หนีห่าวคับบ เราชื่อปลั๊กน้าา อายุ 18 กำลังจะได้ไปเป็นเฟรชชี่แล้ว แต่ว่าเราลังเลว่าจะเรียนต่อที่ไทยหรือจีนดี เราก็เลยอยากลองไปหาประสบการณ์ใหม่ๆดู เลยไปคุยกับที่บ้านว่า ขอลองไปเรียนที่จีนดูได้มั้ย อยากรู้ว่าจะไหวรึป่าว เพราะเราก็กังวลอยู่เหมือนกลัวว่าจะเรียนไม่ไหว เลยอยากไปทดลองอยู่ ไปทดลองเรียนก่อน จะได้ตัดสินใจได้ว่า จะเรียนมหาวิทยาลัยที่ไทยหรือจีนดี พอที่บ้านอนุมัติปุบ เราก็เลยไปหาข้อมูลดู
เราตั้งเป้าว่าเราจะไปประมาณ 1-2 เดือน ช่วงปิดเทอมใหญ่ ประมาณ เมษา-พฤษภา ตอนแรกที่เราหาข้อมูลไว้ เราอยากไปที่ต้าเหลียน แต่ว่าพี่เอเจนท์บอกของต้าเหลียนเต็มแล้ว (เราเจอกันช้าไปปป TT) แต่ไม่เป็นไร ฮาร์บินก็ฮาร์บิน ลืมบอกเลยว่าเราชวนเพื่อนไปด้วยอีกคนนึง เราก็เลยสมัครไปพร้อมกันเลย เพราะพี่เค้าบอกว่า 2 คนสุดท้ายแล้วว (เกือบไม่ทันแล้วไงง) และมหาลัยที่เราจะได้ไปเรียนก็คืออออ 哈尔滨师范大学 (Harbin Normal University นั่นเอง) พี่เอเจนท์แนะนำว่าเมืองนี้ข้อดีคือคนจีนพูดภาษาจีนกลางสำเนียงดี ประกอบกับเราไปช่วงเดือน เมษา อากาศกำลังดี กลางวันประมาณ 10 องศา แต่พอกลางคืน หิมะตกจ้าาา ไม่น่าเชื่อประเทศไทยโคตรร้อน ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นหิมะกับเค้าสักครั้งนึง ขอเอารูปเมืองมาแปะให้เพื่อนๆดูก่อนนิดนึง สวยมากกก ไม่เหมือนอยู่จีนเลยแถมอากาศดีมากกกกกกกกก ช่วงเดือนเมษา
ขั้นตอนการสมัครเรียน เดี๋ยวเราสรุปให้ตอนท้ายน้าาา บอกเลยว่ารวดเร็วทันใจ แถมง่ายม๊ากก
เราขอข้ามมาวันเดินทางเลยละกัน (โอ้ยยยย ตื่นเต้นไม่ไหววว) พอถึงวันเดินทาง พี่เอเจนท์ก็มาส่งและเอาเอกสารมาส่งให้ที่สนามบินเลย ทั้งพาสปอร์ตและเอกสารที่ต้องใช้ในการผ่าน ตม.จีน (แอบลงรูปพี่แนนหน่อย ขอบคุณที่มาส่งน้าาา ขออนุญาตพี่แนนแล้ว ไม่ดราม่าใส่เราน้าาา TT)

ไฟล์ทนี้ของเราเดินทางประมาณ 26 คน แล้วก็พี่สตาฟเดินทางไปด้วย 1 คน ชื่อพี่เอ๋ รวมเป็น 27 คน พอเช็กอินเสร็จพี่ๆเค้าก็อธิบายรายละเอียดต่างๆให้ฟัง นัดแนะเวลาเจอกัน เสร็จเรียบร้อยก็ Let's go......

หลับตาแปบเดียว (อันที่จริง ก็ไม่แปบหรอก นานอยู่ พอเวลาต่อเครื่องนานมากกก ข้ามวันเลยเพราะตอนที่เราไปจีนเพิ่งเปิดประเทศ ไฟลท์บินมีน้อยมาก TT) แต่รู้ตัวอีกทีก็ถึงฮาร์บินแล้ววววว



เสร็จจากสนามบินก็มาขึ้นรถบัสของทางบริษัท เรามาถึงหอตอนช่วงบ่ายๆ ก็ทยอยเก็บของเข้าห้อง ตอนที่มาถึงห้องพักคือ จะบอกว่าหอพักดีมากมันดีกว่าที่เราคิดไว้มาก ก่อนมาเราก็มีไปลองๆกดดูหอในเว็บของพี่ๆเอเจนท์ ห้องดี ตรงปกเลย ในหอก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ทีวี โต๊ะเขียนหนังสือ ที่นอน หมอน ผ้าห่ม ตู้เย็น ส่วนกลางหอก็มีครัว ฟิตเนส เครื่องซักผ้า เราคือประทับแล้วใจหนึ่ง

พอเราเก็บของเสร็จแล้ว พี่เอ๋พี่สตาฟก็นัดให้พวกเราลงไปข้างล่างแล้วก็พาเราไปซื้อของใช้ต่างๆ แนะนำร้านค้าร้านอาหาร การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย แนะนำโรงอาหาร ตึกเรียน เสร็จแล้วก็พาไปเดินตลาดกลางคืน(哈师大夜市)เป็นตลาดของกินที่ตั้งอยู่ริมถนน ยาวมากกก ของกินเพียบ (ฟิตเนสก็เอาเราไม่อยู่แล้วจุดนี้)
พอเช้าวันต่อมา พี่เอ๋ก็พาพวกเราไปจัดการเรื่องซิมโทรศัพท์ เราได้ซิมเป็นแบบรายเดือน เดือนละ 39 หยวน โทรได้ประมาณ 300 นาที ได้เน็ตอยู่ประมาณ 105Gb เหลือเฟืออยู่นะเราว่า
พอทำซิมเสร็จ ก็ไปลงทะเบียนเรียน สอบวัดระดับ เพื่อแบ่งคลาส รับตารางเรียน เข้าปฐมนิเทศนิดหน่อย เราก็จะได้บัตรนักเรียน ที่สามารถใช้ซื้อข้าวในโรงอาหารของมหาลัยได้
(หน้าตาบัตรนักเรียนของเราเองงจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก)
หลังจากลงทะเบียนเรียนเสร็จ เราก็คือ นักเรียนต่างชาติของมหาลัยนี้ (ตื่นเต้นไม่หยุดด) พี่เอ๋ก็พาพวกเราไปทานข้าวมื้อแรกของวันที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย มีอาหารให้เลือกเยอะมาก ราคาย่อมเยา และดูสะอาด
มากกก

ข้าวราดแกงของจีน เค้าจะคิดราคาแบบชั่งน้ำหนัก (แอบนึกถึงหมูกระทะชั่งกิโลบ้านเราเหมือนกันนะ ><) รสชาติอาหารที่นี่โอเคอยู่เพื่อนไม่ต้องห่วงนะ แต่เราแนะนำว่าควรพก พวกน้ำพริก น้ำปลาไปหน่อยก็ดี เผื่อคิดถึงอาหารไทย ค่าครองชีพที่นี่ไม่แพงพอๆกับไทย เรากินข้าวมื้อละประมาณ 15 หยวน น้ำดื่มขวดละ 1-2 หยวน แล้วแต่ยี่ห้อ น้ำอัดลมต่างๆ ก็เหมือนบ้านเรา ราคาไม่ต่างกัน
เช้าวันต่อมาก็เริ่มเรียนเลย ในห้องเรียนก็จะมีเพื่อนต่างชาติหลายชาติมาก ทั้งบราซิล เกาหลี ญี่ปุ่น รัสเซีย บังกลาเทศ
เราเริ่มเรียนตอนเช้า เวลาประมาณ 8:00 น. เลิกประมาณเที่ยง
สำหรับเราการเรียนภาษาที่จีน มันก็จะไม่ต่างจากเรียนภาษาจีนที่ไทยมาก เนื้อหาไม่ต่างกันเท่าไร แต่ที่ต่างคือบรรยากาศของการเรียน เพราะว่าเหล่าซือจะสอนเป็นภาษาจีนทั้งหมด แล้วก็จะให้พวกเราฝึกออกเสียงตาม ใครที่ออกเสียงไม่ถูกอาจารย์ก็ช่วยเต็มที่ เราโอเคมากๆ กับฟีลแบบนี้และเราได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่พูดจีนทุกวันเลย
อย่างที่เราบอกตอนแรกคือ เราต้องการมาแค่ทดลองเรียน อยากหาประสบการณ์ใหม่ๆ ไว้เป็นแนวทางตัดสินใจเรียนต่อ การที่เราได้มาสัมผัสตรงนี้ ได้ลองมาใช้ชีวิตในประเทศจีน ที่ต้องใช้ภาษาจีนในชีวิตประจำวัน ทำให้เราได้ฝึกใช้ภาษา ได้ลองผิดลองถูกเอง กล้าพูดมากขึ้น มั่นใจมากขึ้น เราว่า เราตัดสินใจไม่ผิดที่เราได้มาที่นี่
พอถึงวันเสาร์แรกซึ่งเป็นวันหยุดของนักเรียนต่างชาติ พี่เอ๋ก็จะพาเราไปเที่ยว วันเสาร์แรกก็ได้ไปเที่ยว ที่เที่ยวยอดฮิตของฮาร์บิน โบสถ์เซนต์โซเฟีย (สัญลักษณ์ของฮาร์บิน เพราะถ้ามาฮาร์บินและไม่ได้มาที่นี่ แสดงว่ามาไม่ถึง55555) บรรยากาศที่โบสถ์ตอนกลางวัน กับกลางคืน สวยคนละแบบเลยยยยย ที่แรกที่เราได้ไปคือโบสถ์เซนต์โซเฟีย สวยงามมาก เหมือนอยู่ยุโรปเลย
โบสถ์เซนต์โซเฟีย (กลางวัน VS กลางคืน) สวยสมคำร่ำลือออ

หลังจากนั้นเราไปต่อกันที่ถนนจงยาง ซึ่งเป็นแหล่งเดินเล่น ชอปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดของเมืองฮาร์บิน ที่นี่สวยมากทุกคนนน สองข้างถนนเต็มไปด้วยตึกสไตล์ยุโรป เราคิดว่าตัวเองฝันไปว่าเราอยู่ยุโรป แต่ถนนจงยางคือ คนเยอะมากกกก 555 เพราะเป็นวันหยุดด้วย และเราไปจีนหลังจากที่พิ่งประกาศเลิกล็อกดาวน์ คนจีนเลยออกมาเที่ยวเยอะมากก
หลังจากที่เดินตามถนนจงยางไปเรื่อยๆ เราจะไปสุดทางที่อนุสาวรีย์น้ำท่วม พี่เอ๋ก็เล่าประวัติความเป็นมาด้วย แต่ว่ามันยาว เราขอไม่เล่าละกันเนาะ 555
ที่นี่เหมาะกับการมาชมแสงสีเสียงมาก อลังการไม่ไหวเรารูปน้อยนะ เพราะไม่ชอบถ่ายเท่าไหร่ใครไปเที่ยวก็ถ่ายมารีวิวให้หน่อยเนาะ เดี๋ยวเอารูปบรรยากาศบริเวณนี้ช่วงเย็นมาให้ดูกัน แต่ละที่คือเราไปมาหลายรอบอยู่นะ เลยมีรูปหลายช่วงเวลา เพื่อนๆ ลองดูนะว่าอยากไปเที่ยวช่วงไหน
อันนี้เป็นแม่น้ำซงฮวานะ อยู่ติดกับอนุสาวรีย์น้ำท่วมเลยย ตอนพระอาทิตย์ตกคือสวยมากกก




เราลืมบอกไปว่า การเดินทางในเมืองฮาร์บินไม่ยุ่งยากเลยนะ ด้วยความที่เป็นเมืองหลวงของมณฑลเฮยหลงเจียง เลยมีทั้งรถเมล์และรถไฟฟ้าใต้ดินสะดวกสบายมาก เอาแผนที่รถไฟฟ้ามาให้ดู เผื่อใครไปเที่ยวนะ
ส่วนขากลับพี่เอ๋ก็ให้ลองกลับกันเองได้ ตามอัธยาศัย เพราะพี่เค้าบอกว่า ความสนใจของน้องๆเหมือนกัน เลยให้พวกเราได้ลองใช้ชีวิตกันเองเต็มที่ แต่ๆๆ พี่เค้าแนะนำวิธีการกลับให้พวกเราทุกคนเรียบร้อยแล้วนะ หรือว่าถ้าใครอยากกลับพร้อมพี่เอ๋ก็แค่มาเจอที่จุดนัดพบ ในเวลาที่พี่เค้าแจ้งเท่านั้น
แน่นอนว่าเรากับเพื่อนเลือกกลับกันเองจ้าาา มาถึงจุดนี้แล้วว ได้เวลาโบยบินน
เรากับเพื่อนเลือกที่นั่งรถไฟใต้ดินกลับ เพราะว่าจะได้รู้วิธีขึ้น-ลง ว่าต่างกลับบ้านเรามั้ย เราบอกเลยว่าไม่ต่าง 5555
พอถึงวันหยุดต่อๆไป พี่เอ๋ก็พาพวกเราไปมาหลายที่เลย ทั้งพิพิธภัณฑ์น้ำแข็ง ทั้งโรงเอเปร่า เฮาส์ เมืองโบราณ พิพิธภัณฑ์ 731 ไปไหว้พระที่วัดก็มี 555 ทั้งเรียน ทั้งเที่ยว เต็มที่สุดๆ



เพื่อนๆหลายคนคงสงสัยขั้นตอนการสมัครเรียน เราขอสรุปรวมไว้ตรงนี้เลยละกันน ที่เหลือลองถามพี่ๆเอเจนท์เอาน้าา แต่บอกเลยว่า สำหรับนักเรียน ม. ปลาย อย่างเราไปครั้งนึงได้ประสบการณ์เยอะมาก อย่างน้อยได้เอามาเป็นข้อมูลตัดสินใจเรียนต่อ ป.ตรีได้เลย
เราขอพูดถึงพี่ๆ เอเจนท์เลยนะ (เราเดาว่าเพื่อนๆบางคน คงเห็นจากรูปแล้วว) รอบนี้เราใช้บริการพี่ๆกู๊ดไทม์เอ็ดดูเคชั่น โดยมีพี่เอ๋เป็นคนดูแลที่จีน คือ ดูแลดีมากก อย่างที่เห็น ช่วยเหลือทุกอย่างจริงๆ โคตรประทับใจเลย
พอเราได้ข้อมูลจากพี่เค้า > ส่งเอกสารสมัคร > จ่ายเงิน > พี่เค้าจะมีกลุ่มไลน์ให้เข้า เพื่อรอแจ้งสเตปต่อไป แต่ด้วยความที่เราสมัครมาท้ายสุดก็คือ ต้องเตรียมเอกสารขอวีซ่าเลย ตอนแรกก็กังวลนะ จะขอวีซ่ายากไหม แล้วเราต้องไปทำเองหรอ แต่ไม่เลย พี่ๆ เค้าดูแลทุกอย่างเลยจริงๆ แค่จ่ายเพิ่มนิดหน่อย แต่เราแค่เตรียมเอกสารให้พี่ๆ ตามที่พี่เค้าแจ้ง แล้วก็รอไปแสดงตัวตน ถ่ายรูป สแกนลายนิ้วมือ แค่นั้นเองงง ง่ายมากก
พอทุกอย่างโอเค พี่ๆเค้าก็จะโทรมานัดวันที่เราต้องไปแสดงตัวตน แล้วก็แจ้งรายละเอียดเลยว่าเราต้องเตรียมตัวอะไรยังไงบ้าง
วันที่ต้องมาแสดงตัวตนที่ตึกธนภูมิ พี่ๆเค้าจะไปรับคิวมาให้เรา เราก็แค่รอพี่เค้าเรียกขึ้นไปที่ชั้น 5 พอถึงคิวเราขึ้นไป ก็ตกใจอยู่นะ เพราะคนแอบเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี กลับบ้านได้... แล้วก็รอวีซ่าออกก เห็นพี่เค้าบอกประมาณ 4 วันทำการ ไวอยู่นะะ
หลังจากวีซ่าออก > จองตั๋ว > บินจ้าาา ง่ายสุดๆ
สุดท้ายนี้เราหวังว่า รีวิวของเราจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่กำลังตัดสินใจเรียนต่อที่จีนนะ เราคิดว่าการลองไปเรียนสั้นๆสักช่วงก่อน ถือเป็นสิ่งที่ดีมาก อย่างน้อยเราจะได้รู้ว่าเราชอบเมืองนี้จริงๆมั้ย ถ้าต้องมาอยู่ที่นี่นานๆ เป็นปีๆ จะอยู่ได้มั้ย ส่วนตัวเราเองชอบมาก เป็นประสบการณ์ 2 เดือนที่คุ้มค่าจริงๆ
รีวิวเรียนภาษาจีนที่ประเทศจีน ฮาร์บิน Harbin
เราตั้งเป้าว่าเราจะไปประมาณ 1-2 เดือน ช่วงปิดเทอมใหญ่ ประมาณ เมษา-พฤษภา ตอนแรกที่เราหาข้อมูลไว้ เราอยากไปที่ต้าเหลียน แต่ว่าพี่เอเจนท์บอกของต้าเหลียนเต็มแล้ว (เราเจอกันช้าไปปป TT) แต่ไม่เป็นไร ฮาร์บินก็ฮาร์บิน ลืมบอกเลยว่าเราชวนเพื่อนไปด้วยอีกคนนึง เราก็เลยสมัครไปพร้อมกันเลย เพราะพี่เค้าบอกว่า 2 คนสุดท้ายแล้วว (เกือบไม่ทันแล้วไงง) และมหาลัยที่เราจะได้ไปเรียนก็คืออออ 哈尔滨师范大学 (Harbin Normal University นั่นเอง) พี่เอเจนท์แนะนำว่าเมืองนี้ข้อดีคือคนจีนพูดภาษาจีนกลางสำเนียงดี ประกอบกับเราไปช่วงเดือน เมษา อากาศกำลังดี กลางวันประมาณ 10 องศา แต่พอกลางคืน หิมะตกจ้าาา ไม่น่าเชื่อประเทศไทยโคตรร้อน ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นหิมะกับเค้าสักครั้งนึง ขอเอารูปเมืองมาแปะให้เพื่อนๆดูก่อนนิดนึง สวยมากกก ไม่เหมือนอยู่จีนเลยแถมอากาศดีมากกกกกกกกก ช่วงเดือนเมษา
ขั้นตอนการสมัครเรียน เดี๋ยวเราสรุปให้ตอนท้ายน้าาา บอกเลยว่ารวดเร็วทันใจ แถมง่ายม๊ากก
เราขอข้ามมาวันเดินทางเลยละกัน (โอ้ยยยย ตื่นเต้นไม่ไหววว) พอถึงวันเดินทาง พี่เอเจนท์ก็มาส่งและเอาเอกสารมาส่งให้ที่สนามบินเลย ทั้งพาสปอร์ตและเอกสารที่ต้องใช้ในการผ่าน ตม.จีน (แอบลงรูปพี่แนนหน่อย ขอบคุณที่มาส่งน้าาา ขออนุญาตพี่แนนแล้ว ไม่ดราม่าใส่เราน้าาา TT)
ไฟล์ทนี้ของเราเดินทางประมาณ 26 คน แล้วก็พี่สตาฟเดินทางไปด้วย 1 คน ชื่อพี่เอ๋ รวมเป็น 27 คน พอเช็กอินเสร็จพี่ๆเค้าก็อธิบายรายละเอียดต่างๆให้ฟัง นัดแนะเวลาเจอกัน เสร็จเรียบร้อยก็ Let's go......
หลับตาแปบเดียว (อันที่จริง ก็ไม่แปบหรอก นานอยู่ พอเวลาต่อเครื่องนานมากกก ข้ามวันเลยเพราะตอนที่เราไปจีนเพิ่งเปิดประเทศ ไฟลท์บินมีน้อยมาก TT) แต่รู้ตัวอีกทีก็ถึงฮาร์บินแล้ววววว
เสร็จจากสนามบินก็มาขึ้นรถบัสของทางบริษัท เรามาถึงหอตอนช่วงบ่ายๆ ก็ทยอยเก็บของเข้าห้อง ตอนที่มาถึงห้องพักคือ จะบอกว่าหอพักดีมากมันดีกว่าที่เราคิดไว้มาก ก่อนมาเราก็มีไปลองๆกดดูหอในเว็บของพี่ๆเอเจนท์ ห้องดี ตรงปกเลย ในหอก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ทีวี โต๊ะเขียนหนังสือ ที่นอน หมอน ผ้าห่ม ตู้เย็น ส่วนกลางหอก็มีครัว ฟิตเนส เครื่องซักผ้า เราคือประทับแล้วใจหนึ่ง
พอเราเก็บของเสร็จแล้ว พี่เอ๋พี่สตาฟก็นัดให้พวกเราลงไปข้างล่างแล้วก็พาเราไปซื้อของใช้ต่างๆ แนะนำร้านค้าร้านอาหาร การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย แนะนำโรงอาหาร ตึกเรียน เสร็จแล้วก็พาไปเดินตลาดกลางคืน(哈师大夜市)เป็นตลาดของกินที่ตั้งอยู่ริมถนน ยาวมากกก ของกินเพียบ (ฟิตเนสก็เอาเราไม่อยู่แล้วจุดนี้)
พอเช้าวันต่อมา พี่เอ๋ก็พาพวกเราไปจัดการเรื่องซิมโทรศัพท์ เราได้ซิมเป็นแบบรายเดือน เดือนละ 39 หยวน โทรได้ประมาณ 300 นาที ได้เน็ตอยู่ประมาณ 105Gb เหลือเฟืออยู่นะเราว่า
พอทำซิมเสร็จ ก็ไปลงทะเบียนเรียน สอบวัดระดับ เพื่อแบ่งคลาส รับตารางเรียน เข้าปฐมนิเทศนิดหน่อย เราก็จะได้บัตรนักเรียน ที่สามารถใช้ซื้อข้าวในโรงอาหารของมหาลัยได้
(หน้าตาบัตรนักเรียนของเราเองงจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก)
หลังจากลงทะเบียนเรียนเสร็จ เราก็คือ นักเรียนต่างชาติของมหาลัยนี้ (ตื่นเต้นไม่หยุดด) พี่เอ๋ก็พาพวกเราไปทานข้าวมื้อแรกของวันที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัย มีอาหารให้เลือกเยอะมาก ราคาย่อมเยา และดูสะอาด
มากกก
ข้าวราดแกงของจีน เค้าจะคิดราคาแบบชั่งน้ำหนัก (แอบนึกถึงหมูกระทะชั่งกิโลบ้านเราเหมือนกันนะ ><) รสชาติอาหารที่นี่โอเคอยู่เพื่อนไม่ต้องห่วงนะ แต่เราแนะนำว่าควรพก พวกน้ำพริก น้ำปลาไปหน่อยก็ดี เผื่อคิดถึงอาหารไทย ค่าครองชีพที่นี่ไม่แพงพอๆกับไทย เรากินข้าวมื้อละประมาณ 15 หยวน น้ำดื่มขวดละ 1-2 หยวน แล้วแต่ยี่ห้อ น้ำอัดลมต่างๆ ก็เหมือนบ้านเรา ราคาไม่ต่างกัน
เช้าวันต่อมาก็เริ่มเรียนเลย ในห้องเรียนก็จะมีเพื่อนต่างชาติหลายชาติมาก ทั้งบราซิล เกาหลี ญี่ปุ่น รัสเซีย บังกลาเทศ
เราเริ่มเรียนตอนเช้า เวลาประมาณ 8:00 น. เลิกประมาณเที่ยง
สำหรับเราการเรียนภาษาที่จีน มันก็จะไม่ต่างจากเรียนภาษาจีนที่ไทยมาก เนื้อหาไม่ต่างกันเท่าไร แต่ที่ต่างคือบรรยากาศของการเรียน เพราะว่าเหล่าซือจะสอนเป็นภาษาจีนทั้งหมด แล้วก็จะให้พวกเราฝึกออกเสียงตาม ใครที่ออกเสียงไม่ถูกอาจารย์ก็ช่วยเต็มที่ เราโอเคมากๆ กับฟีลแบบนี้และเราได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่พูดจีนทุกวันเลย
อย่างที่เราบอกตอนแรกคือ เราต้องการมาแค่ทดลองเรียน อยากหาประสบการณ์ใหม่ๆ ไว้เป็นแนวทางตัดสินใจเรียนต่อ การที่เราได้มาสัมผัสตรงนี้ ได้ลองมาใช้ชีวิตในประเทศจีน ที่ต้องใช้ภาษาจีนในชีวิตประจำวัน ทำให้เราได้ฝึกใช้ภาษา ได้ลองผิดลองถูกเอง กล้าพูดมากขึ้น มั่นใจมากขึ้น เราว่า เราตัดสินใจไม่ผิดที่เราได้มาที่นี่
พอถึงวันเสาร์แรกซึ่งเป็นวันหยุดของนักเรียนต่างชาติ พี่เอ๋ก็จะพาเราไปเที่ยว วันเสาร์แรกก็ได้ไปเที่ยว ที่เที่ยวยอดฮิตของฮาร์บิน โบสถ์เซนต์โซเฟีย (สัญลักษณ์ของฮาร์บิน เพราะถ้ามาฮาร์บินและไม่ได้มาที่นี่ แสดงว่ามาไม่ถึง55555) บรรยากาศที่โบสถ์ตอนกลางวัน กับกลางคืน สวยคนละแบบเลยยยยย ที่แรกที่เราได้ไปคือโบสถ์เซนต์โซเฟีย สวยงามมาก เหมือนอยู่ยุโรปเลย
โบสถ์เซนต์โซเฟีย (กลางวัน VS กลางคืน) สวยสมคำร่ำลือออ
หลังจากนั้นเราไปต่อกันที่ถนนจงยาง ซึ่งเป็นแหล่งเดินเล่น ชอปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดของเมืองฮาร์บิน ที่นี่สวยมากทุกคนนน สองข้างถนนเต็มไปด้วยตึกสไตล์ยุโรป เราคิดว่าตัวเองฝันไปว่าเราอยู่ยุโรป แต่ถนนจงยางคือ คนเยอะมากกกก 555 เพราะเป็นวันหยุดด้วย และเราไปจีนหลังจากที่พิ่งประกาศเลิกล็อกดาวน์ คนจีนเลยออกมาเที่ยวเยอะมากก
หลังจากที่เดินตามถนนจงยางไปเรื่อยๆ เราจะไปสุดทางที่อนุสาวรีย์น้ำท่วม พี่เอ๋ก็เล่าประวัติความเป็นมาด้วย แต่ว่ามันยาว เราขอไม่เล่าละกันเนาะ 555
ที่นี่เหมาะกับการมาชมแสงสีเสียงมาก อลังการไม่ไหวเรารูปน้อยนะ เพราะไม่ชอบถ่ายเท่าไหร่ใครไปเที่ยวก็ถ่ายมารีวิวให้หน่อยเนาะ เดี๋ยวเอารูปบรรยากาศบริเวณนี้ช่วงเย็นมาให้ดูกัน แต่ละที่คือเราไปมาหลายรอบอยู่นะ เลยมีรูปหลายช่วงเวลา เพื่อนๆ ลองดูนะว่าอยากไปเที่ยวช่วงไหน
อันนี้เป็นแม่น้ำซงฮวานะ อยู่ติดกับอนุสาวรีย์น้ำท่วมเลยย ตอนพระอาทิตย์ตกคือสวยมากกก
เราลืมบอกไปว่า การเดินทางในเมืองฮาร์บินไม่ยุ่งยากเลยนะ ด้วยความที่เป็นเมืองหลวงของมณฑลเฮยหลงเจียง เลยมีทั้งรถเมล์และรถไฟฟ้าใต้ดินสะดวกสบายมาก เอาแผนที่รถไฟฟ้ามาให้ดู เผื่อใครไปเที่ยวนะ
ส่วนขากลับพี่เอ๋ก็ให้ลองกลับกันเองได้ ตามอัธยาศัย เพราะพี่เค้าบอกว่า ความสนใจของน้องๆเหมือนกัน เลยให้พวกเราได้ลองใช้ชีวิตกันเองเต็มที่ แต่ๆๆ พี่เค้าแนะนำวิธีการกลับให้พวกเราทุกคนเรียบร้อยแล้วนะ หรือว่าถ้าใครอยากกลับพร้อมพี่เอ๋ก็แค่มาเจอที่จุดนัดพบ ในเวลาที่พี่เค้าแจ้งเท่านั้น
แน่นอนว่าเรากับเพื่อนเลือกกลับกันเองจ้าาา มาถึงจุดนี้แล้วว ได้เวลาโบยบินน
เรากับเพื่อนเลือกที่นั่งรถไฟใต้ดินกลับ เพราะว่าจะได้รู้วิธีขึ้น-ลง ว่าต่างกลับบ้านเรามั้ย เราบอกเลยว่าไม่ต่าง 5555
พอถึงวันหยุดต่อๆไป พี่เอ๋ก็พาพวกเราไปมาหลายที่เลย ทั้งพิพิธภัณฑ์น้ำแข็ง ทั้งโรงเอเปร่า เฮาส์ เมืองโบราณ พิพิธภัณฑ์ 731 ไปไหว้พระที่วัดก็มี 555 ทั้งเรียน ทั้งเที่ยว เต็มที่สุดๆ
เพื่อนๆหลายคนคงสงสัยขั้นตอนการสมัครเรียน เราขอสรุปรวมไว้ตรงนี้เลยละกันน ที่เหลือลองถามพี่ๆเอเจนท์เอาน้าา แต่บอกเลยว่า สำหรับนักเรียน ม. ปลาย อย่างเราไปครั้งนึงได้ประสบการณ์เยอะมาก อย่างน้อยได้เอามาเป็นข้อมูลตัดสินใจเรียนต่อ ป.ตรีได้เลย
เราขอพูดถึงพี่ๆ เอเจนท์เลยนะ (เราเดาว่าเพื่อนๆบางคน คงเห็นจากรูปแล้วว) รอบนี้เราใช้บริการพี่ๆกู๊ดไทม์เอ็ดดูเคชั่น โดยมีพี่เอ๋เป็นคนดูแลที่จีน คือ ดูแลดีมากก อย่างที่เห็น ช่วยเหลือทุกอย่างจริงๆ โคตรประทับใจเลย
พอเราได้ข้อมูลจากพี่เค้า > ส่งเอกสารสมัคร > จ่ายเงิน > พี่เค้าจะมีกลุ่มไลน์ให้เข้า เพื่อรอแจ้งสเตปต่อไป แต่ด้วยความที่เราสมัครมาท้ายสุดก็คือ ต้องเตรียมเอกสารขอวีซ่าเลย ตอนแรกก็กังวลนะ จะขอวีซ่ายากไหม แล้วเราต้องไปทำเองหรอ แต่ไม่เลย พี่ๆ เค้าดูแลทุกอย่างเลยจริงๆ แค่จ่ายเพิ่มนิดหน่อย แต่เราแค่เตรียมเอกสารให้พี่ๆ ตามที่พี่เค้าแจ้ง แล้วก็รอไปแสดงตัวตน ถ่ายรูป สแกนลายนิ้วมือ แค่นั้นเองงง ง่ายมากก
พอทุกอย่างโอเค พี่ๆเค้าก็จะโทรมานัดวันที่เราต้องไปแสดงตัวตน แล้วก็แจ้งรายละเอียดเลยว่าเราต้องเตรียมตัวอะไรยังไงบ้าง
วันที่ต้องมาแสดงตัวตนที่ตึกธนภูมิ พี่ๆเค้าจะไปรับคิวมาให้เรา เราก็แค่รอพี่เค้าเรียกขึ้นไปที่ชั้น 5 พอถึงคิวเราขึ้นไป ก็ตกใจอยู่นะ เพราะคนแอบเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี กลับบ้านได้... แล้วก็รอวีซ่าออกก เห็นพี่เค้าบอกประมาณ 4 วันทำการ ไวอยู่นะะ
หลังจากวีซ่าออก > จองตั๋ว > บินจ้าาา ง่ายสุดๆ
สุดท้ายนี้เราหวังว่า รีวิวของเราจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่กำลังตัดสินใจเรียนต่อที่จีนนะ เราคิดว่าการลองไปเรียนสั้นๆสักช่วงก่อน ถือเป็นสิ่งที่ดีมาก อย่างน้อยเราจะได้รู้ว่าเราชอบเมืองนี้จริงๆมั้ย ถ้าต้องมาอยู่ที่นี่นานๆ เป็นปีๆ จะอยู่ได้มั้ย ส่วนตัวเราเองชอบมาก เป็นประสบการณ์ 2 เดือนที่คุ้มค่าจริงๆ