สวัสดีครับ ตัวผมเองเป็นออทิสติก ปัจจุบันอายุ 33 ปี ช่วยเหลือตนเองได้ สื่อสารได้ และควบคุมอารมณ์ได้ วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ของการทำงานตั้งแต่เริ่มต้นว่าเจออะไรมาบ้าง (การทำงานของผมเป็นการทำงานในตำแหน่งปกติ ไม่ใช่ตำแหน่งของคนพิการ บริบทของสังคมก็จะแตกต่างกันออกไป)
.
ในปัจจุบันมีคนเป็นออทิสติกส่วนใหญ่จะแชร์ประสบการณ์ในวัยเรียน การเลี้ยงดูของครอบครัวมากกว่า แต่มีน้อยมากที่จะมาแชร์ประสบการณ์การทำงาน ว่าเป็นอย่างไร ได้เจออะไรมาบ้าง วันนี้ผมก็เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์การทำงานในช่วงเวลาที่ผ่านมาว่าเจออะไรมาบ้าง เผื่อเป็นแนวทางให้กับครอบครัวที่มีลูกเป็นออทิสติกได้รับรู้ถึงปัญหาตรงนี้ (เนื้อหาต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตน ไม่สามารถระบุตายตัวได้ว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมีความบกพร่องพิเศษในแต่ละด้านที่ไม่เหมือนกัน)
.
.
ปัญหาหลักที่เจอในการทำงาน
1. ทำงานช้า
เรื่องนี้ ผมเองมักจะโดนตำหนิจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานอยู่บ่อยๆว่าทำงานช้า ซึ่งในตอนแรกๆผมก็ไม่ได้ตระหนักตรงนี้มากเท่าไหร่ แต่พอโดนตำหนิบ่อยๆก็เลยต้องพยายามที่จะทำงานให้เร็วขึ้น ซึ่งโดยรวมถือว่าเร็วขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เร็วมาก ก็ยังโดนตำหนิเรื่องนี้อยู่ดี เคยเครียดจนถึงขั้นไปปรึกษาหมอจิตเวช จึงรู้ว่าที่ทำอะไรช้านั้นเป็นเพราะ ความผิดปกติของสมองในการสั่งงานหรือควบคุมกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย
.
พอหลังจากรู้ถึงปัญหาเหล่านี้ ก็ลองเปลี่ยนมาเป็นโฟกัสจุดอื่นแทนโดยที่ มาทำงานก่อนเวลาให้เร็วขึ้นอีกนิด มีงานอะไรก็ทำ ไม่เกี่ยงงาน อะไรที่ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานกับเจ้านายในการงานก็ช่วย ก็เลยทำให้ช่วงหลังๆ เจ้านายและเพื่อนร่วมงานมองข้ามเรื่องตรงนี้ไปบ้าง(ยกเว้นงานเร่งด่วนมากๆ) รวมถึงตัวผมเองที่ความจำดี เรียนรู้ระบบงานได้เร็ว ไม่ต้องสอนงานซ้ำๆ เจ้านายก็เลยไม่ตำหนิเรื่องทำงานช้า
.
2. จะทำงานก็ต่อเมื่อโดนสั่งเท่านั้น จะตัดสินใจอะไรเองไม่ค่อยได้ ขาดความยืดหยุ่นในการทำงาน
งานบางงานที่ผมเคยทำ เช่น งานขายหน้าร้าน ที่จะมีสินค้ามากมายเรียงวางตามชั้นต่างๆ ตอนช่วงแรกๆที่ผมทำงานนี้ เวลาที่สินค้าที่เรียงตามชั้นวางลดลงไปในระดับหนึ่ง หัวหน้าก็จะสั่งให้ผมนำสินค้ามาเติมจนเต็ม แต่พอสินค้าลดลงเค้าก็มาสั่งผมอีก จนบ่อยๆเข้าผมก็โดนหัวหน้าตำหนิว่า "ทำไมต้องให้สั่งตลอด รู้หน้าที่ของตนเองได้แล้วว่าต้องทำอย่างไร" ตอนหลังๆมาผมก็เริ่มเรียนรู้แล้วว่า ถ้าชั้นว่างของว่างมากขึ้น ก็ให้นำของมาเติม รวมถึงการทำความสะอาดฝุ่นที่เกาะตามพื้นที่ต่างๆ ฯลฯ
.
ตรงนี้ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากจะทำ แต่ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ต้องช่วยตรงไหน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหัวหน้างานสั่งงานไม่ชัดเจน ถ้าสั่งชัดเจน ผมจะรู้ทันทีเลยว่าจะต้องทำอะไร (ผมเองก็ไม่อยากที่จะโทษหัวหน้างาน เพราะเค้าก็ไม่ได้ผิด เค้าไม่รู้ว่าผมเป็นแบบนี้ เค้ามองว่าผมเป็นคนปกติ ก็ต้องทำงานแบบคนปกติได้)
.
3. การสื่อสารของเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน
ที่บ่อยครั้งที่ผมไม่เข้าใจ บางครั้งจะต้องถามซ้ำ หรือพูดทบทวนในสิ่งที่เค้าสั่ง ก็ทำให้บางคนหงุดหงิดก็ขึ้นเสียงใส่ หรือพูดแบบไม่พอใจว่า "ก็สั่งไปแล้ว ทำไมไม่จำ ทำไมต้องให้พูดซ้ำ" ส่วนตัวถึงผมจะจำในสิ่งที่เค้าพูดได้ แต่บางครั้งก็ไม่เข้าใจ เพราะสิ่งที่ผมคิดนั้นผมจะคิดออกมาเป็นภาพ จึงคิดไม่ออกว่าจะต้องให้ทำแบบไหน ทำอย่างไร นอกจากว่าจะทำเป็นตัวอย่างให้ดู ตรงนั้นพอผมจำได้ พอทำได้ ก็จะรู้ทันที
.
4. การสื่อสารของผมกับเพื่อนร่วมงานและเจ้านาย
บางครั้งตัวผมเองก็มีปัญหาในการสื่อสาร เจ้านายและเพื่อนร่วมงานบางครั้งเค้าไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อสาร หรือเข้าใจในอีกแบบ การสื่อสารของผม ผมนึกเป็นภาพออกมาแล้วว่า จะสื่อสารแบบนี้ ให้เค้าเข้าใจแบบนี้ แต่พอสื่อสารจริงๆกลับนึกไม่ออกว่าจะต้องสื่อสารอย่างไร จะต้องใช้คำพูดอย่างไรให้คนรับฟังเข้าใจ ไม่รู้ว่าจะต้องใช้คำพูดหรือบริบทในการสื่อสารตรงไหน บางทีสื่อสารตรงเกินไปหรือใช้บริบทคำพูดที่ผิด ก็ทำให้เค้าไม่พอใจ บางคนก็รังเกียจ มองเป็นตัวประหลาดไปเลย (เนื่องจากสังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่ชอบการพูดแบบตรงๆ)
.
.
จากข้อเสียที่ผ่านมาข้างต้น ทำให้การทำงานของผมในช่วงแรกนั้นทำงานได้ไม่นาน เปลี่ยนงานบ่อยเนื่องจากไม่ผ่านทดลองงานบ้าง เข้ากับเพื่อนร่วมงานและเจ้านายไม่ค่อยได้ รวมถึงความกดดันจากการทำงานที่ผมหรือคนที่เป็นออทิสติกรับมือได้ไม่ดี จนช่วงหลังๆแม่ผมให้ผมทำบัตรคนพิการ เพื่อที่จะได้สมัครงานในตำแหน่งคนพิการ จะได้ไม่ถูกจี้กับโดนกดดันจากการทำงานมากจนเกินไป (ที่ผมไม่ได้ทำบัตรคนพิการในตอนเด็กเพราะผมเกิดในยุค 90 ในยุคนั้นโรคที่เกี่ยวกับออทิสติก หรือโรคจิตเวชทั้งหลายยังไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม แม่ก็เลยกลัวว่าถ้าทำไปแล้ว แล้วไปสมัครงานในอนาคตจะไม่มีที่ไหนรับ)
.
กล่าวถึงข้อเสียไปแล้ว ผมก็จะขอกล่าวถึงข้อดีในการทำงานของคนที่เป็นออทิสติกกันบ้าง
1. ความจำดี สามารถเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งถ้าเป็นสิ่งที่สนใจ ก็จะยิ่งจดจำได้อย่างรวดเร็วแบบทวีคูณ
2. จะมาตรงเวลาตลอด ไม่ค่อยมาสาย ถึงเวลาทำงาน ก็จะทำงานอย่างจริงจัง จดจ่อกับงานอย่างเดียว ไม่พูดคุยกับใคร มีงานอะไรก็ทำ ไม่เกี่ยงงาน
3. ใส่ใจกับการทำงานเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ
.
ปัจจุบันที่บริษัทที่ผมทำงานล่าสุด ผมทำงานในตำแหน่งปกติ แต่ผมได้แจ้งเจ้านายแล้วในสิ่งที่ผมเป็น ซึ่งเจ้านายเองก็รู้ตั้งแต่แรกที่มาสัมภาษณ์ (สำหรับผมถ้าออกไปข้างนอก ใช้ชีวิตปกติ จะดูไม่ออกเลยว่าเป็นออฯ แต่เจ้านายผมที่รู้เพราะเค้าเคยทำงานร่วมกับคนที่เป็นเด็กพิเศษมาก่อน ถึงได้รู้) ซึ่งพอเจ้านายรู้ เค้าก็ไม่จี้ ไม่กดดัน ขอแค่ควบคุมอารมณ์ได้ก็พอ ส่วนข้อเสียที่กล่าวมาข้างต้น ผมเองก็พัฒนาจนดีขึ้นในระดับหนึ่ง
.
ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ ถึงจะยาว แต่อย่างน้อยก็ไว้เป็นแนวทางสำหรับผู้ปกครองที่มีลูกเป็นออทิสติก กับนายจ้างที่ต้องการจะรับคนที่เป็นออทิสติกเข้ามาทำงานครับ
แชร์ประสบการณ์การทำงานของผมที่เป็นออทิสติก
.
ในปัจจุบันมีคนเป็นออทิสติกส่วนใหญ่จะแชร์ประสบการณ์ในวัยเรียน การเลี้ยงดูของครอบครัวมากกว่า แต่มีน้อยมากที่จะมาแชร์ประสบการณ์การทำงาน ว่าเป็นอย่างไร ได้เจออะไรมาบ้าง วันนี้ผมก็เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์การทำงานในช่วงเวลาที่ผ่านมาว่าเจออะไรมาบ้าง เผื่อเป็นแนวทางให้กับครอบครัวที่มีลูกเป็นออทิสติกได้รับรู้ถึงปัญหาตรงนี้ (เนื้อหาต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตน ไม่สามารถระบุตายตัวได้ว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมีความบกพร่องพิเศษในแต่ละด้านที่ไม่เหมือนกัน)
.
.
ปัญหาหลักที่เจอในการทำงาน
1. ทำงานช้า
เรื่องนี้ ผมเองมักจะโดนตำหนิจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานอยู่บ่อยๆว่าทำงานช้า ซึ่งในตอนแรกๆผมก็ไม่ได้ตระหนักตรงนี้มากเท่าไหร่ แต่พอโดนตำหนิบ่อยๆก็เลยต้องพยายามที่จะทำงานให้เร็วขึ้น ซึ่งโดยรวมถือว่าเร็วขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เร็วมาก ก็ยังโดนตำหนิเรื่องนี้อยู่ดี เคยเครียดจนถึงขั้นไปปรึกษาหมอจิตเวช จึงรู้ว่าที่ทำอะไรช้านั้นเป็นเพราะ ความผิดปกติของสมองในการสั่งงานหรือควบคุมกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย
.
พอหลังจากรู้ถึงปัญหาเหล่านี้ ก็ลองเปลี่ยนมาเป็นโฟกัสจุดอื่นแทนโดยที่ มาทำงานก่อนเวลาให้เร็วขึ้นอีกนิด มีงานอะไรก็ทำ ไม่เกี่ยงงาน อะไรที่ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานกับเจ้านายในการงานก็ช่วย ก็เลยทำให้ช่วงหลังๆ เจ้านายและเพื่อนร่วมงานมองข้ามเรื่องตรงนี้ไปบ้าง(ยกเว้นงานเร่งด่วนมากๆ) รวมถึงตัวผมเองที่ความจำดี เรียนรู้ระบบงานได้เร็ว ไม่ต้องสอนงานซ้ำๆ เจ้านายก็เลยไม่ตำหนิเรื่องทำงานช้า
.
2. จะทำงานก็ต่อเมื่อโดนสั่งเท่านั้น จะตัดสินใจอะไรเองไม่ค่อยได้ ขาดความยืดหยุ่นในการทำงาน
งานบางงานที่ผมเคยทำ เช่น งานขายหน้าร้าน ที่จะมีสินค้ามากมายเรียงวางตามชั้นต่างๆ ตอนช่วงแรกๆที่ผมทำงานนี้ เวลาที่สินค้าที่เรียงตามชั้นวางลดลงไปในระดับหนึ่ง หัวหน้าก็จะสั่งให้ผมนำสินค้ามาเติมจนเต็ม แต่พอสินค้าลดลงเค้าก็มาสั่งผมอีก จนบ่อยๆเข้าผมก็โดนหัวหน้าตำหนิว่า "ทำไมต้องให้สั่งตลอด รู้หน้าที่ของตนเองได้แล้วว่าต้องทำอย่างไร" ตอนหลังๆมาผมก็เริ่มเรียนรู้แล้วว่า ถ้าชั้นว่างของว่างมากขึ้น ก็ให้นำของมาเติม รวมถึงการทำความสะอาดฝุ่นที่เกาะตามพื้นที่ต่างๆ ฯลฯ
.
ตรงนี้ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากจะทำ แต่ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ต้องช่วยตรงไหน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหัวหน้างานสั่งงานไม่ชัดเจน ถ้าสั่งชัดเจน ผมจะรู้ทันทีเลยว่าจะต้องทำอะไร (ผมเองก็ไม่อยากที่จะโทษหัวหน้างาน เพราะเค้าก็ไม่ได้ผิด เค้าไม่รู้ว่าผมเป็นแบบนี้ เค้ามองว่าผมเป็นคนปกติ ก็ต้องทำงานแบบคนปกติได้)
.
3. การสื่อสารของเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน
ที่บ่อยครั้งที่ผมไม่เข้าใจ บางครั้งจะต้องถามซ้ำ หรือพูดทบทวนในสิ่งที่เค้าสั่ง ก็ทำให้บางคนหงุดหงิดก็ขึ้นเสียงใส่ หรือพูดแบบไม่พอใจว่า "ก็สั่งไปแล้ว ทำไมไม่จำ ทำไมต้องให้พูดซ้ำ" ส่วนตัวถึงผมจะจำในสิ่งที่เค้าพูดได้ แต่บางครั้งก็ไม่เข้าใจ เพราะสิ่งที่ผมคิดนั้นผมจะคิดออกมาเป็นภาพ จึงคิดไม่ออกว่าจะต้องให้ทำแบบไหน ทำอย่างไร นอกจากว่าจะทำเป็นตัวอย่างให้ดู ตรงนั้นพอผมจำได้ พอทำได้ ก็จะรู้ทันที
.
4. การสื่อสารของผมกับเพื่อนร่วมงานและเจ้านาย
บางครั้งตัวผมเองก็มีปัญหาในการสื่อสาร เจ้านายและเพื่อนร่วมงานบางครั้งเค้าไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อสาร หรือเข้าใจในอีกแบบ การสื่อสารของผม ผมนึกเป็นภาพออกมาแล้วว่า จะสื่อสารแบบนี้ ให้เค้าเข้าใจแบบนี้ แต่พอสื่อสารจริงๆกลับนึกไม่ออกว่าจะต้องสื่อสารอย่างไร จะต้องใช้คำพูดอย่างไรให้คนรับฟังเข้าใจ ไม่รู้ว่าจะต้องใช้คำพูดหรือบริบทในการสื่อสารตรงไหน บางทีสื่อสารตรงเกินไปหรือใช้บริบทคำพูดที่ผิด ก็ทำให้เค้าไม่พอใจ บางคนก็รังเกียจ มองเป็นตัวประหลาดไปเลย (เนื่องจากสังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่ชอบการพูดแบบตรงๆ)
.
.
จากข้อเสียที่ผ่านมาข้างต้น ทำให้การทำงานของผมในช่วงแรกนั้นทำงานได้ไม่นาน เปลี่ยนงานบ่อยเนื่องจากไม่ผ่านทดลองงานบ้าง เข้ากับเพื่อนร่วมงานและเจ้านายไม่ค่อยได้ รวมถึงความกดดันจากการทำงานที่ผมหรือคนที่เป็นออทิสติกรับมือได้ไม่ดี จนช่วงหลังๆแม่ผมให้ผมทำบัตรคนพิการ เพื่อที่จะได้สมัครงานในตำแหน่งคนพิการ จะได้ไม่ถูกจี้กับโดนกดดันจากการทำงานมากจนเกินไป (ที่ผมไม่ได้ทำบัตรคนพิการในตอนเด็กเพราะผมเกิดในยุค 90 ในยุคนั้นโรคที่เกี่ยวกับออทิสติก หรือโรคจิตเวชทั้งหลายยังไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม แม่ก็เลยกลัวว่าถ้าทำไปแล้ว แล้วไปสมัครงานในอนาคตจะไม่มีที่ไหนรับ)
.
กล่าวถึงข้อเสียไปแล้ว ผมก็จะขอกล่าวถึงข้อดีในการทำงานของคนที่เป็นออทิสติกกันบ้าง
1. ความจำดี สามารถเรียนรู้และจดจำสิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งถ้าเป็นสิ่งที่สนใจ ก็จะยิ่งจดจำได้อย่างรวดเร็วแบบทวีคูณ
2. จะมาตรงเวลาตลอด ไม่ค่อยมาสาย ถึงเวลาทำงาน ก็จะทำงานอย่างจริงจัง จดจ่อกับงานอย่างเดียว ไม่พูดคุยกับใคร มีงานอะไรก็ทำ ไม่เกี่ยงงาน
3. ใส่ใจกับการทำงานเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ
.
ปัจจุบันที่บริษัทที่ผมทำงานล่าสุด ผมทำงานในตำแหน่งปกติ แต่ผมได้แจ้งเจ้านายแล้วในสิ่งที่ผมเป็น ซึ่งเจ้านายเองก็รู้ตั้งแต่แรกที่มาสัมภาษณ์ (สำหรับผมถ้าออกไปข้างนอก ใช้ชีวิตปกติ จะดูไม่ออกเลยว่าเป็นออฯ แต่เจ้านายผมที่รู้เพราะเค้าเคยทำงานร่วมกับคนที่เป็นเด็กพิเศษมาก่อน ถึงได้รู้) ซึ่งพอเจ้านายรู้ เค้าก็ไม่จี้ ไม่กดดัน ขอแค่ควบคุมอารมณ์ได้ก็พอ ส่วนข้อเสียที่กล่าวมาข้างต้น ผมเองก็พัฒนาจนดีขึ้นในระดับหนึ่ง
.
ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ ถึงจะยาว แต่อย่างน้อยก็ไว้เป็นแนวทางสำหรับผู้ปกครองที่มีลูกเป็นออทิสติก กับนายจ้างที่ต้องการจะรับคนที่เป็นออทิสติกเข้ามาทำงานครับ