[CR] บันทึกเรื่องราวการเดินทาง 3 วัน 2 คืนที่อ.ปะทิว จ.ชุมพร ของกลุ่มชุมปะทิวปะพร 🐟🪸

ยินดีที่ได้รู้จักผู้อ่านทุกคนนะ👋🏻 ทริปนี้เป็นทริปแรกที่ได้ไปกับเพื่อนๆ ในคณะในปีสุดท้ายของการเรียน เรามุ่งหน้าไปที่ภาคใต้ของประเทศไทย สิ่งแรกที่นึกถึงก็คงจะไม่พ้นทะเลที่สวยงาม แต่นอกจากทะเลแล้ว เรายังได้ชมผืนป่า ลำคลอง และภูเขาที่อุดมสมบูรณ์ในที่แห่งนี้ และที่แห่งนี้คือปะทิว จ.ชุมพร เรามาเริ่มเปิดบันทึกการเดินทางของพวกเราไปพร้อมๆ กันเลย~
 
ในวันที่เราต้องวางแผน Backpack trip ครั้งนี้เป็นอะไรที่ใหม่มาก เพราะต้องวางแผนก่อนการไปเที่ยวหลายส่วนมากว่าเราจะไปที่ไหน ไปทำกิจกรรมอะไร แต่ละกิจกรรมใช้เวลาแค่ไหน ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ เดินทางยังไง เพื่อน ๆ ในกลุ่มมีข้อจำกัดทางร่างกายเป็นยังไง ซึ่งการวางแผนนี้ก็เป็นผลดีทำให้เรามีจุดหมายในการเดินทางที่ชัดเจน

เราเริ่มจากให้เพื่อน ๆ ในกลุ่มเสนอกิจกรรมกันว่าใครอยากทำอะไรกันบ้าง แล้วค่อยหาสถานที่กัน ก็มีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ได้แก่ การเก็บสตอเบอร์รี่ การเก็บใบชา การไดหมึก การเที่ยวทะเลใต้ การดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตก แนวโน้มจะดูไปทางภาคเหนือหรือภาคใต้ของประเทศไทย แต่สำหรับภาคเหนือในช่วงเวลาที่เรากำลังวางแผนนั้นกำลังประสบปัญหาฝุ่น pm 2.5 อยู่ เราเลยตัดสินใจลงใต้กัน ไปยังจังหวัดที่เป็นประตูสู่ภาคใต้อย่างจังหวัดชุมพร ที่มีลักษณะภูมิประเทศฝั่งหนึ่งติดกับทะเลอ่าวไทย แล้วก็สามารถเดินทางด้วยรถสาธารณะอย่างรถไฟได้

หลังจากที่ได้จังหวัดปลายทางกันแล้ว เราก็ช่วยกันค้นหาข้อมูลโฮมสเตย์กัน ซึ่งชุมพรก็มีโฮมสเตย์ที่น่าสนใจอยู่หลายแห่งมาก จนเรามาเจอโฮมสเตย์หนึ่งที่มีกิจกรรมให้ลองทำอย่างหลากหลาย เช่น ทำผ้ามัดย้อม ทำน้ำตาลจาก ตกหมึก ดำน้ำที่เกาะ ชมหิ่งห้อย และมีสถานที่เที่ยวในบริเวณใกล้เคียงอีกเพียบ เราจึงเลือกไปโฮมสเตย์แห่งนี้ นั่นก็คือ “โฮมสเตย์บ้านไม้ชายคลอง” ซึ่งอยู่ตำบล บางสน อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร โดยคนที่เราติดต่อไปเป็นเจ้าของโฮมสเตย์และเป็นไกด์ให้แก่พวกเราคือคุณสมโชค ซึ่งเราจะเรียกกันสั้น ๆ ว่าน้าโชค เราได้ทำการจองที่พักและคุยรายละเอียดกิจกรรมตามวันที่และเวลาที่เราวางกันเอาไว้ พร้อมคุยค่าใช้จ่ายกันเสร็จสรรพ ซึ่งน้าโชคมีบทบาทสำคัญอย่างมากที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้ของพวกเรามีความหมาย

สถานีต่อไปจองตั๋วรถไฟ น้าโชคบอกให้พวกเรานั่งมาลงที่สถานีปะทิวแล้วน้าโชคจะมารับไปที่โฮมสเตย์ได้ เราจึงเข้าไปจองรถไฟผ่านช่องทางออนไลน์ (https://www.dticket.railway.co.th/) ก็ทำให้เราได้รู้ว่ารถไฟก็มีหลายแบบ ทั้งชั้น 1 2 3 แบบเร็ว ด่วน ด่วนพิเศษ ทำให้เราต้องหาข้อมูลกันเพียบว่าแต่ละแบบต่างกันยังไง พอรู้ข้อมูลแล้วก็มาเลือกรอบรถไฟ รอบรถไฟไปปะทิวก็มีหลากหลายช่วงเวลาให้ได้เลือก ขาไปเราเลือกเป็นรอบ 22.20 และขากลับรอบ 22.50 พอถึงจุดหมายจะได้เช้าพอดี

ตอนนี้เราก็มีตั๋วรถไฟ ที่พักและไกด์ท้องถิ่น ทั้งยังมีแผนการกิจกรรมอย่างละเอียด
… ใช่ครับไม่ได้มีอะไรเป็นไปตามที่เราคิดไว้ทุกอย่าง5555555 การด้นสดและไหลไปเรื่อยจึงเกิดขึ้น 
 
พร้อมแล้วก็เชิญรับชมการเดินทางของพวกเราได้เลยครับ~~
 
🚂 Day 0 (19/4/2023) วันออกเดินทาง

จุดเริ่มต้นและจุดนัดพบ
เรานัดกันที่ “สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์” เดิมจะชื่อสถานีกลางบางซื่อ เราเลือกเดินทางกันด้วยรถโดยสารสาธารณะอย่างรถไฟแบบนั่ง ชั้น 2 ปรับอากาศ ซึ่งการเดินทางโดยรถไฟผลิตคาร์บอนน้อยกว่ารถยนต์หรือการเดินทางทางอากาศ และเนื่องจากรถไฟเป็นการคมนาคมสาธารณะ เชื้อเพลิงจึงใช้ร่วมกันระหว่างผู้โดยสารจำนวนมาก ถ้าเทียบกับการเดินทางเป็นรายบุคคล ทำให้เป็นมิตรกับธรรมชาติและยังทำให้เราได้เห็นมุมมองการเดินทางใหม่ ๆ เพียงเรามองไปข้างนอกหน้าต่าง มองภาพตรงหน้าและอยู่กับปัจจุบัน ความหมายของการเดินทางไม่ได้เพียงอยู่ที่จุดหมายปลายทาง แต่เรื่องราวระหว่างทางก็สำคัญ โดยสมาชิกที่ออกเดินทางไปด้วยกันในครั้งนี้ จะมีลี่และท๊อปที่เป็นสายลุยพร้อมบวกทุกสถานการณ์ เป๊กผู้เป็นตากล้องและผู้กำกับพร้อมทำคลิป ขาดเขาไปไม่มีงานส่ง และอีกหนึ่งสตรีที่ทั้งวางแผน จัดหาสถานที่และกิจกรรม พร้อมบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่เจอคือนุช พร้อมกับเพื่อนของเขาอีก 2 คน Best Friend ไม่ได้จะบอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะครับ แต่พวกเขาอีก 2 คนชื่อเบสท์และเฟรนด์ ซึ่งวันนี้เราหลาย ๆ คนมีเรียนทั้งวัน แต่เราเดินทางกันช่วงกลางคืนจึงไม่มีปัญหา

เวลา 22.20 น. 
ทุกคนนั่งประจำที่ รถไฟก็ได้ออกจากชานชาลา ซึ่งออกตรงเวลามากพอถึง 22.20 แล้วออกเลย บรรยากาศภายในก็แวดล้อมไปด้วยผู้โดยสารคนอื่น มีทั้งเด็ก คนชรา ผู้ใหญ่ และวัยรุ่นอย่างพวกเรา เขามีบริการเครื่องดื่มและอาหารด้วยนะ พี่พนักงานเข็นรถออกมาเหมือนบนเครื่องบินเลย ในช่วงกลางคืนแบบนี้ก็จะมีให้เลือกน้ำเปล่าหรือน้ำส้มพร้อมขนมปังรองท้อง 

ด้วยความที่ขึ้นรถไฟครั้งแรก และรถไฟขบวนที่เรานั่งปลายทางไปถึงนครศรีธรรมราช เราก็เกิดคำถามว่าเราจะรู้ได้ไงว่าถึงสถานีปะทิวแล้ว เพราะเราก็จะคุ้นเคยกับ BTS หรือ MRT ที่จะมีเสียงบอกสถานีปลายทาง แต่ว่ารถไฟนี้ไม่มี ก็ทำให้เราได้รู้ว่ามีเว็บสำหรับ tracking ขบวนรถไฟที่เรานั่งอยู่ว่าถึงสถานีไหน จะถึงสถานีปลายทางกี่โมง (https://ttsview.railway.co.th/view_2023.php) ซึ่งเราก็คิดว่าจะถึงตรงเวลาตามที่ตั๋วระบุไว้ แต่เพื่อความมั่นใจเมื่อพี่พนักงานเดินกลับมาอีกรอบเราก็ถามพี่ซะเลย พี่เขาก็บอกว่าโดยปกติถ้าใกล้ถึงแล้วจะมีเดินมาบอก เราก็มีความมั่นใจขึ้นแล้วว่าเราจะไม่ลงกันผิดสถานีกันตั้งแต่เริ่มทริป

เมื่อถึงเวลาดึก ๆ เขาก็จะปิดไฟให้ได้พักผ่อนกัน และมีผ้าห่มให้บริการทุกที่นั่ง แต่สำหรับคนขี้หนาวก็ยังไม่พออยู่ดีเพราะแอร์เย็นมาก อย่าลืมพกเสื้อกันหนาวไปเผื่อนะครับ พอเช้าก็มีบริการอาหารเช้าให้ซึ่งเป็นอาหารสำเร็จรูปแต่เราต้องลงกันแล้วเขาจึงใส่ถุงให้อย่างดี
 
🌤 Day 1 (20/4/2023) เริ่มต้นการเดินทาง

เวลา 06:30 น. 
รถไฟถึงสถานีปะทิวที่หมาย พวกเราลงจากรถไฟมานั่งพักในสถานีและทานอาหารเช้าที่ได้จากบนรถไฟ ในตอนเช้าแบบนี้ที่สถานีเราพบเจอกับความเงียบ ไร้ผู้คน และบรรยากาศโดยรอบที่ไม่คุ้นตาพร้อมที่จะให้เราสำรวจกัน ข้อมูลจากทีมสำรวจรายงานว่าฝั่งสถานีเหมือนจะเป็นบ้านที่ผู้คนอาศัยกัน ส่วนฝั่งตรงข้ามน่าจะมีตลาด เพราะเห็นพระสงฆ์เดินข้ามไป เราก็เลยย้ายที่ปักหลักไปที่ตลาดแทน พร้อมกับโทรหาน้าโชคให้มารับ น้าโชคก็บอกว่ามีตลาดอยู่ตรงข้ามสถานีจริงให้ไปรอที่นั่นได้ เราก็เลยข้ามทางรถไฟมาอีกฝั่งกัน แต่พอข้ามมาก็ยังรู้สึกเงียบแถมมองไปไกล ๆ ก็เห็นเป็นทางแยกก็เริ่มไม่มั่นใจกัน จังหวะนั้นก็มีคุณลุงออกจากบ้านมาพอดีเราเลยเข้าไปถามได้ความว่า เดินตรงไปแล้วเลี้ยวขวาเดินไปเรื่อย ๆ ก็ถึงเลย นับเป็นการสร้างความมั่นใจด้วย GPS โดยผู้เชี่ยวชาญในชุมชน
 
เราเดินตามทางกันมาจนเริ่มได้ยินเสียงของผู้คน ทำให้เรารู้ว่าใกล้ถึงตลาดแล้ว ระหว่างนั้นก็มีคุณป้าแม่ค้าทักทายพวกเราว่า “มาด้วยสปรินเตอร์หรอลูก” พวกเราก็หันหน้ามามองกันโดยไม่ได้นัด งงกันอยู่พักนึงว่าคืออะไรหว่า คุณป้าก็บอกว่า สปรินเตอร์ก็คือรถไฟ เหมือนคนที่นี่จะเรียกรถไฟว่าสปรินเตอร์ เราก็ได้คำศัพท์ใหม่เลยหลังจากเดินได้ไม่นาน

พวกเรามานั่งรอน้าโชคกันในตลาด ท่ามกลางเสียงพูดคุยระหว่างแม่ค้าแต่ละร้านในตลาด ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้ยินภาษาใต้มากมายขนาดนี้ทั้งเร็ว รวบรัด ฟังไม่ทันกันเลยทีเดียว แต่ก็เป็นกลิ่นอายของภาคใต้ให้เราได้สัมผัส แถมคนแถวนั้นก็เป็นกันเองมาก ทักทายพูดคุยได้เหมือนเราเป็นลูกหลาน ผมก็ได้สั่งโอวันตินร้อนนั่งกินที่ตลาด ป้าเขาก็ถามว่าหวานปกติใช่ไหมลูก “ครับ” ผมว่าไปอย่างนั้น ปกติผมเป็นคนกินหวานอยู่แล้ว แต่พอลิ้นได้สัมผัสกับรสชาติของโอวันตินยามเช้า ขาของผมก็สั่นกลัว เข้าใจแล้วว่าหวานตัดขาเป็นอย่างไร ยังดีมีน้ำชาให้มาด้วย (คนที่นี่เขากินหวานกันสินะ!) นี่เป็นสิ่งที่ผมได้รู้หลังจากดื่มหมดแก้ว แต่ก็ไม่เป็นไรผู้คนที่นี่ทำให้ First impression ดีมากด้วยความเป็นกันเอง

ทางด้านทีมสำรวจตลาดก็สำรวจโดยรอบเพื่อที่เราจะมาถ่ายทำกันวันที่ 2 ตามแพลนที่เราวางกันไว้ เราก็ได้เห็นวิถีชีวิตของคนในชุมชนในการจับจ่ายใช้สอยอาหารการกิน การตักบาตร การสัญจรด้วยการเดินหรือขับมอเตอร์ไซค์มา ถ้าเป็นรถยนต์ก็จะไปจอดที่โซนอื่นไม่มีจอดขวางถนน

สักพักนึงน้าโชคก็มาถึงพร้อมจะพาพวกเราไปยังโฮมสเตย์เพื่อเก็บสัมภาระ ที่เราต้องให้น้าโชคมารับเพราะในชุมชนไม่มีรถสาธารณะเลยต้องใช้รถส่วนตัวในการเดินทาง ส่วนใหญ่รถสาธารณะจะอยู่ในตัวเมืองชุมพร ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรถตู้มากกว่า
 
ระหว่างนั่งรถไปโฮมสเตย์ เรามองสองข้างทางออกไป พบความแตกต่างจากชีวิตประจำวันของเราที่สองข้างทางเต็มไปด้วยตึกสูง การจราจรบนท้องถนนก็ติดแล้วติดอีก แต่ที่ปะทิวสองข้างทางเต็มไปด้วยสวนมะพร้าวและสวนปาล์มน้ำมัน น้าโชคเล่าว่าแต่ก่อนส่วนใหญ่เป็นสวนมะพร้าว แต่พอเกิดพายุเกย์ ปี 2532 ต้นมะพร้าวก็ล้มเป็นจำนวนมาก ทำให้คนหันมาปลูกปาล์มน้ำมันแทน เพราะสามารถเก็บผลผลิตได้เร็วกว่า ใช้เวลาประมาณ 3 ปี แต่มะพร้าวใช้เวลา 6-7 ปี

พอเราพูดคุยกับน้าโชคไปสักพัก ก็เกิด Event เกิดขึ้น น้าโชคบอกว่าวันนี้มีไปทำบ้านปลานะ อยากไปไหม? ซึ่งพวกเราก็ตอบตกลงทันที โดยไม่ต้องคิดเยอะ เพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ มาถึงที่ทั้งที เราจึงตัดสินใจคว้ามันไว้ ประสบการณ์ที่จะได้ทำบ้านปลาคงไม่ได้หาง่าย ๆ จากเด็กเมืองกรุงอย่างพวกเรา 

พอถึงที่พักเก็บของเรียบร้อยก็นั่งรถออกไปต่อทันที (ซึ่งตามแผนแล้วเราต้องนอนพักกันก่อน แล้วค่อยออกตอนบ่ายอีกที แต่ให้เรื่องการนอนเป็นเรื่องของตัวเราที่กรุงเทพ!) 

น้าโชคเล่าว่าช่วงนี้เป็น “ฤดูปิดอ่าว” พอดี ซึ่งจะเป็นช่วงที่สัตว์น้ำในฝั่งทะเลอ่าวไทยวางไข่ โดยเฉพาะปลาทู ซึ่งเป็นทรัพยากรสัตว์น้ำที่มีคุณค่า เขาจะห้ามชาวประมงใช้เครื่องมือทำการประมงบางชนิด ทางกรมประมงจึงให้มีการปิดอ่าวเป็นเวลา 3 เดือน (15 ก.พ. - 15 พ.ค.)  ซึ่งการทำบ้านปลาในครั้งนี้จะทำปีละ 2-3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 20 หลัง บ้านหลังนึงอยู่ 4-5 เดือน ผลัด ๆ กันลงเป็นเดือนไป การทำแบบนี้จะทำให้สิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศใต้น้ำฟื้นฟูพอดี ทำให้เกิดการทำประมงอย่างยั่งยืนและยังมีความสวยงามของชีวิตใต้ท้องทะเลยังคงอยู่ทำให้ส่งเสริมการท่องเที่ยวไปด้วย และถือว่าพวกเราดวงดีเพราะวันนี้เขามีทำบ้านปลากันพอดีจึงจะพาพวกเราไปร่วมวงด้วย ส่วนงบที่จะทำบ้านปลานี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทพลังงานอย่าง ปตท. พวกเราสามารถเข้าไปช่วยด้วยหยาดเหงื่อและแรงกายได้เลย
 
ระหว่างทางไปทำบ้านปลาน้าโชคก็ได้พาแวะชมบรรยากาศของหาดทุ่งซางที่เป็นทางผ่าน สวยมาก หาดทรายสีขาวละเอียด กับน้ำทะเลใส พร้อมกับโขดหินผาสูง บรรยากาศโดยรอบก็เงียบสงบ ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน
ชื่อสินค้า:   โฮมสเตย์บ้านไม้ชายคลอง บางสน อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่