[CR] No.30 School Town King : แร็ปเย้ยฟ้า ซ่าส์ท้าฝัน


บุ๊ค และ นนท์  2 นักเรียนชั้นมัธยมที่อาศัยอยู่ในชุมชนย่านคลองเตยใจกลางกรุงเทพ แต่ด้วยฐานะทางบ้านของทั้งคู่ที่อยู่ในฐานะเข้าขั้นยากจน ครอบครัวทั้ง 2 จึงต้องการให้ทั้งคู่เรียนสูง ๆ เผื่อจะได้มีงานดี ๆ ทำแต่ด้วยความชอบของพวกเขาคือการเป็นนักร้องดนตรีแร๊ป พวกเขาใช้เวลาที่เหลือไปกับการฝึกฝนด้วยกันจนได้เกิดเป็นเพลงแรกขึ้นมาในโลกอินเทอร์เน็ต โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับการสะท้อนสังคมไทยสุดโต่ง ทำให้เพลงของพวกเขากลายเป็นที่พูดถึงจากปากต่อปากจนกลายเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ ซึ่งความชอบของพวกเขาดันไปส่งผลต่อการเรียนทำให้ครูของพวกเขาเริ่มกังวลถึงขั้นว่าทั้งคู่จะต้องเรียนซํ้าชั้น ปัญหาทั้งหมดถูกกดทับด้วยระบบสังคมที่ไม่ได้เสริมสร้างให้เขาไปถึงความฝันให้สำเร็จ พวกเขาจึงโต้ตอบออกมาผ่านเสียงเพลงอย่างรุนแรง ในเมื่อข้าวยังต้องกินปากก็ยังร้องต่อไป การเดิมพันเพื่อความฝันครั้งนี้ของพวกเขาจึงไม่ง่ายเลยสำหรับโลกใบนี้

ส่วนตัวคือได้ติดตาม Trailer หรือ อ่านเรื่องย่อมาก่อนก็เลยคิดว่าคงเป็นหนังสารคดีไทยทั่วไปเหมือนที่เคยดูมา แต่หลังจากดูจบปรากฎว่า ดีกว่าที่คิดไว้อีก เหมือนเป็นหนังสารคดีไทยที่มีความเป็นหนัง Action แทรกด้วยความเป็น Music ประกอบเสริมอีกที คล้ายกับดูสารคดีต่างประเทศยังไงยังงั้น อีกอย่างคือ Keywords ของหนังพูดถึงประเด็นทางสังคมไทยที่เราจับต้องได้จริง ๆ ตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม อาจจะมีแต่งเติมลงไปเล่นช่วงพัก Break บ้างแต่ก็ไม่ได้ไปขัดขวางทิศทางในการเล่าเรื่องให้เสียอรรถรสอะไรเลย ในระยะเวลา 2 ชั่วโมง นำเสนอได้น่าติดตามไปตั้งแต้ต้นจนจบ ส่วนหนึ่งที่ช่วยได้มากคือการใส่ Texture เสริมเพื่อให้การลำดับเรื่องมีรสชาติที่จัดจ้านมากขึ้น เช่น การตัดสลับช่วง Flashback ของตัวละคร , การฉาย Music Video คั่นกลาง , ภาพจากข่าวโทรทัศน์ และ เทคนิค Graphic อะไรต่าง ๆ  ภาพรวมที่ได้เหมือนดูภาพวาดการ์ตูนกำลังเคลื่อนไหวตามไปทีละ Shot อยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อติดลมจนมันมือกลายเป็นว่าเลยออกจะล้น ๆ โดด ๆ จากความจริงเกินไปหน่อย ถ้าไม่คิดอะไรก็ถือว่าเป็นสีสันให้เรื่องมีชีวิตชีวาก็แล้วกัน

บาง Scene เดินเรื่องเงียบไปหลายครั้งจนถึงขั้นวูบหลับไปเป็นระยะ แต่พอมาดูใหม่ก็เข้าใจได้ไม่ยากนัก บวกกับการดำเนินเรื่องที่โฟกัสไปที่ตัวน้อง 2 คนอย่างน้องบุ๊ค และ น้องนนท์ เป็นหลัก ทำให้การเล่าเรื่องมันสามารถขยี้ปมของตัวละครผ่านความเป็น Rappers สู้ชีวิตของเด็กรุ่นใหม่ที่กล้าดื้อในสิ่งที่ดี ไม่ยอมหักไม่ยอมงอในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าทำออกมาได้น่าเอาใจช่วยได้ง่าย เช่น การวิจารณ์ระบอบสังคม , การต่อต้านขนบธรรมเนียมในเรื่องของการศึกษา หรือ การต่อต้านวัฒนธรรมเจ้าชีวิตของระบบอนุรักษ์นิยมภายใต้คำสั่งจากผู้หลักผู้ใหญ่ ล้วนเป็นปัญหาที่หมกเม็ดตกทอดต่อกันมาจนเป็นดินพอกหางหมูมหึมาที่แก้ไขไม่ได้ จึงกลายเป็นปมสำคัญที่เป็นแรงผลักดันให้เด็ก 2 คนลุกขึ้นสู้ เรียกร้องเพื่อสิ่งที่ดีกว่าจากที่เป็นอยู่ ส่วนนี้ผมชอบมาก กับเสน่ห์ความห้าว กวนโอ๊ยตามสไตล์วัยฮอร์โมนของน้องบุ๊ค น้องนนท์ ที่ตีแผ่ชีวิตในสังคมเส็งเคร็งผ่าน Dialogue ด้วยคำสบถ อารมณ์เกรี้ยวกราดผ่านเสียงเพลง เสียงดนตรีได้สนุก ทันสมัย และ สะใจแทนคนรุ่นใหม่สุด ๆ ในขนาดที่ผู้ใหญ่ทั้งหลายได้แต่เชื่อฟังแล้วมองตาปิป ๆ ไม่กล้าหือ กล้าอืออะไรสักอย่าง

ระหว่างดูผมสับสน Timeline ไปซะหน่อยว่าเหตุการณ์ไหนเกิดขึ้นก่อน หรือ หลังกันแน่ เรียบเรียงไม่ถูก ด้วยความที่เรื่องนี้ใช้เวลาถ่ายทำหลายปี ก่อนเหตุกาณ์โควิค ภาพที่ดูจึงเป็นลักษณะการเก็บข้อมูลภาคสนามมากกว่าการเป็นหนัง ทำให้ภาพหลายเฟรม ๆ เหมือนถ่ายไว้หลาย ๆ  Shot เก็บไว้เป็น Stock จากนั้นค่อยมาเลือกอีกทีว่าภาพไหนมีข้อมูลสำคัญจึงใส่เข้าไปใน Scene อีกที ซึ่งมีทั้งการถ่ายสภาพแวดล้อมด้วยชุมชนแออัด , ครอบครัวแต่ละคน หรือ การสัมภาษณ์แต่ละบุคคลทั้งเกี่ยวข้องโดยตรงและทางอ้อมทั้งจำเป็นและไม่จำเป็นบ้างตามประปราย แม้ช่วงแรกจะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ซักพักก็เริ่มที่จะจำได้ทีละอย่าง ระหว่างทางหนังจะตัดสลับ Part ของบุ๊คบ้าง ของนนท์บ้าง มีปมดราม่าครอบครัว มีการแข่งขันร้องเพลงแทรกอะไรบ้าง มีแวะไปที่ตัวละครสมทบอื่น อาทิ เพื่อนสาวในห้อง ( ชื่ออะไรจำไม่ได้ ) , พ่อแม่น้องบุ๊ค , พ่อแม่น้องนนท์ หรือชาวบ้านละแวกนั้น  ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อน Support ให้เราเชื่อมโยงไปที่ Main หลักอย่างน้องบุ๊คและน้องนนท์ให้เข้าใจ เห็นใจ และให้กำลังใจทั้งคู่ได้มากขึ้น แม้ช่วงองค์หลังจะเน้นไป Time Air ที่ตัวบุ๊คแทบจะเป็นหนังเดี่ยวของน้องอยู่แล้วแต่ก็หาทางสรุปเส้นทางเดินของตัวละครแต่ละคนได้ทันเวลาอยู่โดยไม่ทิ้งอีกคนไว้กลางทาง

หน้าที่ กับ ความฝัน ผมว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ และ เป็นเมล็ดพันธุ์ที่มีความละเอียดอ่อนเช่นกัน บางคนไม่ได้เกิดมาในสิ่งที่ครอบครัวอยากให้เป็นหรือสังคมกำหนดให้เป็น บางคนก็อยากเป็นในสิ่งที่สังคมเป็น เป็นส่วนหนึ่งในรูปแบบของขนบธรรมเนียม กรอบวัฒนธรรมไทยด้วยการเคารพการเชื่อในสิ่งที่ผู้หลักผู้ใหญ่เชื่อ เพราะว่าดี หมาไม่กัด ท่านอาบน้ำร้อนมาก่อน ผมว่าไม่ผิดที่เขาเชื่อมาแบบนั้น เพราะเขาถูกสังคมหล่อหลอมให้เป็นแบบนั้น แต่บริบทสังคมมันเปลี่ยนไป ความเชื่อบางอย่างถูกแทนที่ด้วยวิทยาการความรู้ใหม่ บางอย่างคงอยู่ได้แต่บางสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงด้วยการปรับตัว เด็กสมัยนี้ความคิดพัฒนาไปมาก เพราะความก้าวหน้าของ Social Media มีส่วนทำให้พวกเขาเติบโตมาด้วยข้อมูลที่ใกล้ชิดจนทำให้การดำรงชีวิตของพวกเขามีความผูกพันด้านเทคโนโลยีมากกว่าความผูกพันทางวัฒนธรรม ที่สำคัญเด็กรุ่นนี้คืออนาคตต่อไป พวกเขามีสิทธิ์เลือกชีวิต กำหนดสังคมเหมือนกัน ความฝันบางคนรู้แต่เนิ่น ๆ ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่บางคนกว่าจะเจอฝันต้องใช้เวลากันนาน แต่อีกบางคนก็ไม่มีโอกาสทำตามฝันเลย ซึ่งเป็นอะไรที่เศร้าใจมาก ก็เพราะไม่มีใครช่วยพยุงประคองเขาไปสู่ความฝันด้วยกันยังไงล่ะ ดังนั้นผู้ใหญ่ควรฟัง และ ชี้แจงแนวทางให้เด็กมากกว่าไปบงการชี้นิ้วความคิดให้เป็นในสิ่งที่ตัวเองอยากเป็น มีอะไรแลกเปลี่ยนคุยกัน แล้วเดินเคียงข้างเขาไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจไว้ อีกอย่างมีฝันอย่างเดียวไม่ได้ต้องมีกินด้วย ให้ความสำคัญกับหน้าที่เท่ากัน และ หาความ Balance ควบคู่ในชีวิตกันไปครับ

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT และ Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
ชื่อสินค้า:   Review By EMCONCEPT
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่