JJNY : 5in1 พิธาร่วมหารือ│‘เศรษฐา’สวนแรง‘เจ้าสัวสหพัฒน์’│ชัชชาติเตรียมคุยพิธา│'พิธา'สวนส.ว.จเด็จ│มอสโกถูกโจมตีด้วยโดรน

พิธา ร่วมหารือ 3 องค์กรท้องถิ่น เดินหน้ากระจายความเจริญ ชงผู้บริหารท้องถิ่นนั่งวาระ 4 ปี
https://www.matichon.co.th/politics/news_4008802
 
  
พิธา นำคณะ หารือ 3 องค์กรท้องถิ่น ชูกระจายอำนาจ กระจายความเจริญใน 100 วัน ชงผู้บริหารท้องถิ่นนั่งวาระ 4 ปี
 
เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะผู้บริหารพรรค อาทิ นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค และคณะทำงานด้านนโยบายกระจายอำนาจ เช่น นายไกลก้อง ไวทยากร นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล นายวรภพ วิริยะโรจน์ นายสิริน สงวนสิน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ นายถวิล ไพรสณฑ์ และ น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ รวมถึง นายชำนาญ จันทร์เรือง จากคณะก้าวหน้า เดินทางเข้าหารือนอกรอบกับ 3 นายกสมาคมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
 
ประกอบด้วย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย และสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย เพื่อหารือและรับฟังข้อเสนอแนะถึงนโยบายเรื่องการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมี นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์  นายกเมืองพัทยา และ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายก อบจ.ปทุมธานี ในฐานะรองประธานสมาพันธ์องค์กรบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย ร่วมประชุมด้วย
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมกล่าวขอบคุณพรรคก้าวไกลที่เล็งเห็นความสำคัญขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ขณะนี้มีหลายข่าว แต่เมื่อเสียงส่วนใหญ่เลือกพรรคก้าวไกลมาเป็นตัวแทน ซึ่งพรรคก้าวไกลก็มีนโยบายที่จะมารับฟังความคิดเห็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นับเป็นสิ่งที่ดี
 
นายกสมาคมระบุกับนายพิธาว่า หากเปรียบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นพีระมิด เราเปรียบเสมือนเป็นฐาน เพราะจะรับรู้ปัญหาต่างๆ และบริบทต่างๆ ของแต่ละองค์กร ย่อมแตกต่างกันไป
 
ด้านนายพิธากล่าวว่า เป้าหมายสำคัญที่สุดคือการกระจายความเจริญ ดังนั้น การกระจายอำนาจคือกระบวนการไปสู่การพัฒนาความเจริญ ประเทศเราเมื่อรวมศูนย์จะมีแต่กรุงเทพฯ ภารกิจอย่างแรกคือการกระจายความเจริญ และที่ตามมาคือการกระจายอำนาจและบุคลากร พรรคไม่ได้ทำสิ่งที่สุดโต่ง ต้องมีระยะเวลาและแผนแม่บท อีกทั้งต้องเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมทั้งนี้
 
นายพิธากล่าวต่อว่า ขอบคุณตัวแทนจากแต่ละสมาคมที่มาร่วมประชุมในวันนี้ ทั้งนี้ ในสมัยประชุมที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลมีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญปลดล็อกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผ่านรัฐสภา ด้วยความมุ่งหวังจะกระจายความเจริญไปสู่แต่ละพื้นที่ และได้รับการสนับสนุนจากทุกท่านเป็นอย่างดี วันนี้จึงจะมารับฟังว่าการทำงานที่ผ่านมามีอะไรบ้าง และเป้าหมายใดที่สามารถคิดร่วมกันเพื่อทำงานต่อในอนาคต โดยเฉพาะช่วง 100 วันแรกหลังจากตั้งรัฐบาล จะสามารถอำนวยความสะดวกให้ท่านทั้งหลายรับใช้ประชาชนได้อย่างไรบ้าง
 
นายพิธากล่าวอีกว่า ใน 1 ปีแรกนอกจากจะกระจายความเจริญ ยังมีการกระจายอำนาจ ภารกิจ และบุคลากรที่ตามมาด้วย รวมถึงในสมัยแรกของรัฐบาลชุดต่อไป ยังมีอีกหลายประเด็นที่จะหารือว่าทำอย่างไร ประชาชนจะได้รับบริการจากทางราชการได้อย่างรวดเร็วทันท่วงที พรรคก้าวไกลพร้อมให้ความร่วมมือกับส่วนท้องถิ่นเพื่อทำงานแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้
 
วาระการประชุมเพื่อรับฟังข้อเสนอแนะแนวทางด้านการกระจายอำนาจ หลักๆ จะพูดคุยกันเรื่องการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อส่งเสริมกระบวนการปกครองส่วนท้องถิ่น และการกระจายอำนาจให้มีความอิสระ และกำกับดูแลเท่าที่จำเป็น รวมถึงการกำหนดแหล่งรายได้ใหม่ๆ ให้กับท้องถิ่น และการจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปในความเหมาะสม
 
นายพิธากล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีประเด็นของวาระผู้บริหารท้องถิ่นที่มองว่าไม่ควรกำหนดวาระให้อยู่ดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี และติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้ เพราะมองว่าควรให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน เนื่องจากผู้บริหารมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ดังนั้น หากยังสามารถทำหน้าที่และมีผลงานก็ควรให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ



‘เศรษฐา’สวนแรงถึง ‘เจ้าสัวสหพัฒน์’ ลั่นค่าแรง450บาทไม่ใช่เหตุนักลงทุนย้ายฐานหนี!
https://www.dailynews.co.th/news/2391120/

"เศรษฐา" โต้แรงถึง "เจ้าสัวสหพัฒน์" หลังบอกหวั่นใจขึ้นค่าแรง 450 บาท จะทำนักลงทุนย้ายฐานการผลิตหนี ลั่นแบบนี้ไม่ใช่เหตุผล ถ้าจะย้ายมีองค์ประกอบอื่นด้วย!

กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่ในสังคมไทยอยู่ในขณะนี้ ภายหลังจากที่ นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวถึงรัฐบาลใหม่ว่า หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จนั้น มีความเป็นห่วงเรื่องการขึ้นค่าแรง 450 บาท หากค่าแรงสูง นักลงทุนอาจจะย้ายไปยังประเทศเวียดนามนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ได้แชร์ข่าวดังกล่าว พร้อมทั้งทวีตข้อความแสดงความเห็น ระบุว่า
 
คงไม่ใช่เหตุผลนี้หรอกครับ ที่เขาจะย้ายฐาน ถ้าเขาจะย้ายฐานก็คงมีองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย เช่น ไม่มีความคืบหน้าทางด้านการเจรจาสนธิสัญญาการค้าระหว่างประเทศ หรือไม่มีผู้นำที่เดินทางออกไปเชื้อเชิญให้เขาเข้ามาลงทุน แล้วบอกเล่าว่าประเทศไทยดีอย่างไร ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ นายเศรษฐา ยังตอบกลับชาวเน็ต ที่ได้แสดงความเห็นว่า

“เจ้าสัว กลัวนายทุนต่างชาติย้ายการลงทุนในไทย เพราะค่าแรง 450 หรือว่า กลัวค่าแรงขึ้น 450 แล้วจะได้กำไรน้อยลง ขอแบบชัดๆๆ เท่าที่ติดตามข่าว ในสมัย รฐบ.ประยุทธ์ นักลงทุนต่างชาติ ก็ย้ายการลงทุนไปเวียดนามไม่ใช่น้อยนะ ไม่ได้เกี่ยวกับค่าแรงเลย”

โดยนายเศรษฐา ได้ตอบกลับว่า “มองขาดเลยนะครับ
  
https://twitter.com/Thavisin/status/1663907222974242817
https://twitter.com/Thavisin/status/1663969393381101568


 
ชัชชาติ เตรียมคุยพิธา 17 เรื่อง ไม่มีดีลลับ ไม่มีหลบซ่อน ไม่เคยเรียก ‘ว่าที่นายกฯ’
https://www.matichon.co.th/politics/news_4008820
  
ชัชชาติ ชี้กลิ่นความเจริญ เป็นการเปลี่ยนแปลง นัดพบพิธามองไม่ผิด ไม่ได้หารือเรื่องลับ
 
เมื่อเวลา 15.15 น. วันที่ 1 มิถุนายน ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยกรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมว่าที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กรุงเทพฯ จำนวน 32 คน จะเข้าพบในวันที่ 6 มิ.ย.นี้
 
นายชัชชาติ กล่าวว่า เป็นการพบกันอย่างเปิดเผย ไม่ได้หารือในฐานะว่าที่นายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการกทม. แต่หารือในฐานะที่พรรคก้าวไกลที่มี ส.ส.กรุงเทพฯ จำนวน 32 คน และมี ส.ก.ร่วมด้วย โดยตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องผิด เพราะเรื่องที่หารือกันไม่ใช่ความลับ เป็นการเปิดเผยข้อมูลตามปกติกับสื่อมวลชนอยู่แล้ว
 
อย่าไปกังวลมาก เรารู้บทบาทตัวเอง เรารู้ฐานะว่าเราเป็นใคร และเราก็รู้ว่าการหารือไม่ใช่เรื่องผิดเลย แล้วผมก็ไม่เคยเรียกท่านพิธา ว่าเป็นว่าที่นายกฯ เราก็รู้ตัวเองว่าท่านเป็นหัวหน้าพรรคตอนนี้” นายชัชชาติกล่าว

นายชัชชาติ กล่าวว่า ตนยินดีพูดคุยกับทุกคน ยินดีทุกพรรคไม่มีปัญหา เพราะเชื่อว่าทุกคนมี ส.ส.สามารถมีส่วนผลักดันเรื่องต่างๆ ในสภาได้ เพื่อเปลี่ยนแปลงกฎหมายบางส่วน ยิ่งประชาชนรับทราบข้อมูลก็ยิ่งมีแนวร่วมในการแก้ปัญหา กทม.มากขึ้น โดยการพบหารือกันใช้เวลาไม่นาน ไม่ได้เป็นการรบกวนข้าราชการ มาอย่างเปิดเผยไม่ได้หลบซ่อนๆ เชื่อว่ากรุงเทพฯ จะดีขึ้นได้ไม่ใช่ว่าเราทำคนเดียว ต้องมีแนวร่วม
 
นายชัชชาติ กล่าวว่า จะมีการพูดคุย 17 เรื่อง เช่นการนำพื้นที่สาธารณะมาใช้ประโยชน์ การปรับแก้ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร (พ.ร.บ.กทม.) พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รถไฟฟ้าสายสีเขียว ระบบขนส่งมวลชน ระบบสาธารณสุข ฝุ่น PM 2.5 การจำกัดรถเข้าเขตเมืองชั้นใน รวมถึงการหารือการนำเทคโนโลยีมาช่วยลดการทุจริตคอรัปชั่น เช่นการใช้ทราฟฟี่ฟองดูว์ มาช่วยแก้ปัญหาการดึงเวลาที่ประชาชนส่งเรื่องร้องเรียน
 
เมื่อถามว่า หลายคนมองว่ามีผู้ว่าฯ ชัชชาติ มีว่าที่นายกฯ ชื่อพิธา ได้กลิ่นไอประชาธิปไตย หอมหวนกลิ่นความเจริญ นายชัชชาติกล่าวว่า มันเป็นการเปลี่ยนแปลง ทุกคนตื่นตัวมากขึ้น ทุกคนอยากทำความดีให้ประเทศ เราก็พยายามทำเต็มที่
 
เมื่อถามว่า การทำงานกับรัฐบาลรักษาการเป็นอย่างไร นายชัชชาติกล่าวว่า ไม่มีปัญหาอะไร แต่รัฐบาลคงไม่ตัดสินใจเรื่องใหญ่ เช่น รถไฟฟ้าสายสีเขียว พ.ร.บ.กทม. พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ ซึ่งอาจต้องรอการตัดสินใจจากรัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ตาม กทม.พร้อมหารือและทำงานร่วมกับทุกฝ่าย ทุกพรรค เพื่อเดินหน้าไปด้วยกัน



'พิธา' สวน ส.ว.จเด็จ ไม่เคารพมติ ปชช. ต้นตอขัดแย้ง ย้ำพร้อมเป็นนายกฯ ของทุกคน
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7694830

‘พิธา’ สวน ส.ว.จเด็จ เสนอตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ไม่เคารพมติประชาชน ต้นเหตุความขัดแย้ง ย้ำพร้อมเป็นนายกฯ ของทุกคน และเป็นรัฐบาลแห่งประชาชน
 
วันที่ 1 มิ.ย. 2566 ที่สภาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายจเด็จ อินสว่าง ส.ว. เสนอให้ตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ว่า คำถามสำคัญในตอนนี้คือการที่เราจะออกจากความขัดแย้งว่า เราต้องการรัฐบาลแห่งชาติ หรือรัฐบาลแห่งประชาชน 8 พรรคที่ตั้งร่วมในขณะนี้ก็มาจากเสียงของประชาชนจำนวนมาก เกินครึ่งอย่างแน่นอน
 
นายพิธา กล่าวต่อว่า ถ้าเราเคารพในเสียงประชาชน และช่วยกันเตือนว่า ทุกครั้งที่มีการไม่เคารพมติของประชาชน และเลือกระบบที่ไม่ตรงกับเจตจำนงของพวกเขามาโดยตลอด อันนั้นคือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง ส่วนตัวเข้าใจ ส.ว.จเด็จ ที่แสดงความกังวล เพราะไม่มีใครอยากจะมีความขัดแย้งต่อไป
 
เรารักษาระบบมิใช่หรือ เรารักษามติของประชาชนไม่ใช่หรือ ถึงจะออกจากความขัดแย้งได้ เพราะหากเราทำตรงกันข้ามเมื่อไหร่ นั่นคือสิ่งที่ประวัติศาสตร์สอนเรามา 20 ปีเป็นอย่างน้อยว่า เรื่องดังกล่าวคือต้นเหตุคือความขัดแย้ง ขอยืนยันว่า ผมพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนทุกคน พร้อมที่จะเป็นรัฐบาลแห่งประชาชน ไม่ได้เป็นแค่รัฐบาลแห่งชาติเพียงอย่างเดียว

นายพิธา กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ ส.ว.จเด็จ ได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม โดยมีชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เข้ามาในเงื่อนไขรัฐบาลแห่งชาติ มองว่าความคิดเห็นดังกล่าวเป็นการเปิดทางให้ทั้งสองท่านกลับมามีอำนาจอีกหรือไม่ หากสวนมติของประชาชน ไม่ใช่แค่ชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ หรือ พล.อ.ประวิตร แต่ถ้าไม่ใช่ชื่อที่ประชาชนจำนวนมากแสดงเจตจำนง น่าจะเป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง
 
นายพิธา กล่าวต่อว่า ส่วนกรณี นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แนะนำว่า หากจะเป็นนายกฯ ที่ดี ให้ยึด พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแบบอย่าง ส่วนตัวมองว่าหากจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีควรยึดประชาชนและความต้องการของประชาชนเป็นหลัก ก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีได้ เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ตนยึดมั่นตลอดมา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่