ปฐพีเดือด ตอนที่7.จบ

กระทู้สนทนา
โดย : ตรัยโศก  ณ  ริมน่าน

ตอนที่7. ได้อย่างเสียอย่าง(จบ)
ท่ามกลางความมืดบนยอดเขา  บัดนี้ถูกแสงสว่างจ้าแดงเพลิงซึ่งเปล่งประกายขึ้นจนทั้งแถบนั้นของเขาพนมรุ้งราวกับตกอยู่ในช่วงเวลากลางวัน  มิใช่เพียงแสงแดงเพลิงเท่านั้น  บรรยากาศโดยรอบยังปรับเปลี่ยนกลับไปกลับมาแบบฉับพลัน  ขนแขนของพันโททรงศักดิ์ลุกตั้งชูชันขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ลูกน้องของผู้กองทะนงซึ่งร่วมกำกับดูแลการลำเลียงตัวนักโทษขึ้นรถหันขวับทันที  สัมผัสนี้เขารู้ว่ามันหมายถึงสิ่งใด  ผู้กองทะนงหัวหน้าของเขาคงเข้าตา

จน  ไม่มีทางเลือก  ต้องงัดเอาวิชาก้นหีบ  วิชาสุดท้ายออกมาใช้  แม้มันจะส่งผลร้ายแก่ตนเองก็ตาม

“เกิดอะไรขึ้น?  นั่นมันแสงอะไร?”  พันโททรงศักดิ์ถามเสียงตื่น ชี้ไปยังแสงแดงเพลิงที่ค่อย ๆ หรี่ลงช้า ๆ บนยอดเขา

“ผู้กองครับ  ผู้กองทุ่มสุดตัวแล้ว...เขากำลังแย่”  

ได้ยินคำตอบจากลูกน้องของผู้กองทะนง  พันโททรงศักดิ์ไม่มียั้งคิดรีรอใด ๆ สับเท้าวิ่งเข้าป่าหมายขึ้นไปให้ถึงจุดที่ผู้กองทะนงอยู่ให้เร็วที่สุด  คำว่า ‘เขากำลังแย่’  ที่ได้ยินนั้น  น้ำเสียงชี้ชัดว่าแย่จริง ๆ และการกระทำใด ๆ ก็ตามของทหารรุ่นน้องอันเป็นที่รักขณะนี้  ย่อมอันตรายถึงแก่ชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย

อีกด้านหนึ่ง  สารวัตรเจษนำกำลังส่วนหนึ่งเข้าจับกุมนายพลสมาน ตามเบาะแสปริศนาที่ได้รับมา  แรกทีเดียวเจ้าตัวฮึดฮัดแต่ก็ต้องจนด้วยหลักฐานที่ไม่อาจโต้แย้งได้  ซ้ำยังมีพยานปากเอกคือทหารหลายนายที่ตนเองใช้งาน นั่นจึงทำให้กองทัพเปิดทาง  ส่งตัวนายพลสมานให้ตำรวจ เพื่อรับโทษทางกฎหมายต่อไป  

จังหวะที่เรื่องทุกอย่างกำลังคลายปมออกนั่นเอง  จู่ ๆ สัมผัสบางอย่างก็เกิดขึ้นกับสารวัตรเจษ  มันเป็นสัมผัสจากที่อันแสนไกล  และมันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดี  คำ ๆ แรกและคำเดียวที่เขาหลุดปากออกมาหลังจากใช้จิตจับกระแสสัมผัสนั้นคือ  “พี่ทะนง!”

และขณะเดียวกันในโถงถ้ำอันเป็นสถานที่บำเพ็ญจิตของหลวงพ่อกล่ำหรือที่เรียกว่าสำนักเขาวัง  ภิกษุชราจอมอาคมเองก็สัมผัสได้ถึงกระแสพลังนั้น  ท่านถอนจิตออกจากสมาธิ เปิดเปลือกตาโคลงศีรษะน้อย ๆ 

“เฮ่อ...สุดท้ายก็เป็นแบบนี้จนได้นะอัคคีเอ้ย...เอาเถอะ  ถือว่าบุญกรรมบันดาลก็แล้วกัน”

ณ  สถานที่อันเป็นลานประลองเฉพาะกิจระหว่างอสงไขย  ผู้ก้าวเข้าสู้ห้วงแห่งความมืดโดยแท้ด้วยวิชา ‘จิตมารร้อยแปด’  และผู้กองทะนง  ผู้ทุ่มทุกอย่างจนตนเองก้าวเข้าสู่ขั้นสูงสุดของผู้ใช้อาคมเพื่อทำลายล้างด้วยวิชา  ‘ราชันย์พันคาถา’   สองผู้เข้มขลังอาคมสายฆราวาสแห่งยุค  เผชิญหน้ากันเตรียมพร้อมสำหรับยกถัดไป  อันจะเป็นยกสุดท้าย  ผลจะมีเพียงสองอย่างเท่านั้น  ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย  ไม่ก็ตายทั้งคู่

ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีแต่สำหรับทั้งคู่ราวกับชั่วกัปแสนกัลป์  และแล้ว  การต่อสู้ก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง  ต่างฝ่ายต่างพุ่งเข้าหากันสุดกำลัง  ซัดกันด้วยอาวุธที่มีติดตัวมาแต่กำเนิด  ซึ่งมันถูกเคลือบไว้ด้วยอาคมเข้มขลังจนแทบไม่ใช่กายเนื้อ

เสียงกำปั้นของทั้งสองฝ่ายสลับกันซัดเข้าใบหน้า  ร่างกาย  เสียงเตะ เสียงถีบที่บางครั้งอีกฝ่ายรับได้ บางครั้งก็โดนเข้าไปเต็ม ๆ มันดังสนั่นสะเทือนเลือนลั่นดั่งว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้ของมนุษย์  ซ้ำทั้งคู่ยังปักหลักใส่กันยับไม่มีใครถอยให้ใครสักก้าว  จนกระทั่งเกิดใจตรงกันยกเท้าขวาขึ้นถีบเข้ายอดอกอีกฝ่ายเต็มแรง  นั่นเองระยะห่างร่วมสิบกว่าเมตรจึงเกิดขึ้น

ทว่า...แม้ตัวจะไถลไถถืดตามแรงตีนของอีกฝ่าย  แต่สิ่งที่ขว้างออกไปใส่กันคืออาคม  ของผู้กองทะนงพลังเวทย์ก่อตัวเป็นเสือใหญ่ไฟลุกท่วม  ทางด้านอสงไขยเป็นควายถึกเขาแหลมคมตาแดงวาบและแผ่ไอควันสีดำให้พวยพุ่งออกมาไม่ขาดสาย

สองสัตว์ที่เกิดจากอาคมพุ่งเข้าห้ำหั่นกันโดยมีผู้เป็นนายกำกับอยู่ด้านหลัง   เสือของผู้กองทะนงกางกรงเล็บตบเข้าใส่ทันทีที่ได้ระยะ  ผลคือศีรษะมหึมาของควายใหญ่ตัวดำเมี่ยมสะบัดหัน  แต่ก็ตวัดกลับโดยฉับพลัน  ใช้เขางัดเต็มแรงเข้าระหว่างซอกขาหน้าจนเสือใหญ่หงายเงิบยืนด้วยสองขาหลัง  ควายถึกอาศัยจังหวะนั้นถอยแล้วพุ่งชนอีกทีเข้าเต็มลำตัว

ขึ้นชื่อว่าสัตว์ที่เกิดจากอาคมของผู้ที่ทุ่มสุดตัว  จะมาสิ้นท่าง่าย ๆ ก็ดูกระไรอยู่  เสือใหญ่ตีลังกาม้วนกลับลงพื้นแล้วกระโจนเข้าใส่  ตบกรงเล็บซ้ายขวาสลับกันถี่ยิบ  ตามด้วยเอี้ยวตัวขึ้นไปคร่อมอยู่ด้านบนตามสัญชาตญาณนักล่า อ้าปากฝังคมเขี้ยวลงบนก้านคออันใหญ่และหนากรงเล็บจิกแน่น  ควายถึกพยายามเท่าไหร่ก็สะบัดไม่หลุด  นานเข้าก็ยิ่งอ่อนแรงลงทุกที

อสงไขยเห็นท่าไม่ดีอาคมตนเองกำลังจะพ่าย จึงรีดเร้นเร่งคาถาหมายเสริมพลังให้ ทว่า ผู้กองทะนงในร่างที่ราวกับไม่ใช่มนุษย์กลับพุ่งเข้ามาประชิดตัว  คว้าหมับจับแขนข้างที่จะแผ่อาคมเสริมพลังนั้นไว้  ก่อนเงื้อกำปั้นทุบลงกลางอกของอสงไขยเสียงดังสนั่นจนอีกฝ่ายเข่าทรุด  ในเมื่อช่วยสัตว์อาคมของตนเองไม่ได้ ซ้ำอีกฝ่ายยังพุ่งเข้ามาหาเองจึงเปลี่ยนแผน ใช้มืออีกข้างกางแล้วขยุ้มเข้าที่อกซ้ายตำแหน่งหัวใจของผู้กองทะนงพร้อมเร่งสูบเอาทั้งพลังกาย  พลังจิต  พลังเวทย์เข้าสู่ตัวเอง

“เอาวิญญาณมืงมาให้กู!  เอาวิชามืงมาให้กู!!  เอาทุกอย่างของมืงมาให้กู!!!”

“ไม่มีทาง!!!”   ผูกองทะนงตวาดกลับดังลั่นเช่นกัน  ตอบโต้ด้วยการทุบกำปั้นใส่หน้าออกของอสงไขยจุดเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า  แรงขึ้นและแรงขึ้น
ทั้งคู่เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัวแต่ก็ยังไม่มีใครยอมใคร  อสงไขยฝืนดึงเอาพลังของผู้กองทะนงออกมาเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันตัวผู้กองเองก็ทุบกำปั้นลงไปจนอาคมที่ไหลเวียนอยู่ในตัวอีกฝ่ายแตกกระจายไม่สามารถเก็บกัก

“มืงตาย...!!!”   ทั้งคู่ตะโกนลั่นพร้อมกัน อันเป็นสัญญาณว่าการต่อสู้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว  

ลวดลายอักขระบนตัวผู้กองทะนงพร้อมไอพลังที่แผ่ซ่านถูกดูดหายเข้าไปในตัวอสงไขยอย่างรวดเดียวจนแทบเกลี้ยง  จะเหลือก็คือที่กำปั้นซึ่งเงื้อขึ้นจนสุดแขน  และหวดลงมาสุดแรง  เปรี้ยง!!!  แรงอัดสุดท้ายระเบิดออกจนเกิดเป็นลมแรงวูบใหญ่ซัดใส่รอบอาณาบริเวณอย่างรุนแรงดั่งคลื่นซัดฝั่ง  
จังหวะนั้นพันโททรงศักดิ์ขึ้นมาถึงพอดี  โดนแรงอัดที่ว่าเข้าไปถึงกับหงายท้องกลิ้งกลับลงไปหลายตลบ  พอลุกขึ้นทรงตัวได้ก็ฝืนสะกดข่มความเจ็บเอาไว้  พยายามปีนป่ายขึ้นไปให้ถึงยอดด้วยความทุลักทุเล

เมื่อขึ้นไปถึง  ภาพที่เห็นคือร่างของบุรุษสองคนนอนแผ่หลาห่างกันไม่มากนัก  หนึ่งคนเขาไม่คุ้นหน้า  อีกหนึ่งคือทหารรุ่นน้อง  พันโททรงศักดิ์รุดเข้าไปจุดนั้นด้วยความเร่งรีบจนสะดุดล้มหลายครั้ง  ทว่ามันสายไปเสียแล้ว  ทั้งคู่ไม่หายใจแล้ว

“ไอ้ทะนง! ไอ้ทะนงตื่นสิวะ!!  ไอ้ทะนง!!!”  พันโททรงศักดิ์ทั้งร้องเรียกทั้งพยายามปฐมพยาบาลทหารรุ่นน้องเท่าที่สมองจะคิดออก  แต่กลับไม่เป็นผล 
 ร่างของผู้กองทะนงยังนอนแน่นิ่งในสภาพสะบักสะบอม  เขาและอีกคนซึ่งน่าจะเป็นศัตรู  ต่างก็สิ้นใจแล้ว  พันโททรงศักดิ์มิอาจทำสิ่งใดได้นอกจากร่ำไห้เพียงอย่างเดียว  หวนคิดถึงความหลังครั้งเก่า 
 
ตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จักกับผู้กองหนุ่มผู้นี้จนปัจจุบัน  คำปฏิญาณที่ผู้กองทะนงเคยพูดลอย ๆ ราวกับเปรยเล่น ๆ นั้น  เขารักษาและทำมันอย่างสุดความสามารถ  ทุ่มสุดตัวไม่กลัวตนเองถูกครหา  ยอมให้คนอื่นเข้าใจผิด  ถูกตราหน้าว่าทรยศ  ไม่ว่าเวลาไหน ผู้กองทะนงก็ยังยืนหยัดในสัตยาบันของตน

‘ผมเป็นทหารครับพี่ศักดิ์  หน้าที่ของผมคือเป็นรั้วคอยกั้นภัยจากภายนอกที่จะเข้ามาบ่อนทำลายชาติ  ขณะเดียวกันก็ต้องคอยสกัดกั้นไม่ให้ภัยที่อยู่ภายในสามารถลุกลามดั่งไฟโหมหญ้าได้  ผมว่านั่นล่ะหน้าที่ของทหารอย่างพวกเรา’  
ท่ามกลางเสียงร่ำไห้ของพันโททรงศักดิ์  ภิกษุชรารูปหนึ่งปรากฏกายขึ้นมองดูร่างของผู้กองทะนงด้วยอาการเวทนา  หลวงพ่อกล่ำนั่นเอง...

เหตุการณ์ความไม่สงบ ณ พนมดงรักครั้งนั้น  เมื่อสืบสาวราวเรื่องอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วพบว่ามันเป็นดั่งหมุดที่ปักเอาไว้และโยงด้วยด้ายสู่ความวุ่นวายทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้น  ผู้กระทำผิดถูกจับได้มากมาย  แต่ก็ต้องแลกกับหลายชีวิตที่เสียไปของทั้งทหารและตำรวจเช่นกัน

พลเอกสมาน  ถูกจับกุมข้อหาผลักดันและจัดจำหน่ายอาวุธสงครามรวมทั้งยาเสพติดเข้ามาบ่อนทำลายความสงบของคนในชาติ  เขายังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคดีปล้นธนาคารหกแห่ง  ซึ่งความจริงข้อนี้ถูกเปิดเผยโดยกลุ่มโจรที่ถูกจับตัวได้และสอบสวน  
ซ้ำยังมีปากคำของผู้กองสามารถที่บอกทุกอย่างโดยละเอียดราวกับเพิ่งสำนึกผิดคิดได้ ความผิดครั้งนี้ยังโยงไปถึงพันตรีเกิด  บุตรชายของพลโทกิตติที่ซุ่มเงียบแสร้งว่าถูกจับเป็นตัวประกันอีกด้วย  ทุกอย่างที่ผู้กองสามารถให้การล้วนเป็นความจริง  แต่มันก็สายไปเสียแล้ว  ทั้งสามถูกตัดสินประหารชีวิต  ทว่าภายหลังมีการแก้ไข เหลือเพียงจำคุกตลอดชีวิตไม่มีลดโทษ

พลโทกิตติ  เพื่อเป็นการชดใช้ความผิดที่ลูกชายก่อขึ้นในครั้งนี้  เขาเกษียณตัวเองออกจากการเป็นทหารก่อนกำหนด  แม้กฎหมายจะระบุว่าเขาไม่มีความผิดซ้ำกองทัพยังหมายใจจะมอบรางวัลเลื่อนตำแหน่งเป็นพลเอกให้  ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ที่ทำงานอยู่เบื้องหลังอย่างลับ ๆ ทว่าเจ้าตัวกลับปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า  “เลี้ยงลูกคนเดียวให้ดียังไม่ได้  ผมจะไปมีหน้าเป็นผู้นำใครที่ไหนได้อีก?”

พลโทวิวัฒน์  ภายนอกอาจดูเหมือนเขาร่วมมือกับพลเอกสมานหากแต่ความจริงแล้วไม่ใช่  เขาทำงานร่วมกับพลโทกิตติโดยไม่บอกใคร  ‘จิ้งจอก’  ที่พลโทกิตติเคยกล่าวถึงคือเขาผู้นี้นี่เอง  แน่นอนว่าทางกองทัพย่อมมอบทั้งยศตำแหน่งและรางวัลให้  แต่เขาเองก็ปฏิเสธเช่นกัน

พันโททรงศักดิ์  มีความดีความชอบในงานนี้ในฐานนะผู้ที่อยู่ยั้งรั้งไม่ให้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบลงเขาเข้ามาในเขตไทยได้  ทางกองทัพเลื่อนขั้น มอบเหรียญกล้าหาญแต่เขาปฏิเสธ  “ความจริงมันเป็นยังไงก็รู้กันอยู่  ผมไม่หน้าด้านพอหรอก”  นี่คือสิ่งที่เขาประกาศกร้าวต่อหน้าธารกำนัล

พลตำรวจตรีอเนก  จากการที่เขาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมมือและอำนวยความสะดวกทุกอย่างซ้ำยังช่วยสืบคดี  ทำให้คะแนนเสียงของเขาถล่มทลาย  และมีการกล่าวถึงว่า  เขาอาจจะเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยคนต่อไปก็เป็นได้

สารวัตรเจษ  ยังคงดำรงตำแหน่งเดิม  เขาให้เหตุผลว่าความสามารถของเขาคนเดียวไม่สามรรถจัดการเรื่องทั้งหมดให้คลี่คลายได้  อีกอย่าง พวกที่มีอาคมซึ่งเป็นลูกน้องของอสงไขยเองแท้จริงแล้วก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรมากนัก  รางวัลใด ๆ ไม่ขอรับ  แต่กลับขออย่างอื่นแทน

หมวดผดุง  ได้เข้าไปทำงานในส่วนกลางเป็นหนึ่งในคนสนิทของสารวัตรเจษตามคำขอของสารวัตรเจษเอง  ซึ่งมันเป็นคำขอเดียวที่ไม่ว่าใครจะค้าน  มือปราบจอมขมังเวทย์ก็ไม่ยอม

อสงไขย เมื่อสืบข้อมูลเชิงลึกจึงทราบว่าเขาเคยเป็นนักบวชผู้หนึ่งซ้ำยังเป็นคนไทย  แต่การที่ฝึกตนอย่างหนักหน่วงข้ามแดนไทย เขมร ลาวกลับไปกลับมารับเอาวิชาต่าง ๆ เข้าไปสุดท้ายก็เป็นมาร  ถูกว่าจ้างโดยพลเอกสมานให้ก่อสถานการณ์หวังให้เกิดสงครามระหว่างประเทศ  ไพร่พลทั้งหลายพลเอกสมานเป็นผู้จัดหาให้ทั้งสิ้น   ทว่า...ความต้องการที่แท้จริงของอดีตนักบวชผู้นี้  ไม่ใช่เงินทองแต่เป็นการขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดในบรรดาจอมขมังเวทย์  

ผู้กองทะนง  ถูกระบุว่าเสียชีวิตในหน้าที่  กองทหารจอมอาคมที่ถูกเรียกว่าเจตภูตจึงไม่มีอีกต่อไป  ข้อมูลระบุไว้เพียงเท่านี้...

(มีต่อนะครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่