โดย : ตรัยโศก ณ ริมน่าน
ตอนที่7. ได้อย่างเสียอย่าง(จบ)
ท่ามกลางความมืดบนยอดเขา บัดนี้ถูกแสงสว่างจ้าแดงเพลิงซึ่งเปล่งประกายขึ้นจนทั้งแถบนั้นของเขาพนมรุ้งราวกับตกอยู่ในช่วงเวลากลางวัน มิใช่เพียงแสงแดงเพลิงเท่านั้น บรรยากาศโดยรอบยังปรับเปลี่ยนกลับไปกลับมาแบบฉับพลัน ขนแขนของพันโททรงศักดิ์ลุกตั้งชูชันขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ลูกน้องของผู้กองทะนงซึ่งร่วมกำกับดูแลการลำเลียงตัวนักโทษขึ้นรถหันขวับทันที สัมผัสนี้เขารู้ว่ามันหมายถึงสิ่งใด ผู้กองทะนงหัวหน้าของเขาคงเข้าตา
จน ไม่มีทางเลือก ต้องงัดเอาวิชาก้นหีบ วิชาสุดท้ายออกมาใช้ แม้มันจะส่งผลร้ายแก่ตนเองก็ตาม
“เกิดอะไรขึ้น? นั่นมันแสงอะไร?” พันโททรงศักดิ์ถามเสียงตื่น ชี้ไปยังแสงแดงเพลิงที่ค่อย ๆ หรี่ลงช้า ๆ บนยอดเขา
“ผู้กองครับ ผู้กองทุ่มสุดตัวแล้ว...เขากำลังแย่”
ได้ยินคำตอบจากลูกน้องของผู้กองทะนง พันโททรงศักดิ์ไม่มียั้งคิดรีรอใด ๆ สับเท้าวิ่งเข้าป่าหมายขึ้นไปให้ถึงจุดที่ผู้กองทะนงอยู่ให้เร็วที่สุด คำว่า
‘เขากำลังแย่’ ที่ได้ยินนั้น น้ำเสียงชี้ชัดว่าแย่จริง ๆ และการกระทำใด ๆ ก็ตามของทหารรุ่นน้องอันเป็นที่รักขณะนี้ ย่อมอันตรายถึงแก่ชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย
อีกด้านหนึ่ง สารวัตรเจษนำกำลังส่วนหนึ่งเข้าจับกุมนายพลสมาน ตามเบาะแสปริศนาที่ได้รับมา แรกทีเดียวเจ้าตัวฮึดฮัดแต่ก็ต้องจนด้วยหลักฐานที่ไม่อาจโต้แย้งได้ ซ้ำยังมีพยานปากเอกคือทหารหลายนายที่ตนเองใช้งาน นั่นจึงทำให้กองทัพเปิดทาง ส่งตัวนายพลสมานให้ตำรวจ เพื่อรับโทษทางกฎหมายต่อไป
จังหวะที่เรื่องทุกอย่างกำลังคลายปมออกนั่นเอง จู่ ๆ สัมผัสบางอย่างก็เกิดขึ้นกับสารวัตรเจษ มันเป็นสัมผัสจากที่อันแสนไกล และมันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดี คำ ๆ แรกและคำเดียวที่เขาหลุดปากออกมาหลังจากใช้จิตจับกระแสสัมผัสนั้นคือ “พี่ทะนง!”
และขณะเดียวกันในโถงถ้ำอันเป็นสถานที่บำเพ็ญจิตของหลวงพ่อกล่ำหรือที่เรียกว่าสำนักเขาวัง ภิกษุชราจอมอาคมเองก็สัมผัสได้ถึงกระแสพลังนั้น ท่านถอนจิตออกจากสมาธิ เปิดเปลือกตาโคลงศีรษะน้อย ๆ
“เฮ่อ...สุดท้ายก็เป็นแบบนี้จนได้นะอัคคีเอ้ย...เอาเถอะ ถือว่าบุญกรรมบันดาลก็แล้วกัน”
ณ สถานที่อันเป็นลานประลองเฉพาะกิจระหว่างอสงไขย ผู้ก้าวเข้าสู้ห้วงแห่งความมืดโดยแท้ด้วยวิชา ‘จิตมารร้อยแปด’ และผู้กองทะนง ผู้ทุ่มทุกอย่างจนตนเองก้าวเข้าสู่ขั้นสูงสุดของผู้ใช้อาคมเพื่อทำลายล้างด้วยวิชา ‘ราชันย์พันคาถา’ สองผู้เข้มขลังอาคมสายฆราวาสแห่งยุค เผชิญหน้ากันเตรียมพร้อมสำหรับยกถัดไป อันจะเป็นยกสุดท้าย ผลจะมีเพียงสองอย่างเท่านั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย ไม่ก็ตายทั้งคู่
ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีแต่สำหรับทั้งคู่ราวกับชั่วกัปแสนกัลป์ และแล้ว การต่อสู้ก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างพุ่งเข้าหากันสุดกำลัง ซัดกันด้วยอาวุธที่มีติดตัวมาแต่กำเนิด ซึ่งมันถูกเคลือบไว้ด้วยอาคมเข้มขลังจนแทบไม่ใช่กายเนื้อ
เสียงกำปั้นของทั้งสองฝ่ายสลับกันซัดเข้าใบหน้า ร่างกาย เสียงเตะ เสียงถีบที่บางครั้งอีกฝ่ายรับได้ บางครั้งก็โดนเข้าไปเต็ม ๆ มันดังสนั่นสะเทือนเลือนลั่นดั่งว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้ของมนุษย์ ซ้ำทั้งคู่ยังปักหลักใส่กันยับไม่มีใครถอยให้ใครสักก้าว จนกระทั่งเกิดใจตรงกันยกเท้าขวาขึ้นถีบเข้ายอดอกอีกฝ่ายเต็มแรง นั่นเองระยะห่างร่วมสิบกว่าเมตรจึงเกิดขึ้น
ทว่า...แม้ตัวจะไถลไถถืดตามแรงตีนของอีกฝ่าย แต่สิ่งที่ขว้างออกไปใส่กันคืออาคม ของผู้กองทะนงพลังเวทย์ก่อตัวเป็นเสือใหญ่ไฟลุกท่วม ทางด้านอสงไขยเป็นควายถึกเขาแหลมคมตาแดงวาบและแผ่ไอควันสีดำให้พวยพุ่งออกมาไม่ขาดสาย
สองสัตว์ที่เกิดจากอาคมพุ่งเข้าห้ำหั่นกันโดยมีผู้เป็นนายกำกับอยู่ด้านหลัง เสือของผู้กองทะนงกางกรงเล็บตบเข้าใส่ทันทีที่ได้ระยะ ผลคือศีรษะมหึมาของควายใหญ่ตัวดำเมี่ยมสะบัดหัน แต่ก็ตวัดกลับโดยฉับพลัน ใช้เขางัดเต็มแรงเข้าระหว่างซอกขาหน้าจนเสือใหญ่หงายเงิบยืนด้วยสองขาหลัง ควายถึกอาศัยจังหวะนั้นถอยแล้วพุ่งชนอีกทีเข้าเต็มลำตัว
ขึ้นชื่อว่าสัตว์ที่เกิดจากอาคมของผู้ที่ทุ่มสุดตัว จะมาสิ้นท่าง่าย ๆ ก็ดูกระไรอยู่ เสือใหญ่ตีลังกาม้วนกลับลงพื้นแล้วกระโจนเข้าใส่ ตบกรงเล็บซ้ายขวาสลับกันถี่ยิบ ตามด้วยเอี้ยวตัวขึ้นไปคร่อมอยู่ด้านบนตามสัญชาตญาณนักล่า อ้าปากฝังคมเขี้ยวลงบนก้านคออันใหญ่และหนากรงเล็บจิกแน่น ควายถึกพยายามเท่าไหร่ก็สะบัดไม่หลุด นานเข้าก็ยิ่งอ่อนแรงลงทุกที
อสงไขยเห็นท่าไม่ดีอาคมตนเองกำลังจะพ่าย จึงรีดเร้นเร่งคาถาหมายเสริมพลังให้ ทว่า ผู้กองทะนงในร่างที่ราวกับไม่ใช่มนุษย์กลับพุ่งเข้ามาประชิดตัว คว้าหมับจับแขนข้างที่จะแผ่อาคมเสริมพลังนั้นไว้ ก่อนเงื้อกำปั้นทุบลงกลางอกของอสงไขยเสียงดังสนั่นจนอีกฝ่ายเข่าทรุด ในเมื่อช่วยสัตว์อาคมของตนเองไม่ได้ ซ้ำอีกฝ่ายยังพุ่งเข้ามาหาเองจึงเปลี่ยนแผน ใช้มืออีกข้างกางแล้วขยุ้มเข้าที่อกซ้ายตำแหน่งหัวใจของผู้กองทะนงพร้อมเร่งสูบเอาทั้งพลังกาย พลังจิต พลังเวทย์เข้าสู่ตัวเอง
“เอาวิญญาณมืงมาให้กู! เอาวิชามืงมาให้กู!! เอาทุกอย่างของมืงมาให้กู!!!”
“ไม่มีทาง!!!” ผูกองทะนงตวาดกลับดังลั่นเช่นกัน ตอบโต้ด้วยการทุบกำปั้นใส่หน้าออกของอสงไขยจุดเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า แรงขึ้นและแรงขึ้น
ทั้งคู่เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัวแต่ก็ยังไม่มีใครยอมใคร อสงไขยฝืนดึงเอาพลังของผู้กองทะนงออกมาเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันตัวผู้กองเองก็ทุบกำปั้นลงไปจนอาคมที่ไหลเวียนอยู่ในตัวอีกฝ่ายแตกกระจายไม่สามารถเก็บกัก
“มืงตาย...!!!” ทั้งคู่ตะโกนลั่นพร้อมกัน อันเป็นสัญญาณว่าการต่อสู้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
ลวดลายอักขระบนตัวผู้กองทะนงพร้อมไอพลังที่แผ่ซ่านถูกดูดหายเข้าไปในตัวอสงไขยอย่างรวดเดียวจนแทบเกลี้ยง จะเหลือก็คือที่กำปั้นซึ่งเงื้อขึ้นจนสุดแขน และหวดลงมาสุดแรง
เปรี้ยง!!! แรงอัดสุดท้ายระเบิดออกจนเกิดเป็นลมแรงวูบใหญ่ซัดใส่รอบอาณาบริเวณอย่างรุนแรงดั่งคลื่นซัดฝั่ง
จังหวะนั้นพันโททรงศักดิ์ขึ้นมาถึงพอดี โดนแรงอัดที่ว่าเข้าไปถึงกับหงายท้องกลิ้งกลับลงไปหลายตลบ พอลุกขึ้นทรงตัวได้ก็ฝืนสะกดข่มความเจ็บเอาไว้ พยายามปีนป่ายขึ้นไปให้ถึงยอดด้วยความทุลักทุเล
เมื่อขึ้นไปถึง ภาพที่เห็นคือร่างของบุรุษสองคนนอนแผ่หลาห่างกันไม่มากนัก หนึ่งคนเขาไม่คุ้นหน้า อีกหนึ่งคือทหารรุ่นน้อง พันโททรงศักดิ์รุดเข้าไปจุดนั้นด้วยความเร่งรีบจนสะดุดล้มหลายครั้ง ทว่ามันสายไปเสียแล้ว ทั้งคู่ไม่หายใจแล้ว
“ไอ้ทะนง! ไอ้ทะนงตื่นสิวะ!! ไอ้ทะนง!!!” พันโททรงศักดิ์ทั้งร้องเรียกทั้งพยายามปฐมพยาบาลทหารรุ่นน้องเท่าที่สมองจะคิดออก แต่กลับไม่เป็นผล
ร่างของผู้กองทะนงยังนอนแน่นิ่งในสภาพสะบักสะบอม เขาและอีกคนซึ่งน่าจะเป็นศัตรู ต่างก็สิ้นใจแล้ว พันโททรงศักดิ์มิอาจทำสิ่งใดได้นอกจากร่ำไห้เพียงอย่างเดียว หวนคิดถึงความหลังครั้งเก่า
ตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จักกับผู้กองหนุ่มผู้นี้จนปัจจุบัน คำปฏิญาณที่ผู้กองทะนงเคยพูดลอย ๆ ราวกับเปรยเล่น ๆ นั้น เขารักษาและทำมันอย่างสุดความสามารถ ทุ่มสุดตัวไม่กลัวตนเองถูกครหา ยอมให้คนอื่นเข้าใจผิด ถูกตราหน้าว่าทรยศ ไม่ว่าเวลาไหน ผู้กองทะนงก็ยังยืนหยัดในสัตยาบันของตน
‘ผมเป็นทหารครับพี่ศักดิ์ หน้าที่ของผมคือเป็นรั้วคอยกั้นภัยจากภายนอกที่จะเข้ามาบ่อนทำลายชาติ ขณะเดียวกันก็ต้องคอยสกัดกั้นไม่ให้ภัยที่อยู่ภายในสามารถลุกลามดั่งไฟโหมหญ้าได้ ผมว่านั่นล่ะหน้าที่ของทหารอย่างพวกเรา’
ท่ามกลางเสียงร่ำไห้ของพันโททรงศักดิ์ ภิกษุชรารูปหนึ่งปรากฏกายขึ้นมองดูร่างของผู้กองทะนงด้วยอาการเวทนา หลวงพ่อกล่ำนั่นเอง...
เหตุการณ์ความไม่สงบ ณ พนมดงรักครั้งนั้น เมื่อสืบสาวราวเรื่องอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วพบว่ามันเป็นดั่งหมุดที่ปักเอาไว้และโยงด้วยด้ายสู่ความวุ่นวายทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้น ผู้กระทำผิดถูกจับได้มากมาย แต่ก็ต้องแลกกับหลายชีวิตที่เสียไปของทั้งทหารและตำรวจเช่นกัน
พลเอกสมาน ถูกจับกุมข้อหาผลักดันและจัดจำหน่ายอาวุธสงครามรวมทั้งยาเสพติดเข้ามาบ่อนทำลายความสงบของคนในชาติ เขายังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคดีปล้นธนาคารหกแห่ง ซึ่งความจริงข้อนี้ถูกเปิดเผยโดยกลุ่มโจรที่ถูกจับตัวได้และสอบสวน
ซ้ำยังมีปากคำของ
ผู้กองสามารถที่บอกทุกอย่างโดยละเอียดราวกับเพิ่งสำนึกผิดคิดได้ ความผิดครั้งนี้ยังโยงไปถึง
พันตรีเกิด บุตรชายของพลโทกิตติที่ซุ่มเงียบแสร้งว่าถูกจับเป็นตัวประกันอีกด้วย ทุกอย่างที่ผู้กองสามารถให้การล้วนเป็นความจริง แต่มันก็สายไปเสียแล้ว ทั้งสามถูกตัดสินประหารชีวิต ทว่าภายหลังมีการแก้ไข เหลือเพียงจำคุกตลอดชีวิตไม่มีลดโทษ
พลโทกิตติ เพื่อเป็นการชดใช้ความผิดที่ลูกชายก่อขึ้นในครั้งนี้ เขาเกษียณตัวเองออกจากการเป็นทหารก่อนกำหนด แม้กฎหมายจะระบุว่าเขาไม่มีความผิดซ้ำกองทัพยังหมายใจจะมอบรางวัลเลื่อนตำแหน่งเป็นพลเอกให้ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ที่ทำงานอยู่เบื้องหลังอย่างลับ ๆ ทว่าเจ้าตัวกลับปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า “เลี้ยงลูกคนเดียวให้ดียังไม่ได้ ผมจะไปมีหน้าเป็นผู้นำใครที่ไหนได้อีก?”
พลโทวิวัฒน์ ภายนอกอาจดูเหมือนเขาร่วมมือกับพลเอกสมานหากแต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เขาทำงานร่วมกับพลโทกิตติโดยไม่บอกใคร ‘จิ้งจอก’ ที่พลโทกิตติเคยกล่าวถึงคือเขาผู้นี้นี่เอง แน่นอนว่าทางกองทัพย่อมมอบทั้งยศตำแหน่งและรางวัลให้ แต่เขาเองก็ปฏิเสธเช่นกัน
พันโททรงศักดิ์ มีความดีความชอบในงานนี้ในฐานนะผู้ที่อยู่ยั้งรั้งไม่ให้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบลงเขาเข้ามาในเขตไทยได้ ทางกองทัพเลื่อนขั้น มอบเหรียญกล้าหาญแต่เขาปฏิเสธ
“ความจริงมันเป็นยังไงก็รู้กันอยู่ ผมไม่หน้าด้านพอหรอก” นี่คือสิ่งที่เขาประกาศกร้าวต่อหน้าธารกำนัล
พลตำรวจตรีอเนก จากการที่เขาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมมือและอำนวยความสะดวกทุกอย่างซ้ำยังช่วยสืบคดี ทำให้คะแนนเสียงของเขาถล่มทลาย และมีการกล่าวถึงว่า
เขาอาจจะเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยคนต่อไปก็เป็นได้
สารวัตรเจษ ยังคงดำรงตำแหน่งเดิม เขาให้เหตุผลว่าความสามารถของเขาคนเดียวไม่สามรรถจัดการเรื่องทั้งหมดให้คลี่คลายได้ อีกอย่าง พวกที่มีอาคมซึ่งเป็นลูกน้องของอสงไขยเองแท้จริงแล้วก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรมากนัก รางวัลใด ๆ ไม่ขอรับ แต่กลับขออย่างอื่นแทน
หมวดผดุง ได้เข้าไปทำงานในส่วนกลางเป็นหนึ่งในคนสนิทของสารวัตรเจษตามคำขอของสารวัตรเจษเอง ซึ่งมันเป็นคำขอเดียวที่ไม่ว่าใครจะค้าน มือปราบจอมขมังเวทย์ก็ไม่ยอม
อสงไขย เมื่อสืบข้อมูลเชิงลึกจึงทราบว่าเขาเคยเป็นนักบวชผู้หนึ่งซ้ำยังเป็นคนไทย แต่การที่ฝึกตนอย่างหนักหน่วงข้ามแดนไทย เขมร ลาวกลับไปกลับมารับเอาวิชาต่าง ๆ เข้าไปสุดท้ายก็เป็นมาร ถูกว่าจ้างโดยพลเอกสมานให้ก่อสถานการณ์หวังให้เกิดสงครามระหว่างประเทศ ไพร่พลทั้งหลายพลเอกสมานเป็นผู้จัดหาให้ทั้งสิ้น ทว่า...ความต้องการที่แท้จริงของอดีตนักบวชผู้นี้ ไม่ใช่เงินทองแต่เป็นการขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดในบรรดาจอมขมังเวทย์
ผู้กองทะนง ถูกระบุว่าเสียชีวิตในหน้าที่ กองทหารจอมอาคมที่ถูกเรียกว่าเจตภูตจึงไม่มีอีกต่อไป ข้อมูลระบุไว้เพียงเท่านี้...
(มีต่อนะครับ)
ปฐพีเดือด ตอนที่7.จบ
ลูกน้องของผู้กองทะนงซึ่งร่วมกำกับดูแลการลำเลียงตัวนักโทษขึ้นรถหันขวับทันที สัมผัสนี้เขารู้ว่ามันหมายถึงสิ่งใด ผู้กองทะนงหัวหน้าของเขาคงเข้าตา
จน ไม่มีทางเลือก ต้องงัดเอาวิชาก้นหีบ วิชาสุดท้ายออกมาใช้ แม้มันจะส่งผลร้ายแก่ตนเองก็ตาม
“เกิดอะไรขึ้น? นั่นมันแสงอะไร?” พันโททรงศักดิ์ถามเสียงตื่น ชี้ไปยังแสงแดงเพลิงที่ค่อย ๆ หรี่ลงช้า ๆ บนยอดเขา
“ผู้กองครับ ผู้กองทุ่มสุดตัวแล้ว...เขากำลังแย่”
ได้ยินคำตอบจากลูกน้องของผู้กองทะนง พันโททรงศักดิ์ไม่มียั้งคิดรีรอใด ๆ สับเท้าวิ่งเข้าป่าหมายขึ้นไปให้ถึงจุดที่ผู้กองทะนงอยู่ให้เร็วที่สุด คำว่า ‘เขากำลังแย่’ ที่ได้ยินนั้น น้ำเสียงชี้ชัดว่าแย่จริง ๆ และการกระทำใด ๆ ก็ตามของทหารรุ่นน้องอันเป็นที่รักขณะนี้ ย่อมอันตรายถึงแก่ชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย
อีกด้านหนึ่ง สารวัตรเจษนำกำลังส่วนหนึ่งเข้าจับกุมนายพลสมาน ตามเบาะแสปริศนาที่ได้รับมา แรกทีเดียวเจ้าตัวฮึดฮัดแต่ก็ต้องจนด้วยหลักฐานที่ไม่อาจโต้แย้งได้ ซ้ำยังมีพยานปากเอกคือทหารหลายนายที่ตนเองใช้งาน นั่นจึงทำให้กองทัพเปิดทาง ส่งตัวนายพลสมานให้ตำรวจ เพื่อรับโทษทางกฎหมายต่อไป
จังหวะที่เรื่องทุกอย่างกำลังคลายปมออกนั่นเอง จู่ ๆ สัมผัสบางอย่างก็เกิดขึ้นกับสารวัตรเจษ มันเป็นสัมผัสจากที่อันแสนไกล และมันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดี คำ ๆ แรกและคำเดียวที่เขาหลุดปากออกมาหลังจากใช้จิตจับกระแสสัมผัสนั้นคือ “พี่ทะนง!”
และขณะเดียวกันในโถงถ้ำอันเป็นสถานที่บำเพ็ญจิตของหลวงพ่อกล่ำหรือที่เรียกว่าสำนักเขาวัง ภิกษุชราจอมอาคมเองก็สัมผัสได้ถึงกระแสพลังนั้น ท่านถอนจิตออกจากสมาธิ เปิดเปลือกตาโคลงศีรษะน้อย ๆ
“เฮ่อ...สุดท้ายก็เป็นแบบนี้จนได้นะอัคคีเอ้ย...เอาเถอะ ถือว่าบุญกรรมบันดาลก็แล้วกัน”
ณ สถานที่อันเป็นลานประลองเฉพาะกิจระหว่างอสงไขย ผู้ก้าวเข้าสู้ห้วงแห่งความมืดโดยแท้ด้วยวิชา ‘จิตมารร้อยแปด’ และผู้กองทะนง ผู้ทุ่มทุกอย่างจนตนเองก้าวเข้าสู่ขั้นสูงสุดของผู้ใช้อาคมเพื่อทำลายล้างด้วยวิชา ‘ราชันย์พันคาถา’ สองผู้เข้มขลังอาคมสายฆราวาสแห่งยุค เผชิญหน้ากันเตรียมพร้อมสำหรับยกถัดไป อันจะเป็นยกสุดท้าย ผลจะมีเพียงสองอย่างเท่านั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย ไม่ก็ตายทั้งคู่
ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีแต่สำหรับทั้งคู่ราวกับชั่วกัปแสนกัลป์ และแล้ว การต่อสู้ก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างพุ่งเข้าหากันสุดกำลัง ซัดกันด้วยอาวุธที่มีติดตัวมาแต่กำเนิด ซึ่งมันถูกเคลือบไว้ด้วยอาคมเข้มขลังจนแทบไม่ใช่กายเนื้อ
เสียงกำปั้นของทั้งสองฝ่ายสลับกันซัดเข้าใบหน้า ร่างกาย เสียงเตะ เสียงถีบที่บางครั้งอีกฝ่ายรับได้ บางครั้งก็โดนเข้าไปเต็ม ๆ มันดังสนั่นสะเทือนเลือนลั่นดั่งว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้ของมนุษย์ ซ้ำทั้งคู่ยังปักหลักใส่กันยับไม่มีใครถอยให้ใครสักก้าว จนกระทั่งเกิดใจตรงกันยกเท้าขวาขึ้นถีบเข้ายอดอกอีกฝ่ายเต็มแรง นั่นเองระยะห่างร่วมสิบกว่าเมตรจึงเกิดขึ้น
ทว่า...แม้ตัวจะไถลไถถืดตามแรงตีนของอีกฝ่าย แต่สิ่งที่ขว้างออกไปใส่กันคืออาคม ของผู้กองทะนงพลังเวทย์ก่อตัวเป็นเสือใหญ่ไฟลุกท่วม ทางด้านอสงไขยเป็นควายถึกเขาแหลมคมตาแดงวาบและแผ่ไอควันสีดำให้พวยพุ่งออกมาไม่ขาดสาย
สองสัตว์ที่เกิดจากอาคมพุ่งเข้าห้ำหั่นกันโดยมีผู้เป็นนายกำกับอยู่ด้านหลัง เสือของผู้กองทะนงกางกรงเล็บตบเข้าใส่ทันทีที่ได้ระยะ ผลคือศีรษะมหึมาของควายใหญ่ตัวดำเมี่ยมสะบัดหัน แต่ก็ตวัดกลับโดยฉับพลัน ใช้เขางัดเต็มแรงเข้าระหว่างซอกขาหน้าจนเสือใหญ่หงายเงิบยืนด้วยสองขาหลัง ควายถึกอาศัยจังหวะนั้นถอยแล้วพุ่งชนอีกทีเข้าเต็มลำตัว
ขึ้นชื่อว่าสัตว์ที่เกิดจากอาคมของผู้ที่ทุ่มสุดตัว จะมาสิ้นท่าง่าย ๆ ก็ดูกระไรอยู่ เสือใหญ่ตีลังกาม้วนกลับลงพื้นแล้วกระโจนเข้าใส่ ตบกรงเล็บซ้ายขวาสลับกันถี่ยิบ ตามด้วยเอี้ยวตัวขึ้นไปคร่อมอยู่ด้านบนตามสัญชาตญาณนักล่า อ้าปากฝังคมเขี้ยวลงบนก้านคออันใหญ่และหนากรงเล็บจิกแน่น ควายถึกพยายามเท่าไหร่ก็สะบัดไม่หลุด นานเข้าก็ยิ่งอ่อนแรงลงทุกที
อสงไขยเห็นท่าไม่ดีอาคมตนเองกำลังจะพ่าย จึงรีดเร้นเร่งคาถาหมายเสริมพลังให้ ทว่า ผู้กองทะนงในร่างที่ราวกับไม่ใช่มนุษย์กลับพุ่งเข้ามาประชิดตัว คว้าหมับจับแขนข้างที่จะแผ่อาคมเสริมพลังนั้นไว้ ก่อนเงื้อกำปั้นทุบลงกลางอกของอสงไขยเสียงดังสนั่นจนอีกฝ่ายเข่าทรุด ในเมื่อช่วยสัตว์อาคมของตนเองไม่ได้ ซ้ำอีกฝ่ายยังพุ่งเข้ามาหาเองจึงเปลี่ยนแผน ใช้มืออีกข้างกางแล้วขยุ้มเข้าที่อกซ้ายตำแหน่งหัวใจของผู้กองทะนงพร้อมเร่งสูบเอาทั้งพลังกาย พลังจิต พลังเวทย์เข้าสู่ตัวเอง
“เอาวิญญาณมืงมาให้กู! เอาวิชามืงมาให้กู!! เอาทุกอย่างของมืงมาให้กู!!!”
“ไม่มีทาง!!!” ผูกองทะนงตวาดกลับดังลั่นเช่นกัน ตอบโต้ด้วยการทุบกำปั้นใส่หน้าออกของอสงไขยจุดเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า แรงขึ้นและแรงขึ้น
ทั้งคู่เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัวแต่ก็ยังไม่มีใครยอมใคร อสงไขยฝืนดึงเอาพลังของผู้กองทะนงออกมาเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันตัวผู้กองเองก็ทุบกำปั้นลงไปจนอาคมที่ไหลเวียนอยู่ในตัวอีกฝ่ายแตกกระจายไม่สามารถเก็บกัก
“มืงตาย...!!!” ทั้งคู่ตะโกนลั่นพร้อมกัน อันเป็นสัญญาณว่าการต่อสู้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
ลวดลายอักขระบนตัวผู้กองทะนงพร้อมไอพลังที่แผ่ซ่านถูกดูดหายเข้าไปในตัวอสงไขยอย่างรวดเดียวจนแทบเกลี้ยง จะเหลือก็คือที่กำปั้นซึ่งเงื้อขึ้นจนสุดแขน และหวดลงมาสุดแรง เปรี้ยง!!! แรงอัดสุดท้ายระเบิดออกจนเกิดเป็นลมแรงวูบใหญ่ซัดใส่รอบอาณาบริเวณอย่างรุนแรงดั่งคลื่นซัดฝั่ง
จังหวะนั้นพันโททรงศักดิ์ขึ้นมาถึงพอดี โดนแรงอัดที่ว่าเข้าไปถึงกับหงายท้องกลิ้งกลับลงไปหลายตลบ พอลุกขึ้นทรงตัวได้ก็ฝืนสะกดข่มความเจ็บเอาไว้ พยายามปีนป่ายขึ้นไปให้ถึงยอดด้วยความทุลักทุเล
เมื่อขึ้นไปถึง ภาพที่เห็นคือร่างของบุรุษสองคนนอนแผ่หลาห่างกันไม่มากนัก หนึ่งคนเขาไม่คุ้นหน้า อีกหนึ่งคือทหารรุ่นน้อง พันโททรงศักดิ์รุดเข้าไปจุดนั้นด้วยความเร่งรีบจนสะดุดล้มหลายครั้ง ทว่ามันสายไปเสียแล้ว ทั้งคู่ไม่หายใจแล้ว
“ไอ้ทะนง! ไอ้ทะนงตื่นสิวะ!! ไอ้ทะนง!!!” พันโททรงศักดิ์ทั้งร้องเรียกทั้งพยายามปฐมพยาบาลทหารรุ่นน้องเท่าที่สมองจะคิดออก แต่กลับไม่เป็นผล
ร่างของผู้กองทะนงยังนอนแน่นิ่งในสภาพสะบักสะบอม เขาและอีกคนซึ่งน่าจะเป็นศัตรู ต่างก็สิ้นใจแล้ว พันโททรงศักดิ์มิอาจทำสิ่งใดได้นอกจากร่ำไห้เพียงอย่างเดียว หวนคิดถึงความหลังครั้งเก่า
ตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จักกับผู้กองหนุ่มผู้นี้จนปัจจุบัน คำปฏิญาณที่ผู้กองทะนงเคยพูดลอย ๆ ราวกับเปรยเล่น ๆ นั้น เขารักษาและทำมันอย่างสุดความสามารถ ทุ่มสุดตัวไม่กลัวตนเองถูกครหา ยอมให้คนอื่นเข้าใจผิด ถูกตราหน้าว่าทรยศ ไม่ว่าเวลาไหน ผู้กองทะนงก็ยังยืนหยัดในสัตยาบันของตน
‘ผมเป็นทหารครับพี่ศักดิ์ หน้าที่ของผมคือเป็นรั้วคอยกั้นภัยจากภายนอกที่จะเข้ามาบ่อนทำลายชาติ ขณะเดียวกันก็ต้องคอยสกัดกั้นไม่ให้ภัยที่อยู่ภายในสามารถลุกลามดั่งไฟโหมหญ้าได้ ผมว่านั่นล่ะหน้าที่ของทหารอย่างพวกเรา’
ท่ามกลางเสียงร่ำไห้ของพันโททรงศักดิ์ ภิกษุชรารูปหนึ่งปรากฏกายขึ้นมองดูร่างของผู้กองทะนงด้วยอาการเวทนา หลวงพ่อกล่ำนั่นเอง...
เหตุการณ์ความไม่สงบ ณ พนมดงรักครั้งนั้น เมื่อสืบสาวราวเรื่องอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วพบว่ามันเป็นดั่งหมุดที่ปักเอาไว้และโยงด้วยด้ายสู่ความวุ่นวายทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้น ผู้กระทำผิดถูกจับได้มากมาย แต่ก็ต้องแลกกับหลายชีวิตที่เสียไปของทั้งทหารและตำรวจเช่นกัน
พลเอกสมาน ถูกจับกุมข้อหาผลักดันและจัดจำหน่ายอาวุธสงครามรวมทั้งยาเสพติดเข้ามาบ่อนทำลายความสงบของคนในชาติ เขายังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคดีปล้นธนาคารหกแห่ง ซึ่งความจริงข้อนี้ถูกเปิดเผยโดยกลุ่มโจรที่ถูกจับตัวได้และสอบสวน
ซ้ำยังมีปากคำของผู้กองสามารถที่บอกทุกอย่างโดยละเอียดราวกับเพิ่งสำนึกผิดคิดได้ ความผิดครั้งนี้ยังโยงไปถึงพันตรีเกิด บุตรชายของพลโทกิตติที่ซุ่มเงียบแสร้งว่าถูกจับเป็นตัวประกันอีกด้วย ทุกอย่างที่ผู้กองสามารถให้การล้วนเป็นความจริง แต่มันก็สายไปเสียแล้ว ทั้งสามถูกตัดสินประหารชีวิต ทว่าภายหลังมีการแก้ไข เหลือเพียงจำคุกตลอดชีวิตไม่มีลดโทษ
พลโทกิตติ เพื่อเป็นการชดใช้ความผิดที่ลูกชายก่อขึ้นในครั้งนี้ เขาเกษียณตัวเองออกจากการเป็นทหารก่อนกำหนด แม้กฎหมายจะระบุว่าเขาไม่มีความผิดซ้ำกองทัพยังหมายใจจะมอบรางวัลเลื่อนตำแหน่งเป็นพลเอกให้ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ที่ทำงานอยู่เบื้องหลังอย่างลับ ๆ ทว่าเจ้าตัวกลับปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า “เลี้ยงลูกคนเดียวให้ดียังไม่ได้ ผมจะไปมีหน้าเป็นผู้นำใครที่ไหนได้อีก?”
พลโทวิวัฒน์ ภายนอกอาจดูเหมือนเขาร่วมมือกับพลเอกสมานหากแต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เขาทำงานร่วมกับพลโทกิตติโดยไม่บอกใคร ‘จิ้งจอก’ ที่พลโทกิตติเคยกล่าวถึงคือเขาผู้นี้นี่เอง แน่นอนว่าทางกองทัพย่อมมอบทั้งยศตำแหน่งและรางวัลให้ แต่เขาเองก็ปฏิเสธเช่นกัน
พันโททรงศักดิ์ มีความดีความชอบในงานนี้ในฐานนะผู้ที่อยู่ยั้งรั้งไม่ให้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบลงเขาเข้ามาในเขตไทยได้ ทางกองทัพเลื่อนขั้น มอบเหรียญกล้าหาญแต่เขาปฏิเสธ “ความจริงมันเป็นยังไงก็รู้กันอยู่ ผมไม่หน้าด้านพอหรอก” นี่คือสิ่งที่เขาประกาศกร้าวต่อหน้าธารกำนัล
พลตำรวจตรีอเนก จากการที่เขาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมมือและอำนวยความสะดวกทุกอย่างซ้ำยังช่วยสืบคดี ทำให้คะแนนเสียงของเขาถล่มทลาย และมีการกล่าวถึงว่า เขาอาจจะเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยคนต่อไปก็เป็นได้
สารวัตรเจษ ยังคงดำรงตำแหน่งเดิม เขาให้เหตุผลว่าความสามารถของเขาคนเดียวไม่สามรรถจัดการเรื่องทั้งหมดให้คลี่คลายได้ อีกอย่าง พวกที่มีอาคมซึ่งเป็นลูกน้องของอสงไขยเองแท้จริงแล้วก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรมากนัก รางวัลใด ๆ ไม่ขอรับ แต่กลับขออย่างอื่นแทน
หมวดผดุง ได้เข้าไปทำงานในส่วนกลางเป็นหนึ่งในคนสนิทของสารวัตรเจษตามคำขอของสารวัตรเจษเอง ซึ่งมันเป็นคำขอเดียวที่ไม่ว่าใครจะค้าน มือปราบจอมขมังเวทย์ก็ไม่ยอม
อสงไขย เมื่อสืบข้อมูลเชิงลึกจึงทราบว่าเขาเคยเป็นนักบวชผู้หนึ่งซ้ำยังเป็นคนไทย แต่การที่ฝึกตนอย่างหนักหน่วงข้ามแดนไทย เขมร ลาวกลับไปกลับมารับเอาวิชาต่าง ๆ เข้าไปสุดท้ายก็เป็นมาร ถูกว่าจ้างโดยพลเอกสมานให้ก่อสถานการณ์หวังให้เกิดสงครามระหว่างประเทศ ไพร่พลทั้งหลายพลเอกสมานเป็นผู้จัดหาให้ทั้งสิ้น ทว่า...ความต้องการที่แท้จริงของอดีตนักบวชผู้นี้ ไม่ใช่เงินทองแต่เป็นการขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดในบรรดาจอมขมังเวทย์
ผู้กองทะนง ถูกระบุว่าเสียชีวิตในหน้าที่ กองทหารจอมอาคมที่ถูกเรียกว่าเจตภูตจึงไม่มีอีกต่อไป ข้อมูลระบุไว้เพียงเท่านี้...
(มีต่อนะครับ)