให้ไม่ต้องรับโทษทางอาญา กรณีที่พ่อแม่ยืนยันจะแจ้งความดำเนินคดี ส่วนใหญ่พ่อแม่ต้องย้ายลูกไปเรียนที่อื่น แปลกไหมครับ เด็กที่ถูกกระทำต้องย้ายหนี ในขณะที่ครูผู้กระทำ ยังคงสอนต่อไปที่โรงเรียนเดิม
2. คดีอาญาที่เกี่ยวกับเด็ก ในหลายกรณี ต้องมีนักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ เข้าร่วมในกระบวนการสอบสวนด้วย มีขั้นตอนในการทำงานเพิ่มเติม จึงทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่อยากจะดำเนินคดี ตำรวจจึงมักจะไกล่เกลี่ย ให้ลงเพียงบันทึกประจำวัน