JJNY : กรุงเทพโพลเผยหวังรบ.ใหม่แก้ปากท้อง│ซัด‘วรวรรณ’ตรรกะเป็นเท็จ│เอสเอ็มอีโอดซ้ำเติมต้นทุน│ก้าวไกลโพสต์อีกก้าวเดียว

กรุงเทพโพลเผยผลสำรวจประชาชนส่วนใหญ่หวังรัฐบาลชุดใหม่แก้ปัญหาปากท้อง
https://prachatai.com/journal/2023/06/104421

กรุงเทพโพลสำรวจความเห็น 1,120 คน ส่วนใหญ่ 75.9% หวังรัฐบาลชุดใหม่ แก้ปัญหาปากท้อง ข้าวของแพง รองลงมาคือ ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ และปัญหายาเสพติด 67.1% เฝ้ารอนโยบายลดค่าครองชีพ รองลงมาคือ ปราบปรามยาเสพติด และสร้างงานสร้างรายได้

3 มิ.ย. 2566 กรุงเทพโพลโดยมหาวิทยาลัยกรุงเทพสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “นโยบายที่คนไทยคาดหวัง หากได้รัฐบาลชุดใหม่” โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศจำนวน 1,120 คน พบว่า 
    
เรื่องที่ประชาชนอยากขอให้ว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ แก้ปัญหามากที่สุดคือ ปัญหาปากท้องค่าครองชีพสูง ข้าวของราคาแพง คิดเป็นร้อยละ 75.9 รองลงมาคือ ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ คิดเป็นร้อยละ 57.2 ปัญหายาเสพติด อาชญากรรม คิดเป็นร้อยละ 50.1 ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ  คิดเป็นร้อยละ 40.1 และปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น คิดเป็นร้อยละ 34.4
    
สำหรับนโยบายที่เฝ้ารอและคาดหวังจากว่าที่รัฐบาลชุดใหม่คือ ลดค่าครองชีพเช่น ลดค่าไฟฟ้า  รถไฟฟ้าราคาถูก คิดเป็นร้อยละ 67.1 รองลงมาคือ ปราบปรามยาเสพติด คิดเป็นร้อยละ 45.9 สร้างงาน สร้างรายได้  คิดเป็นร้อยละ 44.3  สวัสดิการการรักษาฟรีทั่วไทย คิดเป็นร้อยละ 40.2 และสวัสดิการเด็กเล็ก / ผู้สูงวัย คิดเป็นร้อยละ 39.8



‘ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์’ ซัด ‘วรวรรณ’ ตรรกะเป็นเท็จ ปมโพสต์ ‘ยกเลิกทุกนโยบายว่าที่รบ. เขียวทั้งกระดานทันที’
https://www.matichon.co.th/economy/news_4012363
 
‘ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์’ ชำแหละผลประกอบการ B-LTF ภายใต้การดูแล ‘วรวรรณ ปธ.บลจ.บัวหลวง’ 5 ปี ติดลบ -16.49% แพ้ฝากแบงก์-เงินเฟ้อยับ ซัดโพสต์ ‘ยกเลิกทุกนโยบายของว่าที่รัฐบาล เขียวทั้งกระดานทันที’ ตรรกะเป็นเท็จ
 
จากกรณีที่นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด โพสต์เฟซบุ๊ก ‘วรวรรณ ธาราภูมิ‘ ระบุว่า 

ทำอย่างไรหุ้นถึงจะขึ้น “ยกเลิกทุกนโยบายของว่าที่รัฐบาล เขียวทั้งกระดานทันที”

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ประธานบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น โพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้โพสต์ดังกล่าวของนางวรวรรณ โดยระบุว่า
 
เป็นข้อความที่ขาดตรรกะ เพราะกองทุนบัวหลวงเพื่อการลงทุนระยะยาว (B-LTF) ที่บริหารโดยนางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด แพ้ตลาดมาโดยตลอดโดย 5 ปี -16.49% แพ้ฝากแบงก์ และแพ้เงินเฟ้อยับ ทั้งที่ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ยังอยู่ภายใต้รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ยังไม่ได้เปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส่วนสาเหตุที่ยกกองทุน B-LTF มาชำแหละก็เนื่องจากกองทุนนี้เข้าไปถือหุ้น STARK ซึ่งเป็นข่าวร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ตัวเลขไม่เคยโกหกใคร-คราวนี้ผมขอสรุปที่ไล่เรียงมาช่วง 3 วันดังนี้ครับ

1.ที่พี่ตู่ วรวรรณ ประธาน บลจ.บัวหลวง พูดว่า หากอยากให้หุ้นขึ้นก็เพียงแค่ว่าที่รัฐบาลใหม่ยกเลิกนโยบายทั้งหมด หุ้นเขียวทั้งกระดานทันทีนั้น…มันขาดตรรกะ คงจะไม่เป็นความจริงครับ ดูจากกองทุนบัวหลวงเพื่อการลงทุนระยะยาว พี่ตู่ วรวรรณ เป็นประธาน ที่ถือหุ้น STARK ไว้มากนั้น ในรอบ 1 ปี มีผลตอบแทนขาดทุน -11.12% รอบ 5 ปี -16.49% รอบ10ปี (พอๆกับอายุรัฐบาลลุงตู่) +0.18% คือแพ้ฝากแบงก์ แพ้เงินเฟ้อยับ
(ดูลิงค์ https://www.finnomena.com/fund/B-LTF)

2.ที่สำคัญกองทุนนี้ก็ยังแพ้ตลาด และแพ้กองทุนประเภทเดียวกันด้วยครับ
ทาง Morning Star Thailand ให้เกรดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐานกองทุนประเภทเดียวกัน ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่า เนื่องจากการคัดหุ้นลงทุนนั้น ได้เลือกหุ้นที่มีปัญหาแบบ STARKเข้าพอร์ตมากก็ได้ (ดูรายละเอียด https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=625184516313943&id=100064672000412&mibextid=qC1gEa)
 
3.ขณะที่ช่วงเวลาเดียวกัน เมื่อบลจ.บัวหลวงของพี่ตู่ วรวรรณ ไปลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศนั้นให้ผลตอบแทนบวกมากถึง 42.44%( ดูลิ้งค์ https://www.finnomena.com/fund/B-GLOBAL )
 
เนื่องจากช่วง10 ปีมานี้ระหว่างประเทศไทยติดหล่มการเมืองที่ขาดเสถียรภาพ ประสิทธิภาพการบริหารต่ำ ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตต่ำ ทุนไหลออก ทุนทางตรงไม่ไหลเข้า ทำให้ผลตอบแทนในตลาดหุ้นไทยต่ำไปด้วย แต่ในระดับโลกกำลังมีความเจริญรุ่งเรืองขยายตัวเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเศรษฐกิจใหม่ ทำให้ผลงานของบลจ.บัวหลวงในต่างประเทศกำไรผลตอบแทนสูงพอๆ กับค่าเฉลี่ยในตลาดหุ้นโลกเช่นกัน
4.ดังนั้นการนำเสนอของผู้บริหาร บลจ.บัวหลวงว่า หากอยากให้หุ้นขึ้นก็เพียงแต่ให้ว่าที่รัฐบาลใหม่ยกเลิกนโยบายเศรษฐกิจทั้งหมดก็เขียวทั้งกระดาน จึงอาจจะไม่มีประจักษ์หลักฐานที่สอดคล้องกับคำกล่าวนี้แต่อย่างใด เพราะหากยกเลิกแล้วกลับไปทำแบบเดิมที่เคยทำมาตลอด 9 ปียุคลุงตู่ กองทุนของพี่ตู่ วรวรรณก็คงผลตอบแทน Go to the moonไปแล้ว ไม่ใช่ Underperform อย่างที่เห็นกัน พิจารณาในแง่ตรรกะ=เป็นเท็จ
 
และด้วยความปรารถนาดี โดยยึดหลักพรหมวิหารสี่ กอรปด้วย เมตตา กรุณา เป็นอาทิ พี่ตู่ วรวรรณ ควรที่จะปรับตรรกะโดยไว ด้วยการลดอคติลง และเพิ่มความเป็นมืออาชีพให้สูงขึ้น เมื่อบวกรวมกับทักษะประสบการณ์อันยาวนาน ก็จะเกิดประโยชน์ต่อบลจ.บัวหลวง และผู้ถือหน่วยลงทุนบัวหลวง กับตลาดทุนได้มากต่อไป
 
ขออนุญาตตัดจบครับ

https://www.facebook.com/tontancorp/posts/624893676343027
 


แบงก์ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้-ฝาก เอสเอ็มอีโอดซ้ำเติมต้นทุนเสี่ยงเจ๊งระนาว
https://www.matichon.co.th/economy/news_4012305

แบงก์ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้-ฝาก เอสเอ็มอีโอดซ้ำเติมต้นทุนเสี่ยงเจ๊งระนาว
 
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยกรณีที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% ต่อปี สู่ระดับ 2.00% ต่อปี เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 และให้มีผลทันทีว่า ธ.ก.ส.ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 0.05-0.50% ต่อปี พร้อมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.10-0.25% ต่อปี ประกอบด้วยอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายคนชั้นดี (MRR) จาก 6.875% ปรับขึ้น 0.10% เป็น 6.975% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยลูกค้าสถาบันและนิติบุคคลชั้นดี (MLR) จาก 5.375% ปรับขึ้น 0.250% เป็น 5.625% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR)  จาก 6.750% ปรับขึ้น 0.125% เป็น 6.875% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2566 พร้อมกันนี้ ธ.ก.ส.เตรียมมาตรการดูแลและแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรลูกค้าที่ได้รับผล กระทบจากโควิด-19 และสนับสนุนการฟื้นตัวในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้น ได้แก่ มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ มาตรการฟื้นฟูอาชีพ มาตรการจ่ายดอกตัดต้น และมาตรการจ่ายต้นปรับงวด การให้คำปรึกษาด้านการจัดการหนี้ทั้งในและนอกระบบ การสนับสนุนให้ลูกค้าบริหารจัดการหนี้ผ่านแนวทางมีน้อยจ่ายน้อย มีมากจ่ายมาก พร้อมสร้างแรงจูงใจโดยคืนหรือลดอัตราดอกเบี้ยให้กับผู้ที่ชำระหนี้ ควบคู่กับการเติมทุนผ่านสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายและการลงทุน เช่น สินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย อัตราดอกเบี้ย 0.01% สินเชื่อ เอสเอ็มอี เสริมแกร่ง และสินเชื่อสานฝันสร้างอาชีพ อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 4 และสินเชื่อ Green Credit อัตราดอกเบี้ย MLR/MRR เป็นต้น 
 
ด้าน น.ส.ประภัสสร รังสิโรจน์ นายกสมาคมร้านอาหารไทยและสตรีทฟู้ด กล่าวว่า การที่ กนง.ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% สู่ระดับ 2% ทำให้ธนาคารต่างๆ ทยอยปรับดอกเบี้ยตาม เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย (เอสเอ็มอี) จะได้รับผลกระทบสูงมากเพราะเป็นเรื่องต้นทุนของธุรกิจที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ อีกทั้งที่ผ่านมา ธุรกิจขนาดเล็กยังฟื้นตัวกลับมาจากการเผชิญวิกฤตโควิดได้ยาก รวมถึงบางธุรกิจไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ก็มี แม้ขณะนี้เศรษฐกิจจะเข้าสู่ปกติมากขึ้น แต่การฟื้นตัวนั้นไม่ได้เกิดขึ้นทั่วพื้นที่ประเทศไทย ดังนั้น เรื่องของผลกระทบยังคงมีอยู่ในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยที่ยังไม่กลับเข้าสู่สภาวะปกติ
 
แต่เดิมสัดส่วนการทำธุรกิจแบ่งเป็นกำไร 60% และต้นทุน 40% เป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานต่อเนื่องได้ แต่เมื่อต้นทุนธุรกิจต่างๆ ทยอยเพิ่มขึ้นเกือบทุกด้านจากสัดส่วนการดำเนินธุรกิจเดิมก็เปลี่ยนเป็นต้นทุน 50% และกำไร 50% จนขณะนี้เมื่อต้นทุนไม่ลดลงเลยและเศรษฐกิจไม่ได้โตขึ้นชัดเจน ทำให้กำไรธุรกิจตอนนี้แค่ถึง 20-30% ยังเป็นไปได้ยากมากท่ามกลางต้นทุนที่สูงขึ้น จึงทำให้ธุรกิจล้มหายไปก็สูง” น.ส.ประภัสสรกล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่