Playa de Las Teresitas ชายหาดจากทรายทะเลทราย Sahara

.
 
.
©  vil.sandi/Flickr
.
.

ชายหาด Playa de Las Teresitas 
ในเมือง Tenerife ประเทศสเปน
เป็นหนึ่งในชายหาด
ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
ของหมู่เกาะ Canary Islands

แต่ชายหาดแห่งนี้ไม่ใช่ของธรรมชาติ
ชายหาดนี้สร้างขึ้นในปี 1970
โดยนำเข้าทรายจำนวน 270,000 ตัน
จากทะเลทรายซาฮาราตะวันตก
.
.
 
.
.
.

Playa de Las Teresitas 
แตกต่างจากชายหาดทั่วไป
ที่นักท่องเที่ยวคุ้นเคยก้นในปัจจุบันอย่างมาก
เพราะที่นี่ในอดีตเป็นชายหาด
ที่มีแต่ก้อนกรวดและทรายภูเขาไฟสีดำ
และน้ำทะเลไม่สงบนิ่งเหมือนปัจจุบัน
รวมทั้งเป็นชายหาดที่อันตรายมาก
คลื่นทะเลกระทบหินอย่างแรง
แต่ที่นี่เป็นชายหาดแห่งเดียว
ที่ใกล้กับ Santa Cruz มากที่สุด
ทรายในชายหาดส่วนที่เหลือค่อย ๆ หายไป
เมื่อบริษัทก่อสร้างเก็บกวาดทรายจากชายหาด
เพื่อนำไปใช้ในงานก่อสร้างของธุรกิจ
และท่าเรือ Port of Santa Cruz de Tenerife
ก็ยังรุกล้ำแนวชายฝั่ง/ชายหาดด้วยเช่นกัน
.
.
.
© dronepicr / Flickr
.
.

ในปี 1953 
สภาเมือง Santa Cruz City Council
ได้มีมติสร้างชายหาดเทียมใน Las Teresitas
โดยใช้เวลา 8 ปีในการออกแบบ
และอีก 4 ปีเพื่อให้ได้รับการอนุมัติ
จากรัฐสภาและกระทรวงของสเปน

ขั้นตอนแรกที่ดำเนินการคือ
การปกป้องชายหาดจากคลื่นแรง
ด้วยการสร้างเขื่อนกันคลื่นขนาดใหญ่
ขั้นบันไดยังถูกตัดลงไปในทะเล
เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำลากทรายลงทะเล
ทรายที่นำเข้ามาเทลงด้านบนของ
ชายหาดเดิมของ Las Teresitas 
เพื่อสร้างชายหาดขึ้นมาใหม่

ทรายสีขาวถูกนำมาจากทะเลทรายซาฮาร่า
ราว 270,000 ตัน และถูกนำมาใช้
เพื่อสร้างชายหาดที่ยาว 1.3 กม. กว้าง 80 ม.
ชายหาดแห่งนี้เปิดให้บริการในปี 1973
และในไม่ช้าก็กลายเป็นจุดหมายปลายทาง
ยอดนิยมสำหรับคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว
.
.
.
© dronepicr / Flickr
.
.
© StarExcursions/Flickr
.
.

ทรายถูกนำเข้าอย่างสม่ำเสมอ
จาก  Western Sahara
ผ่านทางหมู่เกาะ Canary Islands
เพื่อสร้างชายหาดแห่งใหม่ที่นี่
และเพื่อใช้ในการก่อสร้างขนาดใหญ่
แต่น่าเสียดายที่ทรายส่วนใหญ่
มีการนำเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย

“ การขุดทรายนี้ส่งผลกระทบมากมาย
ต่อซาฮาราตะวันตกและผู้คนในแถวนั้น
ในด้านเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
การขุดทรายดังกล่าว ทำให้ภูมิทัศน์เสียโฉม
เช่นเดียวกับที่อื่น ๆ ในโลก
และเกิดการกัดกร่อนระบบนิเวศที่อ่อนไหว

หน่วยงานและบริษัทต่างๆ ของโมร็อกโก
เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการค้านี้เป็นหลัก ”
ENACT Africa ซึ่งเป็นองค์กรที่ต่อสู้กับ
อาชญากรรมข้ามชาติในแอฟริกา อธิบาย 
.
.
.
.

แม้ว่าข้อเท็จจริงอาจจะไม่เลวร้ายขนาดนั้น
แต่ทรายเป็นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด
และดูเหมือนว่าทรายบนโลกกำลังจะหมดไป
เพราะเป็นวัสดุจำนวนมหาศาล/พื้นฐาน
ที่ผู้คนจำนวนมากใช้ในการก่อสร้าง
จากการประมาณการครั้งหนึ่ง
โลกใช้ทราย 50 พันล้านเมตริกตันต่อปี
มากพอที่จะสร้างกำแพง
สูง 88 ฟุต กว้าง 88 ฟุตรอบโลกได้

สิ่งที่ทำให้การทำเหมืองทราย
เป็นการทำลายล้างระบบนิเวศ คือ
ผู้ประกอบการที่ผิดกฎหมายจำนวนมาก
ขโมยทรายจากชายหาดและก้นแม่น้ำ
แทนที่จะนำมาจากทะเลทราย
เพราะทรายในทะเลทรายนั้น
ส่วนมากจะเนียน/ละเอียดมาก
จนไร้เหลี่ยมไร้คมลื่นไหลเร็วมาก
จนไม่ค่อยจะเกาะตัว/ผสานกับซีเมนต์
ในพื้นที่ทุะเลทรายบางแห่ง
ทรายก็มีความเค็มมากกว่าที่อื่น ๆ
จึงยังไม่มีความเหมาะสมในงานก่อสร้าง
เว้นแต่จะมีสูตรปูนซีเมนต์ที่ใช้ทรายทะเลทราย
แต่มีต้นทุนแพงกว่าทรายจากธรรมชาติ
.
 
.
Gobi desert © Jose L Vilchez/Shutterstock
.
การขุดทรายออกจากพื้นที่อ่อนไหว
สร้างปัญหาต่อความหลากหลายทางชีวภาพ
และสร้างความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น
เช่น การหายไปอย่างช้า ๆ
ของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงของเวียดนาม

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา 
นักเคลื่อนไหวและนักวิชาการจำนวนมาก
ต่างยื่นข้อเรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติ
United Nations  และองค์การการค้าโลก
World Trade Organization
ดำเนินการ/มีมาตรการมากกว่านี้
เพื่อจำกัดความเสียหาย
ที่เกิดจากการทำเหมืองทราย
.

.

ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวของโมร็อกโก
กำลังดิ้นรนเพื่อฟื้นตัวจากโควิด-19 
ขบวนการค้าของผิดกฎหมายข้ามชาติ
ก็กำลังก่อกวนแนวชายฝั่งของประเทศนี้เช่นกัน 
ซึ่งแตกต่างจากปฏิบัติการลักลอบขนสินค้าอื่น ๆ 

การค้าครั้งนี้ใช้ชายฝั่งทะเลมากกว่า
การค้าสินค้าประเภทอื่น ๆ ตรงจุดผ่านแดน
นั่นเป็นเพราะ สินค้าทรายจากชายหาด
ที่เป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจนี้
คือ ทรายที่ประกอบกันเป็นแนวชายฝั่ง
การทำเหมืองทรายที่ผิดกฎหมาย
กำลังทำลายชายหาดของโมร็อกโก
โดยอยู่ในมือของกลุ่มที่มีฉายา มาเฟียทราย

การขนส่งสินค้า มีตั้งแต่กรรมกรที่ใช้ลา
รถยนต์บรรทุก เรือขนส่งสินค้า
เพราะได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่รัฐ
ที่แสวงหาผลประโยชน์จากตำแหน่งของตน
เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม

การปล้นสะดมทรายจากชายหาดโมร็อกโก
ทรายจะถูกส่งขายไปต่างประเทศ
หรือป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมการก่อสร้าง
ที่กำลังเฟื่องฟูของประเทศนี้
เพราะทรายมีราคาถูกและหาได้ง่าย
ทรายจึงเป็นส่วนผสมในคอนกรีต
ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่มีเกือบ 3/4
ของส่วนผสมทั้งหมด
เมื่อรวมกับซีเมนต์ น้ำ หิน

ในขณะที่โมร็อกโกยังคงลงทุน
ในโครงสร้างพื้นฐาน ที่อยู่อาศัย 
และการพัฒนาเชิงพาณิชย์มากขึ้น

ในปี 2019
ทราย 10 ล้านลูกบาศก์เมตร
หรือเกือบครึ่งหนึ่งของทราย
ที่ใช้ในโครงการก่อสร้างของโมร็อกโก
มาจากทรายชายฝั่งที่ขุดกันอย่างผิดกฎหมาย
เพราะทรายที่เกิดทะเลทรายซาฮารา
ทรายนั้นละเอียดเกินกว่าจะใช้งาน
เป็นตัวประสานในคอนกรีตได้
มีเพียงทรายชายฝั่งเท่านั้น
ที่จะนำมาใช้ได้เพราะมีความหยาบ คม
หาดทรายยังเข้าถึงได้ง่าย
และไม่มีเจ้าของส่วนตัวเป็นของรัฐ
ทำให้ง่ายต่อการหาประโยชน์

มาเฟียทรายไม่ได้มีเฉพาะในโมร็อกโก 
ทั่วโลกมีการขุดทราย 50 พันล้านตันต่อปี 
และการค้าข้ามชาติของทราย
ที่ถูกลักลอบนำเข้ามีมูลค่า
เกือบ 1.9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2018

แต่ในโมร็อกโก
อุตสาหกรรมทรายแบบเดียวกัน
ที่กำลังสร้างการพัฒนาการท่องเที่ยวใหม่ ๆ
ก็ทำให้แนวชายฝั่งที่เหล่านั้นหมดไปเช่นกัน
ตามแนวชายฝั่งตะวันตกของโมร็อกโก
มีการลอกชายหาดความยาว 7 กม. ออกไป
เหลือไว้ซึ่งภูมิประเทศที่ผุกร่อนเต็มไปด้วยหิน
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เห็นได้บน Google Maps

ขณะที่โมร็อกโกตั้งเป้า
ที่จะขยายอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว 
การลักลอบค้าทรายก็กำลังกัดเซาะอนาคต
ของประเทศโมร๊อกโกเช่นเดียวกัน​​​​​​​​​​​​​​​​
.

เรียบเรียง/ที่มา

https://bit.ly/3NfRITK
https://bit.ly/43MpBkp
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่