[CR] พาเที่ยวดูไบ + โอมาน (Dubai + Oman) ดินแดนอาหรับสำหรับคนชอบทราย


สำหรับเพื่อนๆที่อยากดูแบบเต็มๆไม่มีโลโก้เกะกะขยายภาพดูได้เชิญที่เว็บไซต์ส่วนตัวผมได้เลยครับ https://www.nopeopletravelphoto.com/

เดือนที่เดินทาง - มกราคม 2023

สวัสดีครับ จริงๆเรื่องนี้โพสไปในเว็บผมเองที่ https://www.nopeopletravelphoto.com/post/dubai_oman_2023 นานแล้วครับแต่ตอนนั้นมันยุ่งมากเลยลึมนะว่ายังไม่ได้โพสที่พันทิปเลย ครั้งนี้มีความตั้งใจจะไปหาเพื่อนที่ย้ายไปอยู่ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ UAE เลยถือโอกาสวางแผนไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านด้วยเลยจะได้คุ้มค่าตั๋วกับเวลานั่งเครื่องบิน

ทริปนี้ใช้เวลาแค่ 7 วันเท่านั้นปลอดภัยต่อวันลาที่มีโดยที่ผมออกเดินทางจากตอนกลางคืนแล้วไปถึงตอนเช้ามืดอาศัยนอนบนเครื่องบินพอได้เพราะระยะเวลาเดินทางพอๆกับเวลานอน

สิ่งที่ควรรู้
- หลายคนอาจจะสงสัยว่าการมาที่เอมิเรตส์และโอมานผู้หญิงนี้ต้องแต่งตัวกันยังไงเพื่อให้เหมาะสม สองประเทศนี้ถือว่าไม่เคร่งมากถ้าไม่ได้ไปสถานที่ทางศาสนาก็แค่แต่งตัวตามปกติได้เลยแต่เวลาไปนอกเมืองก็ควรใส่เสื้อผ้ามิดชิดหน่อยถ้ากลัวว่าคนเค้าจะไม่พอใจกัน
- อาหารการกินนั้นส่วนใหญ่จะเป็นอาหารแขกๆ อินเดีย อาหรับที่เน้นไปทางเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อไก่ แป้งที่มาในรูปแบบขนมปังกับข้าวบาสมาติ (Basmati) ที่เมล็ดยาวๆเนื้อแห้งๆ แล้วก็พวกแกงกระหรี่ กินไปตลอดทริปเลยจ้า

ไฮไลท์วันที่ 1 - 4: เที่ยวดูไบ
 - Dubai Marina
- Desert Safari
- Burj Khalifa
- Level 43
- The Penthouse

ไฮไลท์วันที่ 4 - 7: เที่ยวโอมาน
 - เมืองมัสกัต (Muscat)
- Sultan Qaboos Grand Mosque
- เมืองซูร์ (Sur)
- โอเอซิส วาดิ บานิ คาห์ลิด (Wadi Bani Khalid)
- ทะเลทรายวาฮิบา (Wahiba Sands)

ตอนไปเที่ยวยุโรปก็มีโอกาสได้มาต่อเครื่องที่ดูไบบ้างแต่ก็ไม่เคยได้ออกมานอกสนามบินเลย รู้แต่ว่าตึกสวยๆเยอะกับสิ่งก่อสร้างแบบท้าทายสามัญสำนึกอะไรแบบนี้ ไปดูกันเถอะมีอะไรบ้างในเวลา 3 วันครึ่ง

วันที่ 1 Dubai Marina และ Desert Safari
จากที่เพื่อนเล่าให้ฟังคือดูไบเป็นเมืองที่มีคนต่างชาติอยู่เป็นหลัก เกินกว่า 85% เป็นคนต่างชาติที่มาทำงานและอาศัยที่นี่ คนที่เป็นประชากรเอมิราติจริงๆเป็นเปอร์เซนต์น้อยมากๆ คนส่วนมากจะมาจากเอเชียใต้ ประมาณประเทศอินเดีย ปากีสถาน หรือบังกลาเทศ 

แผนดั้งเดิมคือจะเช่ารถขับในเมืองเพราะรู้ว่าระบบรถสาธารณะของที่นี่ยังไม่ค่อยครอบคลุมทุกพื้นที่และก็มีอยากไปถ่ายรูปแต่เช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจะได้ไม่ต้องรอรถสาธารณะเปิด แต่ผิดแผนมากเพราะว่าไม่ได้เตรียมใบอนุญาตขับขี่สากลมา คือไปมาหลายที่แล้วไม่มีใครเค้าขอดูเลย ครั้งนี้เลยชะล่าใจทำให้ที่ดูไบต้องนั่งแท๊กซี่กันพรุนมาก ถึงจุดนี้ก็คอยลุ้นตลอดเวลาว่าไปที่โอมานจะเช่ารถได้มั้ยนะ

แผนของวันนี้คือจะไปเที่ยวทะเลทราย Desert Safari แล้วก็กะว่าจะนอนค้างในเต๊นท์ด้วย แพ็กเกจที่จองไว้รวมตามนี้ และรถจะมารับช่วงบ่ายสองถึงบ่ายสามครับ
- รถรับส่งจากโรงแรม รับ 2.30 PM ส่ง 8.30 AM วันรุ่งขึ้น
- Dune-bashing หรือเค้าพาขับรถบนเนินทรายเลี้ยวไปเลี้ยวมาให้ทรายมันกระเด็นสูง
- ขี่รถ ATV เล่นในพื้นที่ที่เค้าล้อมรั้วไว้
- อาหารเย็นแบบบุฟเฟ่ต์
- การแสดงระบำหน้าท้อง ระบำควงไฟ ระบำที่คนเต้นหมุนติ้วๆเป็นระยะเวลาหลายนาที
- รวมบริการกางเต๊นท์พร้อมถุงนอนและบริการก่อกองไฟ

ใครที่อ่านแล้วสนใจก็ดูรายละเอียดได้ตรงนี้ครับ LINK ราคาแต่คนละ 500 Dirham ออกเสียงว่าเดียรัม หรือประมาณ 4,500 บาท แนะนำแบบนี้ ใครที่จะไปนอนค้างในทะเลทรายที่โอมานอยู่แล้วไม่ต้องไปอันนี้หรอก แล้วถ้าอยากก็แนะนำว่าไม่ต้องนอนค้างคืนก็ได้ ที่นอนก็จะนอนเต๊นท์อยู่ในรั้วค่ายของเค้าอีกที มีโอกาสได้เดินเล่นตอนเช้าดูพระอาทิตย์ขึ้นนิดหน่อย

มาถึงแต่เช้าก็เลยเอาเวลาที่มีไปเดินเล่นแถว Dubai Marina ที่ดูไบในเดือนมกราคมอากาศหนาวและลมแรงมากแต่เป็นช่วงที่ควรมาเที่ยวที่สุดเพราะเคยได้ยินว่าหน้าร้อนมานี่มันร้อนตับแล่บซะยิ่งกว่าเมืองไทยเดือนเมษาซะอีก ส่วนที่ Dubai Marina เป็นย่านคอนโดร้านอาหารมีแต่ตึกสูงสวยๆรอบเลย

ตอนนี้ยังเช้ามากก็จะเห็นแต่คนมาวิ่งออกกำลังกายกัน มีมุมสวยๆเยอะเลยแต่ว่าไม่มีเวลากลับมาเก็บตอน blue hour เหมือนทุกที จดไว้ก่อนอนาคตค่อยกลับมาซ่อมใหม่

ทีนี้จะลองเดินไปดูชายหาดก็ได้รับรู้ของผังเมืองสุดบรรลัยที่สวยมากแต่การใช้ชีวิตจริงยับมากหากไม่มีรถขับ สาเหตุเพราะว่าเค้าสร้างตึกรวมๆกันเป็นกระจุกแล้วก็เชื่อมต่อกับกระจุกอื่นด้วยทางด่วน การจะออกจากกระจุกนึงก็ต้องวนๆเยอะมาก ทำให้ระยะทางที่จริงๆอาจเดินแต่ 10 นาทีกลายเป็นครึ่งชั่วโมงแถมเดินหลงอีกเพราะเดินๆอยู่ก็เป็นทางตันซะงั้น เอาเป็นว่าเดินจนล้มเลิกเปลี่ยนไปเดินหาร้านกาแฟนั่งรอดีกว่า

คนขับรถสำหรับไปเที่ยวทะเลทรายก็คอยโทรหาอยู่ทุกชั่วโมงคอยคอนเฟิร์มเหมือนกลัวจะชิ่งแต่สุดท้ายเค้าก็มารับจริงตอนบ่ายสาม รถที่มารับเป็นรถ 4x4 สำหรับไว้ขับบนทรายแล้วก็ออกเดินทางกันเลย ขับออกมาจากเมืองแค่นิดเดียวก็เริ่มเห็นเนินทรายเยอะๆแล้ว ประมาณ 2 ชั่วโมงพี่คนขับเค้าก็จอดบอกว่าเค้าพามาทำกิจกรรมก่อนแล้วที่กินข้าวกับที่นอนอยู่อีกที่นึง

ตรงนี้นักท่องเที่ยวเยอะพอสมควรรถจอดเต็มเลย ตอนแรกคิดถึงทะเลทรายมันก็จะคิดถึงความแล้งๆคนน้อยๆแต่มาถึงแล้วเหมือนจุดจอดรถเข้าห้องนำ้นิดหน่อย ตรงนี้ก็จะมีคนมาขายผ้าโพกหัวแบบคนอาหรับแนะนำว่าให้บอกคนขับให้ช่วยต่อ เพราะผมซื้อราคาจริงแล้วคนขับเรียกมาตำหนิว่าทำไมซื้อแพงแบบนี้คุณท่าน ตรงนี้แหละที่เค้าจะพาไปขี่รถเล่นบนทรายที่เรียกว่า Dune Bashing คือก็ขับไปบนทรายแล้วเลี้ยวนู่นนี่ถ้าใครเมารถง่ายให้ผ่านไปเลยครับ อีกกิจกรรมคือขี่รถ ATV แบบขี่เล่นเองในที่ๆเค้าล้อมไว้ ที่ใหญ่พอสมควรขี่เร็วๆมีเนินมีหลุมให้ผาดโผนเล็กน้อยได้ ใครขับแล้วรถไปติดหล่มออกไม่ได้ก็มีคนคอยช่วยยกออกมาให้ไม่ต้องห่วง


พอเล่นกันจนอิ่มแล้วพี่คนขับคนเดิมเค้าก็รออยู่ตรงทางออกพร้อมขับรถพาเราไปสถานที่กินข้าวดูการแสดง ตรงนี้สามารถเดินเล่นรอบๆได้รอดูพระอาทิตย์ตกตามอัธยาศัย เป็นสถานที่แบบง่ายๆบรรยากาศคล้ายงานวัดทำให้นึกถึงวัยเด็ก ทรายที่นี่คือเล็กละเอียดมากแบบพร้อมจะเข้าไปในทุกที่แต่สัมผัสแล้วมันรู้สึกดียังไงบอกไม่ถูก เหยียบไปแล้วนุ่มเหมือนเท้าโดนดูดเข้าไปเลย

อาหารก็จะเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ย่างเนื้อสัตว์ แกงกระหรี่ต่างๆและผักมีให้กินพอแน่นอน ส่วนการแสดงก็มีเรื่อยๆให้ดูไปด้วยตอนกินข้าว คนเยอะครึกครึ้นดีจ้า

คนที่เค้าเลี้ยงนกเหยี่ยวไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปก็มีวางนกทิ้งไว้ไปเข้าห้องน้ำแบบนี้ด้วย พอเริ่มดึกเข้าแขกที่มาก็เริ่มทะยอยนั่งรถกลับไปดูไบ มาถึงตอนนี้ถึงได้รู้ว่ามีแต่เราหรือนี่ที่มานอนค้าง คือระหว่างกินข้าวก็มองหาตลอดว่าจะนอนกันตรงไหนว้าเพราะมีแต่โต๊ะกินข้าว งงๆอยู่ซักพักพี่คนขับคนเดิมก็มาพาขับรถไปนอนอีกค่ายนึง คนขับบริการดีมากครับคอยเอากับข้าวเอาน้ำมาให้ตลอด

ไปถึงค่ายปั๊บพี่เจ้าของที่เป็นคนปากีสถานเค้าก็หาเต๊นท์มากาง เอาถุงนอนหมอนมาให้ เค้าบอกว่าไม่ต้องอาบน้ำหรอกนะเพราะมันหนาวแต่ว่าห้องน้ำเข้าได้พร้อมจุดกองไฟให้นั่งสังสรรค์กันด้วย


วันที่ 2 Dubai Downtown
คืนก่อนก็ลองตื่นมาเป็นมาดูนิดนึงว่าบนฟ้าดาวเยอะมั้ยแต่ว่ามันใกล้ดูไบมากๆทำให้มลภาวะทางแสงเยอะเกินไป เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นแต่เช้าไปเดินเล่นตามเนินทรายรอดูพระอาทิตย์ขึ้น ทรายที่เป็นคลื่นๆริ้วๆแบบนี้เห็นกี่ทีก็สวยเหมือนเดิม


ประมาณเจ็ดโมงคนขับรถก็มารับกลับเข้าเมือง พอไปถึงก็เอาของไปเก็บกันก่อนแล้วก็ไปเที่ยว Burj Khalifa ชื่อดังที่ทอมครูสไปปีนป่ายตอนถ่ายหนังเรื่อง Mission Impossible การจองตั๋วสามารถทำได้ที่เว็บนี้ [LINK] ได้เลยโดยการจองแพ็กเกจ At the Top, Burj Khalifa ราคาบัตรก็จะต่างกันตามเวลาที่จะขึ้นไปดูวิวโดยเวลาหลังจาก 3 โมงเป็นต้นไปจะราคาแพงกว่า

ทางเข้าลิฟท์ขึ้นตึกต้องผ่านทาง Dubai Mall ถ้าซื้อตั๋วไว้ล่วงหน้าแนะนำไปก่อนเวลาประมาณ 15 นาทีเผื่อเดินหลงเพราะห้างใหญ่มาก คิวขึ้นลิฟท์ยาวมากเลยครับแล้วต้องคอยระวังคนชอบมั่วนิ่มเดินมาแซงคิว พนักงานเค้าก็ไม่มาคอยดูแลจัดการคนแซงคิวด้วย พอขึ้นลิฟท์มาแล้วสามารถดูวิวได้รอบด้าน 360 องศาเลยครับผม ถ่ายรูปแล้วมันก็จะติดเงากระจกเล็กน้อย สามารถลดแสงสะท้อนได้โดยการเอาหน้าเลนส์ไปจ่อที่กระจกแล้วก็เอาเงาตัวเองบังเท่าที่ทำได้ มองไปเห็น The World Island เกาะที่เอาทรายไปถมกะให้เป็นรูปแผนที่โลกแต่ว่าน้ำพัดทรายหายหมดจนหมดงบเลิกทำไปแล้ว

Dubai Fountain หรือน้ำพุหน้าห้าง Dubai Mall ก็เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวมาเดินถ่ายรูปกันเหมือนกัน ตอนกลางวันนี่เดินข้างนอกไม่ไหวจริงๆ ถึงอากาศจะเย็นแดดเค้าร้อนแสบผิวแสบตามาก

พอเวลาโพล้เพล้เราไปที่ rooftop bar ที่ Level 43 กัน ตรงนี้เป็นมุมโด่งดังที่มองไปเห็นใจกลางเมืองดูไบคู่ไปกับทางด่วน ตรงนี้ตั้งขาตั้งไม่ได้แต่ว่าสามารถเอากล้องวางไว้บนกำแพงได้ไม่มีปัญหา

หลังพระอาทิตย์ตกแล้วยังไม่ดึกมาเลยไปเที่ยวต่อที่ Al Seef ที่ดูแล้วคล้ายๆกับ Asiatique ที่อาคารร้านค้าถูกสร้างให้เหมือนกับตึกอาคารแบบเอมิราติดั้งเดิมเก่าแก่เป็นที่ท่องเที่ยวกินข้าวช้อปปิ้งถ่ายรูป
ชื่อสินค้า:   โอมาน
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่