[CR] ภูหัวโล้น-เมืองเฟือง...เรียงร้อยเรื่องเล่าระหว่างทาง

เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ‘ตอนนี้เรามองหน้ากันน้อยกว่ามองจอเสียอีก ’ เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงเลย เพราะกิจวัตรประจำวันแทบจะทั้งหมดล้วนข้องเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 
         โดยเฉพาะตั้งแต่หลังโควิดระบาดเป็นต้นมา ที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบชีวิต ไม่ว่าจะเป็น work from home หรือ learn from everywhere แต่ละคนล้วนได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย
         จนเวลาผ่านไป มาตรการบางอย่างเริ่มผ่อนคลาย หลาย ๆ สิ่งปรับตัวได้ ชีวิตประจำวันที่แสนจะวุ่นวาย บางทีก็ผลักดันให้เราอยากออกไปแสวงหามุมใหม่ ๆ ของชีวิต ไปยังที่ที่เงียบสงบ ไปยังที่ที่ไม่มีคนรู้จักเรา ไปยังที่ที่มือถือทำหน้าที่แทนแค่นาฬิกาปลุก และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราเลือก...ที่แห่งนี้

-กรุงเทพมหานครฯ, ประเทศไทย-
         ล้อหมุนออกจากใจกลางเมืองหลวงเมื่อเวลาสองทุ่มตรง รถตู้คันหนึ่งแล่นพาคณะทัวร์อีกสิบชีวิตมุ่งหน้าห่างไกลจากเมืองหลวงอันศิวิไลซ์ เต็มไปด้วยแสงสีทีละน้อย ๆ หลังจากฝ่าดงรถติดชานเมืองในช่วงวันหยุดยาว รถก็แล่นฉิวไร้รถติดกวนใจ ผ่านจังหวัดแล้วจังหวัดเล่า จวบจนผ่านไปค่อนคืนเราก็คืบคลานเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย 
         แสงตะวันเลื่อนจับขอบฟ้าในยามเช้ามืด อากาศยามเช้าของจังหวัดหนองคาย ด่านพรมแดนที่เราจะต้องข้ามไปไม่ได้เย็นอย่างที่คิด ติดจะอุ่น ๆ ไม่ต่างจากที่จากมาเท่าไหร่นัก ล้างหน้าแปรงฟัน ทำภารกิจยามเช้าเสร็จสรรพ ก็เริ่มประเดิมมื้อเช้าด้วยก๋วยจั๊บญวณ กับข้าวจี่ที่เป็นคนละข้าวจี่ของภาคกลาง เพราะคือขนมปังสไตล์เวียดนามที่สอดไส้ต่าง ๆ ตามแต่จะเลือกสรร อาหารอุ่นร้อน เบา ๆ ทำให้ท้องอิ่ม มีแรงที่จะต้องเดินทางต่ออีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้กันสักที
         รถแล่นออกจากด่านหนองคาย ประเทศไทย ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวที่สร้างคู่ไปกับทางรถไฟ เพียงไม่นาน เราก็ก้าวข้ามผ่านเขตแดน
         ไร้ความแตกต่าง ไร้การแบ่งแยก ไทย-ลาวก็คือพี่น้องใช่อื่นไกล

-ประเทศลาว-
         พอข้ามพ้นสะพานมิตรภาพมาได้ เราก็เริ่มเห็นป้ายโฆษณา ป้ายต่าง ๆ ที่เขียนด้วยภาษาที่แตกต่างออกไป แต่ถามว่า ถ้าจะอ่านจริง ๆ ก็พอจะอ่านออกนะ แถมยังสนุกอีกต่างหาก เพราะบางคำก็ต่างไปแค่ไม่กี่ตัวอักษร เช่น ภาษาไทยใช้ ‘ช’ ภาษาลาวกลับใช้ ‘ซ’ แทน และจะว่าไปคำของเขายังเท่สุด ๆ สไตล์มินิมอลอีกต่างหาก เช่นคำว่า ‘หยุด’ ในภาษาไทย ภาษาลาวก็จะเขียนแค่ ‘ยุด’ เออ ดี ไม่ต้องเปลืองพื้นที่มากมาย
         แล่นผ่านตัวชุมชนเล็กน้อย รถก็ตัดขึ้นทางด่วน ความเปลี่ยนแปลงของถนนค่อนข้างทำให้เรางงมาก ๆ เหมือนนั่งชมวิวทุ่งนา อารมณ์ต่างจังหวัดอยู่ชั่วครู่ จู่ ๆ ก็ถึงด่านเก็บเงินเสียแล้ว มันเซอร์ไพรส์สุด ๆ ที่มีด่านทางด่วนตั้งอยู่ตรงนี้ คล้าย ๆ เราขับไปกลางทุ่งนาบ้านเรา แล้วจู่ ๆ ก็เปลี่ยนมู้ดเป็นทางด่วน แถมบนทางด่วน สองข้างทางยังเต็มไปด้วยทุ่งนาสลับป่า มีน้องควายที่กินหญ้าอยู่ใกล้ขอบทาง อีกนิดนึง ก็ก้าวข้ามมาบนทางด่วนได้แล้ว
         ปังไม่ไหว
         พอสังเกตด่านจริง ๆ จะพบว่าทางด่วนนี้เหมือนจะเป็นประเทศจีนมาลงทุน ทั้งอาคารที่ตกแต่งสไตล์จีน ภาษาจีนเต็มไปหมด แม้กระทั่งบนหน้าจอที่โชว์คิดเงิน ระหว่างทางก็มีจุดพักรถ เป็นอาคารหรู ๆ ที่ข้างในไม่มีอะไรเลย ให้แวะเข้าห้องน้ำแบบไม่เสียเงิน
         นั่งรถต่อไปได้อีกเกือบสองชั่วโมง เราก็มาถึงจุดที่ต้องเปลี่ยนรถ อย่าถามเลยว่าตอนนี้อยู่เมืองไหนแล้ว เพราะงงมาก อีกทั้งเราไม่ได้เปิดโรมมิ่งไปจากไทย หรือซื้อซิมเปลี่ยน ทำให้มือถือไม่ต่างอะไรจากระบบอนาล็อก เรียกได้ว่ากะมาพักผ่อน ตัดขาดโซเชียลเต็มที่
         ได้ความว่าร้านข้าวนี่แทบจะทำธุรกิจครบวงจร รถที่ต้องต่อไปท่าเรือ และเรือที่ข้ามไป ก็เป็นกิจการของครอบครัว เรานั่งกินข้าวเหนียว กับหมูทอดง่าย ๆ คนที่นี่ทานอาหารที่มักจะติดมัน ขนาดหมูที่เรากินยังเป็นไขมันชั้นหนา มีเนื้อแดงติดนิดเดียว แต่เขาทอดมาอร่อยมาก เราเองที่ปกติไม่ค่อยกินเนื้อมัน ยังซัดซะเกลี้ยง
เอ้า ภาษาคุ้น ๆ แฮะ
         หนังท้องตึง หนังตาควรจะหย่อน แต่ปรากฏว่าไม่มีเวลาหย่อนเลยสักนิด เพราะรถที่มารับเราไปยังท่าเรือเป็นรถสองแถวที่ต้องอาศัยทักษะการนั่งเกร็งก้น โหนกระแส เอ๊ย โหนราวกันตกไปตลอดทาง พี่คนขับรถตู้จากไทยที่มาส่งเราต่อบอกว่า ต้องนั่งต่อไปอีกเกือบยี่สิบกิโล ยิ่งถ้าน้ำลงไปเยอะ ๆ อาจต้องนั่งไปไกลกว่านั้น ว่าพลางเขาก็ยืนส่งเราพร้อมกับรอยยิ้ม ในน้ำเสียงบ่งบอกว่า...รับรองสนุกแน่
         ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมไม่เอารถตู้ขับมาต่อ เพราะถนนนั้นแสนจะขรุขระ น่าสงสารถรถมาก ช่วงที่ลาดปูนแทบจะนับระยะได้ หลาย ๆ ช่วงเป็นดินแดง แถมยังเหนียว ๆ เละ ๆ ตามภูมิภาคประเทศลาว บางช่วงเป็นสะพานไม้ที่แล่นผ่านก็เสียววาบ ๆ อยู่เหมือนกัน ยิ่งใกล้ถึงท่าเรือ ถนนก็เป็นดินสลับทรายมากขึ้น หลังนั่งโยกเยกมาได้สักระยะ เราก็มาถึงท่าเรือในที่สุด
         เรือข้ามฟากนี้เป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะพาเขาเข้าสู่เมือง ‘ไซยสมบูรณ์ (ໄຊສົມບູນ) ’ หรือที่ไทยเรียกไชยสมบูรณ์ ความจริงจะเอารถวิ่งอ้อมไปก็ได้ แต่ระยะทางจะไกลกว่า ใช้ระยะเวลามากกว่า แต่หากมาจากเวียงจันทน์ก็มีรถโดยสารมา แต่ไม่แน่ใจจริง ๆ ว่าจะใช้เวลากี่ชั่วโมง
         เราลงเรือเดินทางต่อไปบน ‘เขื่อนน้ำงึม’ บรรยากาศระหว่างทางคือดีมาก สวยมาก ผิวน้ำสีเขียวสะท้อนประกายแดดระยิบระยับ นั่งไป ชมวิวไป ก็เริ่มง่วงนอน พอนั่งทรงตัวอยู่ได้ไม่นาน ก็สลับงีบ สัปหงกไปเสียหน่อย พอเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง เราก็มาถึงฝั่ง
         ขอขึ้นคำเตือนโต ๆ ว่าพอถึงฝั่งแล้ว หลังจากนี้คือเกมส์วัดดวง หากเราไปในช่วงน้ำขึ้นเยอะ ๆ เราก็จะสามารถเดินสวย ๆ ถึงที่จอดรถได้เลย จะเอากระเป๋าลากมาก็ไม่ว่ากัน แต่คณะเราดันไปในช่วงน้ำน้อย ทำให้จุดจอดรถกับจุดขึ้นเรือมันห่างไกล ไม่ต่ำกว่ากิโล เห็นระยะทางแล้วอย่าเพิ่งชะล่าใจ เพราะหนทางไปนั้นมันวิกฤติขั้นหนัก เรียกได้ว่ายิ่งกว่าลุ้นฟุตบาธหน้าฝนของประเทศไทย เพราะตลอดทางเป็นดินเหนียวแดง ๆ ที่แทบจะสุ่มดวงว่าจะวางเท้าไปตรงไหนดี เหยียบผิดชีวิตเปลี่ยนทันที หลายต่อหลายครั้ง ดินยุบตัว แทบจะเป็นโคลนดูด เกือบชักเท้าขึ้นไม่ทัน กระเป๋าลากนั้นสัมภารกดี ๆ นี่เอง เอาเป้ไปเถอะเพื่อความปลอดภัย
         หลังจากผ่านพ้นด่านโคลนดูดมาได้ อย่าคิดนะว่ามันจะถึงแล้ว ยังจ้ะ เราจะต้องเปลี่ยนเป็รถพาไปสู่ที่พัก จุดหมายปลางทางของเราในวันนี้อีก รถตู้ที่เหมารออยู่แล้ว ขับพาเราชมวิวทิวทัศน์ต่าง ๆ อีกเกือบชั่วโมงครึ่ง ผ่านเหมืองแร่ ผ่านอ่างบำบัดน้ำเสีย ผ่านหมู่บ้าน กว่าจะถึงโรงแรม ‘นิวซีแลนด์ไซยสมบูรณ์’ ก็แทบหมดแรง
         ตอนที่เห็นภาพของ ‘ภูหัวโล้น’ เป็นแบคกราวด์อยู่ด้านหลังโรมแรม ก็อยากจะหลั่งน้ำตา มันงดงามมากจริง ๆ
 

ชื่อสินค้า:   ลาว
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่