บวชเรียน ศรัทธา หรือ ความเหลื่อมล้ำ ??
ถ้าพูดถึงวัฒนธรรมไทยอีกอย่างที่อยู่คู่ประเทศนี้มาอย่างยาวนาน คือการบวชเรียน
บวชเรียนอาจจะตีความได้หลายความหมาย
เช่น กุลบุตรผู้มีอายุครบ๒๐ปี แล้วบวชเข้ามาศึกษาธรรมะตามประเพณี ๗วัน ๑๕วัน หรือ ๓เดือน(๑พรรษา) เป็นต้น
แต่ที่อยากชวนพูดถึงกันตอนนี้ คือการบวชเรียนในแบบที่บวชเข้ามาเพื่อเรียนจริงๆตามหลักสูตรของการศึกษาที่คณะสงฆ์กำหนดขึ้น และมีการกำหนดลำดับวุฒิการศึกษา ที่เทียบเท่าทางโลก
หรือการศึกษาปริยัติสามัญที่มีการเรียนการสอนในลักษณะเดียวกันกับระบบการศึกษาปกติ
ตัวผู้เขียนเองได้สัมผัสและพูดคุยกับพระเณรที่บวชเรียนกันอยู่มากพอสมควร
ประเภทที่1. คือคนที่ได้รับการศึกษาจากทางโลกมาแล้ว บ้างก็จบระดับปริญญาตรี-โท-เอก
ในคนจำพวกนี้จะเห็นได้ชัดว่าการบวชเข้ามาแล้วรู้สึกศรัทธาในคำสอนของพระพุทธศาสนา
ก็จะบวชเพื่อศึกษาศาสตร์แห่งความหลุดพ้นนี้จริงๆ เช่นพระฝรั่งหรือชาวไทยที่บวชเข้ามาในสายของพระโพธิญานเถร(หลวงพ่อชา)
พระเหล่านี้ล้วนเป็นพระที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีมาแต่เดิมบางรูปค่อนข้างไปทางดีมากจนหาความสุขและความหมายของชีวิตไม่เจอ จึงเกิดการตั้งคำถามและเข้ามาหาคำตอบด้วยการสละความสะดวกสบายที่ตนมีอยู่แล้ว
จะสังเกตุได้ชัดว่าพระประเภทนี้จะไม่ค่อยมีข่าวเสียหายให้เป็นที่เสื่อมศรัทธาของชาวพุทธเท่าไหร่
ประเภทที่2 คือลูกตาสีตาสาลูกของชนชั้นแรงงานที่หาเช้ากินค่ำ พอส่งลูกเรียนจนจบประถมแล้วไม่สามารถที่จะมีกำลังทรัพย์ส่งลูกให้เรียนต่อในระดับชั้นการศึกษาที่สูงขึ้นไปได้ก็ส่งลูกมาบวชเรียน บวชเป็นสามเณร อายุน้อยๆ 9-12ขวบก็มีปรากฏ ที่เห็นลงข่าวจนเอือมคงเป็นเณรสาวที่อยากสวยทำให้ตนมีนมคล้ายผู้หญิงขึ้นมา หรือพระที่มั่วสีกา หรือพระเณรที่ปล่อยใจไปตามสัญชาตญาณคบหากันเอง หรือมีสัมพันธ์กับสีกาก็มีให้เห็นถมเถไป
ที่จะชวนตั้งคำถามคือสาเหตุหลักมันมาจากอะไร
ความเหลื่อมล้ำทางสังคมใช่หรือไม่ ที่ทำให้เด็กต้องห่างพ่อห่างแม่ตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ที่ทำให้พ่อแม่หลายครอบครัวเลือกที่จะส่งลูกเข้ามาบวชเพื่อจะได้มีโอกาสทางการศึกษามากขึ้น
ประเทศไทยที่ถูกมองว่าพุทธศาสนารุ่งเรืองเพราะอะไร เพราะมีพระเณรรวมกันแล้วได้เป็นแสนสองแสน ถ้าถามพระเณรที่จำต้องบวชเพราะต้องการโอกาสทางการศึกษาส่วนใหญ่ก็จะตอบเหมือนกัน
ว่า "ถ้ามีเงินถ้ามีโอกาสที่จะได้เรียนต่อ ก็ไม่บวช"
ศรัทธาหรือความเหลื่อมล้ำ
ถ้าพูดถึงวัฒนธรรมไทยอีกอย่างที่อยู่คู่ประเทศนี้มาอย่างยาวนาน คือการบวชเรียน
บวชเรียนอาจจะตีความได้หลายความหมาย
เช่น กุลบุตรผู้มีอายุครบ๒๐ปี แล้วบวชเข้ามาศึกษาธรรมะตามประเพณี ๗วัน ๑๕วัน หรือ ๓เดือน(๑พรรษา) เป็นต้น
แต่ที่อยากชวนพูดถึงกันตอนนี้ คือการบวชเรียนในแบบที่บวชเข้ามาเพื่อเรียนจริงๆตามหลักสูตรของการศึกษาที่คณะสงฆ์กำหนดขึ้น และมีการกำหนดลำดับวุฒิการศึกษา ที่เทียบเท่าทางโลก
หรือการศึกษาปริยัติสามัญที่มีการเรียนการสอนในลักษณะเดียวกันกับระบบการศึกษาปกติ
ตัวผู้เขียนเองได้สัมผัสและพูดคุยกับพระเณรที่บวชเรียนกันอยู่มากพอสมควร
ประเภทที่1. คือคนที่ได้รับการศึกษาจากทางโลกมาแล้ว บ้างก็จบระดับปริญญาตรี-โท-เอก
ในคนจำพวกนี้จะเห็นได้ชัดว่าการบวชเข้ามาแล้วรู้สึกศรัทธาในคำสอนของพระพุทธศาสนา
ก็จะบวชเพื่อศึกษาศาสตร์แห่งความหลุดพ้นนี้จริงๆ เช่นพระฝรั่งหรือชาวไทยที่บวชเข้ามาในสายของพระโพธิญานเถร(หลวงพ่อชา)
พระเหล่านี้ล้วนเป็นพระที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีมาแต่เดิมบางรูปค่อนข้างไปทางดีมากจนหาความสุขและความหมายของชีวิตไม่เจอ จึงเกิดการตั้งคำถามและเข้ามาหาคำตอบด้วยการสละความสะดวกสบายที่ตนมีอยู่แล้ว
จะสังเกตุได้ชัดว่าพระประเภทนี้จะไม่ค่อยมีข่าวเสียหายให้เป็นที่เสื่อมศรัทธาของชาวพุทธเท่าไหร่
ประเภทที่2 คือลูกตาสีตาสาลูกของชนชั้นแรงงานที่หาเช้ากินค่ำ พอส่งลูกเรียนจนจบประถมแล้วไม่สามารถที่จะมีกำลังทรัพย์ส่งลูกให้เรียนต่อในระดับชั้นการศึกษาที่สูงขึ้นไปได้ก็ส่งลูกมาบวชเรียน บวชเป็นสามเณร อายุน้อยๆ 9-12ขวบก็มีปรากฏ ที่เห็นลงข่าวจนเอือมคงเป็นเณรสาวที่อยากสวยทำให้ตนมีนมคล้ายผู้หญิงขึ้นมา หรือพระที่มั่วสีกา หรือพระเณรที่ปล่อยใจไปตามสัญชาตญาณคบหากันเอง หรือมีสัมพันธ์กับสีกาก็มีให้เห็นถมเถไป
ที่จะชวนตั้งคำถามคือสาเหตุหลักมันมาจากอะไร
ความเหลื่อมล้ำทางสังคมใช่หรือไม่ ที่ทำให้เด็กต้องห่างพ่อห่างแม่ตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ที่ทำให้พ่อแม่หลายครอบครัวเลือกที่จะส่งลูกเข้ามาบวชเพื่อจะได้มีโอกาสทางการศึกษามากขึ้น
ประเทศไทยที่ถูกมองว่าพุทธศาสนารุ่งเรืองเพราะอะไร เพราะมีพระเณรรวมกันแล้วได้เป็นแสนสองแสน ถ้าถามพระเณรที่จำต้องบวชเพราะต้องการโอกาสทางการศึกษาส่วนใหญ่ก็จะตอบเหมือนกัน
ว่า "ถ้ามีเงินถ้ามีโอกาสที่จะได้เรียนต่อ ก็ไม่บวช"