เมื่อโควิดเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิต สายเที่ยวก็นั่งเหงาหงอยไปตามๆ กันสิคะ

พอสถานการณ์เริ่มดีขึ้น มีหลายประเทศเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยว ผู้คนเริ่มกลับมาเดินทาง
ส่วนตัวเรายังติดแหง่กอยู่ที่เดิม เพราะประเทศที่อยากไปยังไม่เวลคัมนักท่องเที่ยว
และแน่นอนว่าประเทศนั้นคือญี่ปุ่นนี่แหละค่ะ
ช่วงที่ญี่ปุ่นเริ่มเปิดรับกรุ๊ปทัวร์ก่อน เราก็ยังไม่ได้ไปเพราะความไม่สะดวกหลายๆ อย่าง
จนกระทั่งในที่สุดญี่ปุ่นก็เปิดประเทศ รับนักท่องเที่ยวแบบจริงๆ จังๆ เย้ๆๆ
แต่...ปัญหาต่อมาคือหาตั๋วเครื่องบิน แม่เจ้า! จะแพงไปไหน ราคาแบบโหดๆ
สุดท้ายเราก็ทำการจองไปกับ Philippine Airlines ซึ่ง ณ ตอนนั้นจัดได้ว่าถูกสุดแล้วในบรรดาตั๋วไปญี่ปุ่น
แต่ที่บอกว่าถูกสุดนี่ ตอนจ่ายก็คือจุกๆ ไปเลยจ้า
เผชิญกับความไม่แน่ไม่นอนของพี่ปินส์ให้ใจท้ออยู่บ้าง
แถมช่วงก่อนบินชีวิตส่วนตัวก็เจอปัญหา จนแทบจะนอนเอาเท้าก่ายหน้าผาก อยากเททริปให้รู้แล้วรู้รอดไป
แต่ในท้ายที่สุด เราก็ฝ่าฟันทุกปัญหา 108 จนได้เดินทางแหละนะ
การกลับไปญี่ปุ่นในรอบ 3 ปี จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง มาร่วมติดตามไปด้วยกันนะคะ
ภาพรวมของทริปนี้
-เราเลือกบินลงนาโกย่า
-เที่ยวแถบนี้ก่อน โดยใช้พาส Takayama Hokuriku Pass
-หลังจากนั้นมูฟไปฝั่งคันโตโดยรถบัส เส้นทางนาโกย่า-โตเกียว
-เที่ยวโตเกียวและเมืองรอบๆ ใช้พาส Tokyo Wild Pass
-จบที่บินกลับไทยทางสนามบินนาริตะ
-ขอแยกเป็นสองรีวิวเพื่อความเข้าใจง่าย โซนทาคายาม่า - โซนโตเกียว
-โดยในกระทู้นี้จะขอเล่าถึงการเดินทางโซนทาคายาม่าก่อนค่ะ
..........
Day 1 Nagoya
🚩 Philippine Airlines (Bangkok - Manila - Nagoya)
วันเดินทางเราเผื่อเวลาถึงสนามบินก่อน 3 ชม แถวเช็คอินค่อนข้างยาว
กว่าจะเช็คอินโหลดกระเป๋าเสร็จ ผ่านขั้นตอนต่างๆ เข้าไปด้านใน
นั่งพักพอให้หายเหนื่อย ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว
แนะนำเช็คอินออนไลน์แล้วเข้าแถว Bag Drop จะเร็วกว่าค่ะ
มีเวลาเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินมะนิลา 3 ชม. ส่วนตัวคิดว่าเป็นเวลาที่กำลังดี
ไม่ลุ้นมากว่าจะต่อเครื่องทันไหม แต่ก็ไม่ได้นั่งรอนานจนเบื่อ
ขั้นตอนการเปลี่ยนเครื่องก็ง่ายๆ หลังจากลงเครื่องแล้วเดินตามป้าย Transfer
สแกนสัมภาระต่างๆ -> ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 3 -> เข้าสู่พื้นที่นั่งรอหน้าเกท
มีคนมาเปลี่ยนเครื่องพอสมควร ไม่ต้องกลัวหลงเลยค่ะ สนามบินก็เล็กๆ ใช้เวลาไม่นาน
กทม.-มะนิลา / มะนิลา-นาโกย่า เราได้เครื่องบินลำใหม่มีหน้าจอทั้งสองไฟล์ท
ใช้ Wifi บนเครื่องได้ อาหารอร่อยถูกปากดี ที่นั่งเป็นแบบ 3-3 แต่นั่งสบาย ไม่อึดอัดนะ
ถึงแม้จะกังวลใจจนจิตตกกับพี่ปินส์ ด้วยข่าวคราวในแง่ลบที่มีมาบั่นทอนจิตใจเป็นระยะๆ
แต่โดยส่วนตัวเราก็ยังไม่เจอปัญหาอะไรที่น่าตกใจนะคะ
ทุกอย่างค่อนข้างราบรื่นเลยทีเดียว เรียกได้ว่าน่าจะใช้แต้มบุญไปเยอะอยู่ 555
🚩 Misokatsu Yabaton - Chubu Centrair International Airport 4F
หนึ่งในอาหารขึ้นชื่อของนาโกย่า นอกจากข้าวหน้าปลาไหล ก็คือมิโสะคัตสึหรือหมูทอดราดซอสมิโสะนี่แหละ
หมูทอดกรอบๆ ซอสมิโสะหอมๆ อาจจะแอบติดเค็มนิดนึง
ซึ่งถือว่าเป็นรสชาติมาตรฐานของญี่ปุ่นแหละค่ะ เพราะติดเค็มกันไปหมดทุกอย่าง ฮาาา
จริงๆ เค้ามีเมนูแนะนำ เป็นเซ็ตหมูทอดสองชิ้น แต่ที่เราสั่งมาเป็นเซ็ตมินิ หมูทอดโปะลงบนข้าวสวยญี่ปุ่น
มาพร้อมซุปมิโสะ ผักดอง และกะหล่ำปลีหั่นฝอย ส่วนของเพื่อนสั่งเป็นข้าวแกงกะหรี่หมูทอด
⏰ เปิด 10.00 - 20.00 น
🚩 MeitetsuTrain Chubu Centrair International Airport-Nagoya Station
การเดินทางเข้าเมืองนาโกย่าโดยรถไฟ Meitetsu
สาย Limited express ใช้เวลาเดินทางราวๆ 37 นาที ราคา 1250 เยน
สาย Semi-Express ใช้เวลาเดินทาง 50 นาที 890 เยน
เราเลือกแบบ Semi ที่นั่งจะเป็นสองแถวยาวหันหน้าเข้าหากัน
🚩 Osu Kannon Temple & Osu Shopping District
วัดพุทธเก่าแก่และมีชื่อเสียงของนาโกย่า
1 ใน 3 วัดเจ้าแม่กวนอิม ที่ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ของญี่ปุ่น เทียบเท่าวัดอาซากุสะ
ประดิษฐานคันนงหรือเจ้าแม่กวนอิม ฝีมือการแกะสลักโดยท่านโคโบ ไดชิ
พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการเคารพนับถืออย่างมาก
สายบุญท่านไหนมาเที่ยวนาโกย่า ต้องห้ามพลาดเลยค่ะ
ใกล้ๆ กันนี้ยังมีแหล่งช็อปปิ้งที่น่าสนใจ มีร้านอาหาร ของกินของใช้
โดยเฉพาะร้านขายของมือสอง ใครที่ชอบซื้อของมือสอง ต้องเผื่อเวลาเยอะๆ เลย
🚌 การเดินทาง Osukannon Station Exit 2 เดินต่อ 1 นาที
⏰ เวลาทำการ 9.00 - 17.00 น.
💴 ค่าเข้าชม ฟรี
🚩 Miwa Shrine
ศาลเจ้าเล็กๆ ในย่านโอสึ มีความกระต่ายตะมุตะมิเต็มไปหมด
ตามความเชื่อว่ากระต่ายเป็นผู้ส่งสารถึงเทพเจ้า
ในศาลเจ้ามีรูปปั้นกระต่ายตั้งอยู่ หากลูบกระต่าย เชื่อว่าจะนำโชคดีมาให้
ได้ข่าวว่าเครื่องรางและโกะชูอิน ของที่นี่เค้าก็มีความน่ารักโดดเด่น
เสียดายเราไปถึงตอนค่ำแล้ว จึงได้แค่เพียงหยอดเงินทำบุญและขอพร
🚌 การเดินทาง Kamimaezu Station Exit 9 เดินต่อ 5 นาที
Yabacho Station Exit 4 เดินต่อ 6 นาที
หรือจะเดินต่อมาจากวัด Osukannon และย่านการค้า Osu ก็ได้
⏰ เวลาทำการ เปิดให้เข้าได้ตลอด แต่สำนักงานศาลเจ้าเปิด 9.00-17.00 น.
💴 ค่าเข้าชม ฟรี
🚩 Atsuta Jingu
ศาลเจ้าชินโตที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียง เป็นรองแค่ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Grand Shrine, Mie)
เก็บรักษาดาบศักดิ์สิทธิ์ ดาบคุซานางิ หนึ่งในสามเครื่องราชกกุธภัณฑ์ของญี่ปุ่น
บรรยากาศโดยรอบรายล้อมไปด้วยต้นสนและต้นไม้ใหญ่
Bunkaden (Treasure Hall) สถานที่จัดแสดงวัตถุโบราณ โดยเฉพาะดาบโบราณ (ดาบคุซานางิไม่เปิดให้ชม)
Giant Camphor Tree หรือต้นการบูรยักษ์อายุกว่าพันปี ถือเป็น Power Spot ที่น่าสนใจแห่งหนึ่งในศาลเจ้า
ศาลเจ้าเปิดให้เข้าสักการะได้ตลอด 24 ชม ยกเว้นพวกอาคารสำนักงานต่างๆ ที่จะเปิดปิดตามเวลา
เราไปถึงศาลเจ้าตอนค่ำแล้ว จึงไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมา บรรยากาศก็จะมืดๆ เย็นๆ ได้ฟีลอีกแบบ
🚌 การเดินทาง Jingu-mae Station (Meitetsu Train) เดิน 3 นาที
Atsuta Jingu Nishi Station (Meijo line) เดิน 7 นาที / Atsuta Station (JR) เดิน 8 นาที
⏰ เวลาทำการ เปิด 24 ชั่วโมง Bunkaden เปิด 9.00-16.30 (เข้าได้ถึง 16.10)
💴 ค่าเข้าชม ฟรี / Bunkaden 300 เยน
[CR] CHUBU TRIP X Takayama-Hokuriku Area Tourist Pass (6Days 6Nights)
-เที่ยวแถบนี้ก่อน โดยใช้พาส Takayama Hokuriku Pass
-หลังจากนั้นมูฟไปฝั่งคันโตโดยรถบัส เส้นทางนาโกย่า-โตเกียว
-เที่ยวโตเกียวและเมืองรอบๆ ใช้พาส Tokyo Wild Pass
-จบที่บินกลับไทยทางสนามบินนาริตะ
-ขอแยกเป็นสองรีวิวเพื่อความเข้าใจง่าย โซนทาคายาม่า - โซนโตเกียว
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้