สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมาเล่าสิ่งที่เราพบเจอ (แชร์เรื่องราวสิ่งรอบข้างที่เป็นด้านลบตลอดเวลา) เผื่อบางคนที่พบเห็นอาจมีสถานการณ์คล้ายๆกับเรา
เริ่มแรกเลยคือ เราเกิดโดยการผ่าตัด แล้วหมอพบก้อนเนื้อมะเร็ง พอเราอายุ 2 ขวบ แม่ก็เสียชีวิต เราก็เลยได้อยู่กับยาย ยายเอาแต่โทษเราว่าเราเกิดมา
เป็นต้นเหตุทำให้แม่เสีย พ่อเราก็ไม่ประสบผลสำเร็จกับชีวิต เราเติบโตมากับญาติฝั่งแม่ โดยมีน้าหนึ่งคน (น้องของแม่) ก็คอยเลี้ยงสั่งสอนตั้งแต่เล็กมาตลอด ท้าวความก่อนนะคะว่า ครอบครัวเราอยู่ภาคอีสาน ซึ่งคำด่าค่อนข้างรุนแรง เราเติบโตมากับคำหยาบ ต่ำช้า โดนดูถูกมากมาย ตั้งแต่เรา 6-7 ขวบ
เราโดนลูกของน้า ใช้งาน ( เหมือนคนรับใช้ ไม่ว่าจะเป็นซักรองเท้า ต้มมาม่าให้ สารพัด ) เวลาเราอยู่บ้านยาย ลูกของน้าก็ลากเรามาใช้งาน
โดยยายของเรา ไม่เคยปกป้องเราเลย แถมยังบอกเราว่า "เธอมันไม่มีพ่อและแม่ เขาใช้ก็อดทนเอา" เราเลยทำงานทุกอย่างเป็น ตั้งแต่เด็ก
คนในหมู่บ้านชื่นชมเรา ว่าเราเป็นเด็กดีต่างๆนาๆ แต่พอคนที่บ้านได้ยินทีไร ก็พูดสบถ ว่าเราขี้เกียจ เกิดมาไร้ประโยชน์ จนบางครั้ง คนในหมู่บ้านก็เอือมระอากับคำพูดของน้าและยายเรา เราเติบโตมากับความเลวร้ายเรื่อยๆจนกระทั่ง น้าเราไปสร้างธุรกิจในตัวเมือง แล้วบอกให้เราสมัครเรียนโรงเรียนใกล้ๆ เราได้ย้ายไปอยู่กับน้า และลูกของน้า เราได้แยกจากบ้านที่เราคิดว่าปลอดภัยที่สุด (บ้านยาย) พอขึ้น ม.1 เราทรมานมากๆ เราต้องขายของที่บ้าน เดินไปโรงเรียนเอง เราไม่ยิ้มก็โดนด่า เราโดนหาว่าขโมย เราผิดไปหมดทุกอย่าง เราดูเหมือนไม่มีอนาคต น้าพูดใส่เราตลอดว่าโตไปก็เอาผัวเอาลูก (ซึ่งมันเป็นคำที่เรารับไม่ได้มากๆ) เพื่อนๆก็ตีตัวออกห่างเราเพราะเราหลับในห้องเรียน เพราะเลิกเรียนไปเราก็ขายของจน สี่ทุ่ม ซึ่งตอนนั้นมันเหนื่อยมากๆสำหรับเด็กอายุ 13 ปี เรา ไม่คิดอะไรเลยนอกจากการ จบชีวิตตัวเอง ช่วงนั้นน้าเรากรอกหูเราว่า เราควรเรียนจบ ม.3 แล้วไปต่อ ปวช จะได้ทำงานเร็วๆ จบๆ เราเก็บกด พูดน้อยเวลาอยู่ที่บ้าน ร้องไห้ไม่มีเสียง เราหมดหนทางชีวิต ไม่มีใครช่วยเราได้ ไม่มีที่พึ่งทางใจ เราคิดจะกระโดดน้ำตายแต่กลัวเขามาลำบากงานศพเรา เราไม่กล้าให้คนที่บ้านมารับผิดชอบเรา เราคิดไปเรื่อยๆ พอเริ่มอายุ 15 เราดันภาษาชอบต่างประเทศ ชอบความอิสระ เราเสพติดมันมาเรื่อยๆ เราชอบภาษา ม.4 เลยย้ายไป รร ประจำจังหวัด เพื่อจะวางแผลนขอทุน แต่ก็โดนอิจฉาที่เราได้เรียนที่ดีกว่าลูกของเขา ที่บ้านก็ยังว่าเราโง่เหมือนเดิม พอเราเริ่มโต เราก็มีความอดทนมากขึ้น ชินชามากขึ้น แต่ที่บ้านว่าเราว่าพูดอะไรไม่เคยฟัง เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เราอดทนมาตลอด โดนด่า โดนดูถูกดูแคลน ช่วง ม.5 เราได้เป็นผู้นำ
สแตน เรากลับบ้านค่ำทุกวันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คนที่บ้านด่าเราว่าโง่ ( เห็นแก่ตัว

เราจำขึ้นใจเลยค่ะ )
เราไม่ค่อยติดเพื่อนด้วยซ้ำ และไม่มีแฟน จนมาถึงตอนนี้เรากำลังขึ้น ม.6 เราอยากเรียนวิศวะ (ที่บ้านไม่มีใครรู้ และเราก็ไม่อยากให้ใครรู้)
เราอยากออกไปให้ไกลจากที่ ที่เคยอยู่ อยากไปเรียนไกลๆ ไม่อยากกลับมายืนจุดนี้ เราไม่ได้คิดสั้น หรือจะทรยศ หรือ เณรคุณ
เราแค่ "อยากออกจากสังคมที่โหดร้าย อยู่แล้วเสียสุขภาพจิต อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ กับตัวเราแค่นั้นเอง" เราไม่ได้เด็กจนพอคิดว่า ครอบครัวไม่สำคัญกับชีวิต เราโดนทำร้ายจิตใจ และโดนกระทำมามากพอจนทำให้เราวิเคราะห์ได้ว่า เราไม่ควรยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ เราไม่เคยคิดที่จะสบายใจ ไม่มีความสุขมา 6 ปี
ตอนนี้เราอายุ 18 แล้วนะคะ เหลืออีก 1ปี ที่เราคิดว่าความทุกข์ มันจะหมดหายไป เราไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะดีหรือร้าย แต่เราพิสูจน์ได้เลยว่า ตั้งแต่ ม.1-6
เราทรมานมากจริงๆ และเราคิดว่าในอนาคต เราจะไม่กระทำอะไรแบบนี้ใส่คนรอบข้าง อย่างแน่นอน อันนี้ฉบับย่อมากที่สุดนะคะ ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ
เติบโตมากับด้านลบ และไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
เริ่มแรกเลยคือ เราเกิดโดยการผ่าตัด แล้วหมอพบก้อนเนื้อมะเร็ง พอเราอายุ 2 ขวบ แม่ก็เสียชีวิต เราก็เลยได้อยู่กับยาย ยายเอาแต่โทษเราว่าเราเกิดมา
เป็นต้นเหตุทำให้แม่เสีย พ่อเราก็ไม่ประสบผลสำเร็จกับชีวิต เราเติบโตมากับญาติฝั่งแม่ โดยมีน้าหนึ่งคน (น้องของแม่) ก็คอยเลี้ยงสั่งสอนตั้งแต่เล็กมาตลอด ท้าวความก่อนนะคะว่า ครอบครัวเราอยู่ภาคอีสาน ซึ่งคำด่าค่อนข้างรุนแรง เราเติบโตมากับคำหยาบ ต่ำช้า โดนดูถูกมากมาย ตั้งแต่เรา 6-7 ขวบ
เราโดนลูกของน้า ใช้งาน ( เหมือนคนรับใช้ ไม่ว่าจะเป็นซักรองเท้า ต้มมาม่าให้ สารพัด ) เวลาเราอยู่บ้านยาย ลูกของน้าก็ลากเรามาใช้งาน
โดยยายของเรา ไม่เคยปกป้องเราเลย แถมยังบอกเราว่า "เธอมันไม่มีพ่อและแม่ เขาใช้ก็อดทนเอา" เราเลยทำงานทุกอย่างเป็น ตั้งแต่เด็ก
คนในหมู่บ้านชื่นชมเรา ว่าเราเป็นเด็กดีต่างๆนาๆ แต่พอคนที่บ้านได้ยินทีไร ก็พูดสบถ ว่าเราขี้เกียจ เกิดมาไร้ประโยชน์ จนบางครั้ง คนในหมู่บ้านก็เอือมระอากับคำพูดของน้าและยายเรา เราเติบโตมากับความเลวร้ายเรื่อยๆจนกระทั่ง น้าเราไปสร้างธุรกิจในตัวเมือง แล้วบอกให้เราสมัครเรียนโรงเรียนใกล้ๆ เราได้ย้ายไปอยู่กับน้า และลูกของน้า เราได้แยกจากบ้านที่เราคิดว่าปลอดภัยที่สุด (บ้านยาย) พอขึ้น ม.1 เราทรมานมากๆ เราต้องขายของที่บ้าน เดินไปโรงเรียนเอง เราไม่ยิ้มก็โดนด่า เราโดนหาว่าขโมย เราผิดไปหมดทุกอย่าง เราดูเหมือนไม่มีอนาคต น้าพูดใส่เราตลอดว่าโตไปก็เอาผัวเอาลูก (ซึ่งมันเป็นคำที่เรารับไม่ได้มากๆ) เพื่อนๆก็ตีตัวออกห่างเราเพราะเราหลับในห้องเรียน เพราะเลิกเรียนไปเราก็ขายของจน สี่ทุ่ม ซึ่งตอนนั้นมันเหนื่อยมากๆสำหรับเด็กอายุ 13 ปี เรา ไม่คิดอะไรเลยนอกจากการ จบชีวิตตัวเอง ช่วงนั้นน้าเรากรอกหูเราว่า เราควรเรียนจบ ม.3 แล้วไปต่อ ปวช จะได้ทำงานเร็วๆ จบๆ เราเก็บกด พูดน้อยเวลาอยู่ที่บ้าน ร้องไห้ไม่มีเสียง เราหมดหนทางชีวิต ไม่มีใครช่วยเราได้ ไม่มีที่พึ่งทางใจ เราคิดจะกระโดดน้ำตายแต่กลัวเขามาลำบากงานศพเรา เราไม่กล้าให้คนที่บ้านมารับผิดชอบเรา เราคิดไปเรื่อยๆ พอเริ่มอายุ 15 เราดันภาษาชอบต่างประเทศ ชอบความอิสระ เราเสพติดมันมาเรื่อยๆ เราชอบภาษา ม.4 เลยย้ายไป รร ประจำจังหวัด เพื่อจะวางแผลนขอทุน แต่ก็โดนอิจฉาที่เราได้เรียนที่ดีกว่าลูกของเขา ที่บ้านก็ยังว่าเราโง่เหมือนเดิม พอเราเริ่มโต เราก็มีความอดทนมากขึ้น ชินชามากขึ้น แต่ที่บ้านว่าเราว่าพูดอะไรไม่เคยฟัง เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เราอดทนมาตลอด โดนด่า โดนดูถูกดูแคลน ช่วง ม.5 เราได้เป็นผู้นำ
สแตน เรากลับบ้านค่ำทุกวันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คนที่บ้านด่าเราว่าโง่ ( เห็นแก่ตัว
เราไม่ค่อยติดเพื่อนด้วยซ้ำ และไม่มีแฟน จนมาถึงตอนนี้เรากำลังขึ้น ม.6 เราอยากเรียนวิศวะ (ที่บ้านไม่มีใครรู้ และเราก็ไม่อยากให้ใครรู้)
เราอยากออกไปให้ไกลจากที่ ที่เคยอยู่ อยากไปเรียนไกลๆ ไม่อยากกลับมายืนจุดนี้ เราไม่ได้คิดสั้น หรือจะทรยศ หรือ เณรคุณ
เราแค่ "อยากออกจากสังคมที่โหดร้าย อยู่แล้วเสียสุขภาพจิต อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ กับตัวเราแค่นั้นเอง" เราไม่ได้เด็กจนพอคิดว่า ครอบครัวไม่สำคัญกับชีวิต เราโดนทำร้ายจิตใจ และโดนกระทำมามากพอจนทำให้เราวิเคราะห์ได้ว่า เราไม่ควรยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ เราไม่เคยคิดที่จะสบายใจ ไม่มีความสุขมา 6 ปี
ตอนนี้เราอายุ 18 แล้วนะคะ เหลืออีก 1ปี ที่เราคิดว่าความทุกข์ มันจะหมดหายไป เราไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะดีหรือร้าย แต่เราพิสูจน์ได้เลยว่า ตั้งแต่ ม.1-6
เราทรมานมากจริงๆ และเราคิดว่าในอนาคต เราจะไม่กระทำอะไรแบบนี้ใส่คนรอบข้าง อย่างแน่นอน อันนี้ฉบับย่อมากที่สุดนะคะ ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ