ถ้าไปเรียนตามตำรา ว่า... เจตสิก เป็นอย่างนั้นๆ จิต เป็นอย่างนั้นๆ ก็เรียนได้ แต่ว่า...ใช้ระงับโลภโกรธหลงไม่ได้

ปฏิบัติที่จิต

"เรื่องสมถะ หรือเรื่องวิปัสสนานี้...
ให้ทำให้เกิดในจิตเสีย ให้เกิดในจิตจริงๆ 
จึงจะรู้จัก ถ้าไปเรียนตามตำรา ว่า...
เจตสิก เป็นอย่างนั้นๆ 
จิต เป็นอย่างนั้นๆ ก็เรียนได้ 
แต่ว่า...ใช้ระงับความโลภ ความโกรธ ความ
หลง ของเราไม่ได้ เพราะเรียนไปตามอาการ ของ...
ความโลภ ความโกรธ ความหลง 
ความโลภ มีอาการอย่างนั้น ๆ 
ความโกรธ มีอาการอย่างนั้นๆ 
ความหลง มีอาการอย่างนั้นๆ 
ไปเล่าอาการของมันเท่านั้น 
ก็รู้...ไปตามอาการ 
พูด ไปตามอาการ 
รู้อยู่...ฉลาดอยู่ แต่ว่า...เมื่อมันเกิดกับใจเรา 
จะเป็นไปตามอาการ หรือไม่?
เมื่อถูกอารมณ์ ที่ไม่ชอบใจมากระทบ 
มันก็เกิดเป็นอาการขึ้นกับใจเรา 
เราติดมันไหม ? 
เราวาง...มันได้ไหม ?
อาการ ที่ไม่ชอบใจนั้น...เกิดขึ้นมา 
เรารู้แล้ว...
ผู้รู้...เอาความไม่ชอบใจไว้ในใจหรือเปล่า?
หรือว่า เห็นแล้ว...วาง...?
ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่ชอบใจแล้ว...
ยังเอาไว้ในใจของเรา ให้เรียนใหม่... 
เพราะยังผิดอยู่ ยัง ไม่ยิ่ง 
ถ้ามันยิ่งแล้ว...มัน วาง ให้ดู...อย่างนี้
ดู...จิตของเราจริงๆ 
มันจึงจะเป็นปัจจัตตัง ถ้าจะพูดไปตาม
อาการ ของจิต 
อาการ ของเจตสิก
ว่า...มีเท่านั้นดวง เท่านี้ดวง อาตมาว่า...
ยังน้อยเกินไป มันยังมีมาก
ถ้าเราจะไปเรียน
สิ่งเหล่านี้ ให้รู้แจ้งแทงตลอดหมดนั้น...
ไม่แจ้ง...
มันจะหมดอย่างไร ? มันไม่หมดหรอก 
หมดไม่เป็น
ฉะนั้น เรื่องการปฏิบัตินี้...
จึงสำคัญมาก การปฏิบัติอาตมามิได้ปฏิบัติ
อย่างนั้น ไม่รู้ว่า...
จิต หรือเจตสิก อะไรหรอก 
ดู...ผู้รู้นี่แหละ ถ้ามันคิดชังท่านมหา 
ทำไม? จึงชัง 
ถ้ามันรักท่านมหา ทำไม? จึงรัก อย่างนี้แหละ 
จะเป็นจิต หรือเจตสิกก็ไม่รู้ จี้เข้า...ตรงนี้ 
จึงแก้...เรื่องที่มันรัก หรือชังนั้นให้หายออก
จาก...ใจได้
จะเป็นอะไร ก็ตาม 
ถ้าทำจิตอาตมาให้หยุดรัก หรือหยุดชังได้ 
จิต อาตมาก็พ้นจากทุกข์แล้ว 
จะเป็นอะไร ก็ช่าง มันสบายแล้ว 
ไม่มี...อะไร มัน...ก็หยุด 
เอาอย่างนี้ จะพูดให้มากๆ ก็ช่างเขา 
มากก็ตาม มาก ก็จะมาอยู่ตรงนี้ และมันไม่มาก
ไปไหน มันมากออกจาก...ตรงนี้ 
น้อย ก็น้อยออกจาก...ตรงนี้ 
เกิด ก็เกิดออกจาก...นี่ ดับ ก็ดับอยู่...นี่ 
มันจะไปไหน ท่านจึงให้นาม ว่า...
ผู้รู้...อาการ
ที่ผู้รู้ รู้...ตามความเป็นจริง 
ถ้ารู้ตามความเป็นจริงแล้ว 
มันก็...รู้...จิต หรือเจตสิกนี่แหละ
จิต หรือเจตสิกนี้
มันหลอกลวงไม่หยุดสักที เราก็ไปเรียนอาการ
ที่มันหลอกลวงนั่นเอง ทั้งเรียนเรื่องมันหลอก
ลวง ทั้งถูกมันหลอกลวงเราอยู่นั่นเอง 
จะว่า อย่างไรกัน ?
ทั้งๆ ที่รู้จักมัน มันก็ลวง ทั้งๆ ที่รู้ 
มันเรื่องอย่างนี้ 
คือ...เรื่องเรา ไปรู้จักเพียงชื่อของมัน
อาตมาว่า...
พระพุทธเจ้า ไม่ประสงค์อย่างนั้น 
ทรงประสงค์ว่า...
ทำอย่างไรจึงจะออก จาก...สิ่งเหล่านี้ได้ 
ท่านให้ค้นหาเหตุของสิ่งเหล่านี้ขึ้นไป 
ฉะนั้น อาตมามาปฏิบัติโดยไม่รู้จักมาก 
รู้จักเพียงว่า...ศีล เป็นมรรค
งามเบื้องต้น เป็นศีล 
งามท่ามกลาง คือสมาธิ 
งามเบื้องปลาย คือปัญญา 
สามอย่างนี้...
ดูไปดูมา ก็เป็นอย่างเดียว เท่านั้น 
แต่ถ้าจะแยกออกเป็น ๓อย่าง ก็ได้."
------------------------------------------------------------------------
หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่