'เพื่อไทย' ย้ำจะแก้ปัญหาประมง-พร้อมใช้KPI-งานวิจัยช่วยเกษตรกรให้มาก!
https://www.dailynews.co.th/news/2129786/
ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย “หมอชัย” เผยถ้าเป็นรัฐบาล จะตั้งทีมเจรจาแก้ปัญหาประมง จี้หน่วยงานรัฐควรมี KPI นำงานวิจัยดีๆ มาช่วยภาคการเกษตร พร้อมสนับสนุนทุนวิจัย และเปิดพื้นที่เล่นให้สตาร์ทอัพ-เกษตรก้าวหน้า
เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 66 นายสัตวแพทย์
ชัย วัชรงค์ นักวิชาการด้านการเกษตร ในฐานะคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงยุทธศาสตร์ “
เกษตรกรมั่งคั่ง” ของพรรคฯ ว่า ต้องผ่าตัดโครงสร้างการเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้ของเกษตรกร จากปัจจุบันมีรายได้เฉลี่ยไร่ละ 10,000 บาท ซึ่งถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับญี่ปุ่น-ไต้หวัน ดังนั้นจึงต้องการขยับขึ้นเป็น 3 เท่า (เพิ่มอีกไร่ละ 20,000 บาท) ภายใน 4 ปี ส่วนการจะไปสู่จุดนั้น ต้องเปลี่ยนโครงสร้างภาคการเกษตร ต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างตามที่กล่าวไปก่อนหน้านี้
นายสัตวแพทย์
ชัย กล่าวว่า ปัญหาที่ต้องพูดกัน คือ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร-ปศุสัตว์ เรามีมากมาย แต่มีประสิทธิภาพหรือไม่? และไม่มี KPI (ดัชนีชี้วัดความสำเร็จ) ไม่มี KPI ว่าเราใช้ข้าวพันธุ์อะไร ใส่ปุ๋ยกันอย่างไร ทำไมจึงได้ผลผลิตเฉลี่ย 540 กก./ไร่ อยู่แบบนี้ เมื่อไหร่จะไปถึง 1,200 กก./ไร่ เพื่อไม่ต้องใช้งบประมาณมาแทรกแซงราคาข้าว ดังนั้นในอนาคตหน่วยงานรัฐต้องมี KPI โดยใช้ข้อมูลของต่างประเทศมาเปรียบเทียบ
ก่อนหน้านี้ผู้ส่งออกข้าวบ่นเรื่องข้าวพื้นนุ่ม คือตลาดส่งออกต้องการข้าวพื้นนุ่ม แต่ไทยผลิตข้าวพื้นแข็งเยอะ ยกตัวอย่างคนต่างประเทศจะกินกับข้าวก่อน แล้วจึงค่อยพุ้ยข้าวสวยนุ่มๆ ตาม แต่คนไทยตักกับข้าวไปวางบนข้าวสวยที่แข็งหน่อยแล้วจึงกิน เพราะถ้าข้าวสวยนุ่มๆ มันจะเละ เรื่องนี้รู้กันทั้งนั้น แต่ไม่ได้ทำอะไรกัน เพราะไม่มีใครไปตามจี้เรื่อง KPI
นอกจากนี้ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ผู้เลี้ยงหมูรายเล็ก รายย่อย ล้มหายตายจากกันไปหมด เพราะเจอโรคระบาด เมื่อไม่ได้เป็นฟาร์มปิดที่มีระบบการบริหารจัดการ ระบบป้องกันเหมือนฟาร์มใหญ่ เจอโรค 1-2 ครั้ง กวาดเรียบหมด ภาครัฐช่วยอะไรไม่ได้
โดยปกติรายเล็ก รายย่อย เสียเปรียบรายใหญ่อยู่แล้ว เนื่องจากต้นทุนการเลี้ยงหมูสูงกว่า โดยอัตราการแลกเนื้อของรายเล็ก ต้องใช้อาหาร 4 กก. แลกเนื้อได้ 1 กก. แต่รายใหญ่ใช้อาหาร 2.5 กก. แลกเนื้อได้ 1 กก. ดังนั้นเวลาหมูขึ้นราคา รายใหญ่จะได้กำไรก่อน เพราะต้นทุนต่ำกว่า ส่วนรายเล็ก-รายย่อย จะได้กำไรหลังสุด (คนสุดท้าย) แต่ถ้าราคาหมูปรับลดลงเมื่อไหร่ รายเล็ก-รายย่อยจะขาดทุนก่อนเพื่อน เนื่องจากต้นทุนสูงกว่าเขา เวลามีโรคระบาดก็เจ๊งก่อน
จริงๆ แล้วหน่วยงานภาครัฐมีคนเก่งๆ เยอะ มีงานวิจัยดีๆ ก็มาก แต่นำมาใช้ นำมาปฏิบัติกันบ้างหรือเปล่า? หรือแม้แต่กรณีของกุ้งส่งออก ประเทศไทยเป็นเบอร์ต้นๆ ในการส่งออกกุ้งปีละ 6 แสนตัน แต่เจอโรคระบาด จึงลดลงมาเหลือประมาณ 2 แสนตันเท่านั้น และยังเป็นปัญหาเรื้อรัง เนื่องจากภาครัฐไม่สนับสนุนงบประมาณให้นักวิชาการเก่งๆ ในมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อศึกษาวิจัยแก้ปัญหาโรคระบาดในกุ้ง ตนเชื่อว่าถ้าใส่งบประมาณลงไปให้นักวิชาการศึกษาวิจัย เชื่อว่าแก้ปัญหาโรคระบาดในกุ้งได้อย่างแน่นอน
“
ถ้าเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะสนับสนุนงานวิจัยดีๆ ในภาคการเกษตร ให้มีการนำมาปฏิบัติจริง จะให้งบวิจัยและพัฒนาในเรื่องที่จำเป็น จะสนับสนุนคนรุ่นใหม่ๆ เกษตรก้าวหน้า และสตาร์ทอัพที่มีเทคโนโลยีทันสมัย มีแอปพลิเคชันใหม่ๆ ให้มีพื้นที่เล่นมากขึ้น”
นายสัตวแพทย์
ชัย ยังกล่าวถึงปัญหาของธุรกิจประมงด้วยว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังการรัฐประหารในเดือน พ.ค. 57 เจอแรงกดดันจากสหภาพยุโรป (อียู) และต้องการการยอมรับโดยเร็ว จึงต้องรีบยอมรับเงื่อนไขของ IUU ทำให้การประมงไทยต้องเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน โดยไม่มีแผนรองรับ ส่วนใหญ่ปรับตัวไม่ทัน จึงล้มหายตายจากไป จากเรือประมงกว่า 6 หมื่นลำ ตอนนี้เหลือแอคทีฟจริงๆ ประมาณ 8 ลำ แถมเจอกฎระเบียบเงื่อนไขต่างๆ จนไม่อยากนำเรือออกทะเล ส่งผลไปยังการส่งออกกุ้ง และอุตสาหกรรมกุ้งของไทย จากที่เคยส่งออกกุ้ง แต่ปัจจุบันต้องนำเข้าแล้ว
เนื่องจากนี้เงื่อนไขดังกล่าว ยังไปกระทบกับการประมงพื้นบ้าน 6.5 แสนครัวเรือน ที่ทำมาหากินใกล้ๆ ชายฝั่ง และเป็นเรือขนาดเล็ก ไม่ได้ออกไปหากินไกลๆ ในน่านน้ำสากล แต่ถูกรวบไปกับเรือประมงพาณิชย์ด้วย ดังนั้นถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะตั้งทีมเข้าไปเจรจาเพื่อขอเวลาในการปรับตัว และต้องแยกเรือประมงพื้นบ้านออกมาจากเงื่อนไขนั้น
“ถามว่าก่อนรัฐประหารปี 57 จำนวนเรือประมงของไทยมีมากเกินไปหรือเปล่า กับปริมาณของสัตว์น้ำ ผมไม่รู้ว่ามีเรือประมงมากเกินไปหรือเปล่า แต่รู้สึกได้ว่า เขามีความสุขกับการประกอบอาชีพประมงกันมากกว่าหลังรัฐประหาร” นายสัตวแพทย์
ชัย กล่าว.
ธีรัจชัย ยันยังอยู่ก้าวไกล หลังไร้ชื่อปาร์ตี้ลิสต์ รับอาสาลงเขต ชิง ส.ส.หนองจอก-มีนบุรี
https://www.matichon.co.th/politics/news_3887827
ธีรัจชัย ยันยังอยู่ก้าวไกล หลังไร้ชื่อปาร์ตี้ลิสต์ รับอาสาลงเขต ชิง ส.ส.หนองจอก-ลาดกระบัง-มีนบุรี
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม นาย
ธีรัจชัย พันธุมาศ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเปิดเผยว่า
ตามที่พรรคก้าวไกลได้ประกาศรายชื่อ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค จำนวน 100 รายชื่ออย่างไม่เป็นทางการ เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2566 แต่ไม่ปรากฏชื่อผม และอดีต ส.ส.ที่เคยมีบทบาทสำคัญในสภาหลายท่านในบัญชีรายชื่อดังกล่าว
พี่น้องสื่อมวลชนได้นำไปเสนอข่าวในมุมต่างๆ หลากหลาย มีพี่น้องประชาชนสอบถามมายังผมจำนวนมากว่า ผมจะไม่ลง ส.ส.แล้วหรือ? จะไม่ทำงานการเมืองแล้วหรือ? และคำถามอื่นๆ อีกมากมาย
ผมขอเรียนว่า ผมยังคง สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกลอยู่เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนบทบาทจากผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ มาสมัครเป็น ส.ส.แบบแบ่งเขต ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เขตเลือกตั้งที่ 18 ได้แก่ เขตหนองจอก (เฉพาะแขวงโคกแฝด แขวงลำผักชี และแขวงลำต้อยติ่ง) เขตลาดกระบัง (เฉพาะแขวงลำปลาทิว) เขตมีนบุรี (เฉพาะแขวงแสนแสบ) ครับ
ขอให้พี่น้องประชาชนที่เคยเห็นการทำงานผมในบทบาท ส.ส.ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ที่ผมได้ทำงานอย่างทุ่มเท ยืนหยัดเคียงข้างประชาชนมาตลอด เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ไม่เหมือนเดิม ให้ดีกว่าเดิม ได้โปรดให้การสนับสนุนผม ให้กลับเข้าสภาและทำงานต่อให้สำเร็จด้วยครับ”
https://www.facebook.com/teerajchai.mfp/posts/pfbid075S5Be2qtU1nYeKQBpT5E8MJvwmLEX7guw3dMuj6zyM7eNGPCGvGP7GCodLsfPAgl
‘ทีทีบี’ ห่วงดอกเบี้ยขาขึ้น เเนะ ออกมาตรการช่วยกลุ่มเปราะบาง
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/340083
นา
ยนริศ สถาผลเดชา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี กล่าวว่า ความเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามสำหรับเศรษฐกิจไทย คือ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และสินเชื่อที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเติบโตค่อนข้างเร็ว เมื่อทิศทางดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ภาระหนี้ของกลุ่มรายได้น้อย กลุ่มเกษตรกร และภาคธุรกิจขนาดเล็ก ที่ยังจำเป็นต้องก่อหนี้เพิ่มเพื่อพยุงการ0บริโภค และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจ ขณะที่มาตรการดูแลลูกหนี้ ทั้งในส่วนของประชาชนและภาคธุรกิจ กำลังทยอยหมดลงตั้งแต่เดือนเมษายนนี้ ถึงสิ้นปี ดังนั้นนโยบายทางเศรษฐกิจที่สำคัญในปีนี้ ต้องมีมาตรการบรรเทาค่าครองชีพแก่กลุ่มครัวเรือน และดูแลกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กที่เปราะบาง อาทิ การลดค่าครองชีพในหมวดสินค้าจำเป็น การช่วยเหลือค่าน้ำค่าไฟฟ้า การช่วยผ่อนคลายต้นทุนของธุรกิจ SMEs และมาตรการการทางการเงิน เพื่อดูแลลูกหนี้กลุ่มเปราะบางเป็นรายกรณี เป็นต้น
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในปีนี้ ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ที่ 3.4% จากการเปิดประเทศของจีนช่วยหนุนการท่องเที่ยวให้ฟื้นตัวเร็ว คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแตะ 30 ล้านคน โดยความเสี่ยงหลักในปีนี้เป็นการส่งออกสินค้าไทยมีโอกาสหดตัว ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และภาวะหนี้ครัวเรือนสูง
JJNY : 'พ.ท.'ย้ำจะแก้ปัญหาประมง│ธีรัจชัยยันยังอยู่ก้าวไกล│‘ทีทีบี’ห่วงดอกเบี้ยขาขึ้น│จับตาอนาคตความสัมพันธ์จีน-รัสเซีย
https://www.dailynews.co.th/news/2129786/
ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย “หมอชัย” เผยถ้าเป็นรัฐบาล จะตั้งทีมเจรจาแก้ปัญหาประมง จี้หน่วยงานรัฐควรมี KPI นำงานวิจัยดีๆ มาช่วยภาคการเกษตร พร้อมสนับสนุนทุนวิจัย และเปิดพื้นที่เล่นให้สตาร์ทอัพ-เกษตรก้าวหน้า
เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 66 นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ นักวิชาการด้านการเกษตร ในฐานะคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงยุทธศาสตร์ “เกษตรกรมั่งคั่ง” ของพรรคฯ ว่า ต้องผ่าตัดโครงสร้างการเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้ของเกษตรกร จากปัจจุบันมีรายได้เฉลี่ยไร่ละ 10,000 บาท ซึ่งถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับญี่ปุ่น-ไต้หวัน ดังนั้นจึงต้องการขยับขึ้นเป็น 3 เท่า (เพิ่มอีกไร่ละ 20,000 บาท) ภายใน 4 ปี ส่วนการจะไปสู่จุดนั้น ต้องเปลี่ยนโครงสร้างภาคการเกษตร ต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างตามที่กล่าวไปก่อนหน้านี้
นายสัตวแพทย์ชัย กล่าวว่า ปัญหาที่ต้องพูดกัน คือ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับภาคการเกษตร-ปศุสัตว์ เรามีมากมาย แต่มีประสิทธิภาพหรือไม่? และไม่มี KPI (ดัชนีชี้วัดความสำเร็จ) ไม่มี KPI ว่าเราใช้ข้าวพันธุ์อะไร ใส่ปุ๋ยกันอย่างไร ทำไมจึงได้ผลผลิตเฉลี่ย 540 กก./ไร่ อยู่แบบนี้ เมื่อไหร่จะไปถึง 1,200 กก./ไร่ เพื่อไม่ต้องใช้งบประมาณมาแทรกแซงราคาข้าว ดังนั้นในอนาคตหน่วยงานรัฐต้องมี KPI โดยใช้ข้อมูลของต่างประเทศมาเปรียบเทียบ
ก่อนหน้านี้ผู้ส่งออกข้าวบ่นเรื่องข้าวพื้นนุ่ม คือตลาดส่งออกต้องการข้าวพื้นนุ่ม แต่ไทยผลิตข้าวพื้นแข็งเยอะ ยกตัวอย่างคนต่างประเทศจะกินกับข้าวก่อน แล้วจึงค่อยพุ้ยข้าวสวยนุ่มๆ ตาม แต่คนไทยตักกับข้าวไปวางบนข้าวสวยที่แข็งหน่อยแล้วจึงกิน เพราะถ้าข้าวสวยนุ่มๆ มันจะเละ เรื่องนี้รู้กันทั้งนั้น แต่ไม่ได้ทำอะไรกัน เพราะไม่มีใครไปตามจี้เรื่อง KPI
นอกจากนี้ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ผู้เลี้ยงหมูรายเล็ก รายย่อย ล้มหายตายจากกันไปหมด เพราะเจอโรคระบาด เมื่อไม่ได้เป็นฟาร์มปิดที่มีระบบการบริหารจัดการ ระบบป้องกันเหมือนฟาร์มใหญ่ เจอโรค 1-2 ครั้ง กวาดเรียบหมด ภาครัฐช่วยอะไรไม่ได้
โดยปกติรายเล็ก รายย่อย เสียเปรียบรายใหญ่อยู่แล้ว เนื่องจากต้นทุนการเลี้ยงหมูสูงกว่า โดยอัตราการแลกเนื้อของรายเล็ก ต้องใช้อาหาร 4 กก. แลกเนื้อได้ 1 กก. แต่รายใหญ่ใช้อาหาร 2.5 กก. แลกเนื้อได้ 1 กก. ดังนั้นเวลาหมูขึ้นราคา รายใหญ่จะได้กำไรก่อน เพราะต้นทุนต่ำกว่า ส่วนรายเล็ก-รายย่อย จะได้กำไรหลังสุด (คนสุดท้าย) แต่ถ้าราคาหมูปรับลดลงเมื่อไหร่ รายเล็ก-รายย่อยจะขาดทุนก่อนเพื่อน เนื่องจากต้นทุนสูงกว่าเขา เวลามีโรคระบาดก็เจ๊งก่อน
จริงๆ แล้วหน่วยงานภาครัฐมีคนเก่งๆ เยอะ มีงานวิจัยดีๆ ก็มาก แต่นำมาใช้ นำมาปฏิบัติกันบ้างหรือเปล่า? หรือแม้แต่กรณีของกุ้งส่งออก ประเทศไทยเป็นเบอร์ต้นๆ ในการส่งออกกุ้งปีละ 6 แสนตัน แต่เจอโรคระบาด จึงลดลงมาเหลือประมาณ 2 แสนตันเท่านั้น และยังเป็นปัญหาเรื้อรัง เนื่องจากภาครัฐไม่สนับสนุนงบประมาณให้นักวิชาการเก่งๆ ในมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อศึกษาวิจัยแก้ปัญหาโรคระบาดในกุ้ง ตนเชื่อว่าถ้าใส่งบประมาณลงไปให้นักวิชาการศึกษาวิจัย เชื่อว่าแก้ปัญหาโรคระบาดในกุ้งได้อย่างแน่นอน
“ถ้าเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะสนับสนุนงานวิจัยดีๆ ในภาคการเกษตร ให้มีการนำมาปฏิบัติจริง จะให้งบวิจัยและพัฒนาในเรื่องที่จำเป็น จะสนับสนุนคนรุ่นใหม่ๆ เกษตรก้าวหน้า และสตาร์ทอัพที่มีเทคโนโลยีทันสมัย มีแอปพลิเคชันใหม่ๆ ให้มีพื้นที่เล่นมากขึ้น”
นายสัตวแพทย์ชัย ยังกล่าวถึงปัญหาของธุรกิจประมงด้วยว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังการรัฐประหารในเดือน พ.ค. 57 เจอแรงกดดันจากสหภาพยุโรป (อียู) และต้องการการยอมรับโดยเร็ว จึงต้องรีบยอมรับเงื่อนไขของ IUU ทำให้การประมงไทยต้องเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน โดยไม่มีแผนรองรับ ส่วนใหญ่ปรับตัวไม่ทัน จึงล้มหายตายจากไป จากเรือประมงกว่า 6 หมื่นลำ ตอนนี้เหลือแอคทีฟจริงๆ ประมาณ 8 ลำ แถมเจอกฎระเบียบเงื่อนไขต่างๆ จนไม่อยากนำเรือออกทะเล ส่งผลไปยังการส่งออกกุ้ง และอุตสาหกรรมกุ้งของไทย จากที่เคยส่งออกกุ้ง แต่ปัจจุบันต้องนำเข้าแล้ว
เนื่องจากนี้เงื่อนไขดังกล่าว ยังไปกระทบกับการประมงพื้นบ้าน 6.5 แสนครัวเรือน ที่ทำมาหากินใกล้ๆ ชายฝั่ง และเป็นเรือขนาดเล็ก ไม่ได้ออกไปหากินไกลๆ ในน่านน้ำสากล แต่ถูกรวบไปกับเรือประมงพาณิชย์ด้วย ดังนั้นถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะตั้งทีมเข้าไปเจรจาเพื่อขอเวลาในการปรับตัว และต้องแยกเรือประมงพื้นบ้านออกมาจากเงื่อนไขนั้น
“ถามว่าก่อนรัฐประหารปี 57 จำนวนเรือประมงของไทยมีมากเกินไปหรือเปล่า กับปริมาณของสัตว์น้ำ ผมไม่รู้ว่ามีเรือประมงมากเกินไปหรือเปล่า แต่รู้สึกได้ว่า เขามีความสุขกับการประกอบอาชีพประมงกันมากกว่าหลังรัฐประหาร” นายสัตวแพทย์ชัย กล่าว.
ธีรัจชัย ยันยังอยู่ก้าวไกล หลังไร้ชื่อปาร์ตี้ลิสต์ รับอาสาลงเขต ชิง ส.ส.หนองจอก-มีนบุรี
https://www.matichon.co.th/politics/news_3887827
ธีรัจชัย ยันยังอยู่ก้าวไกล หลังไร้ชื่อปาร์ตี้ลิสต์ รับอาสาลงเขต ชิง ส.ส.หนองจอก-ลาดกระบัง-มีนบุรี
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม นายธีรัจชัย พันธุมาศ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเปิดเผยว่า
ตามที่พรรคก้าวไกลได้ประกาศรายชื่อ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค จำนวน 100 รายชื่ออย่างไม่เป็นทางการ เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2566 แต่ไม่ปรากฏชื่อผม และอดีต ส.ส.ที่เคยมีบทบาทสำคัญในสภาหลายท่านในบัญชีรายชื่อดังกล่าว
พี่น้องสื่อมวลชนได้นำไปเสนอข่าวในมุมต่างๆ หลากหลาย มีพี่น้องประชาชนสอบถามมายังผมจำนวนมากว่า ผมจะไม่ลง ส.ส.แล้วหรือ? จะไม่ทำงานการเมืองแล้วหรือ? และคำถามอื่นๆ อีกมากมาย
ผมขอเรียนว่า ผมยังคง สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกลอยู่เหมือนเดิม แต่เปลี่ยนบทบาทจากผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ มาสมัครเป็น ส.ส.แบบแบ่งเขต ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เขตเลือกตั้งที่ 18 ได้แก่ เขตหนองจอก (เฉพาะแขวงโคกแฝด แขวงลำผักชี และแขวงลำต้อยติ่ง) เขตลาดกระบัง (เฉพาะแขวงลำปลาทิว) เขตมีนบุรี (เฉพาะแขวงแสนแสบ) ครับ
ขอให้พี่น้องประชาชนที่เคยเห็นการทำงานผมในบทบาท ส.ส.ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ที่ผมได้ทำงานอย่างทุ่มเท ยืนหยัดเคียงข้างประชาชนมาตลอด เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ไม่เหมือนเดิม ให้ดีกว่าเดิม ได้โปรดให้การสนับสนุนผม ให้กลับเข้าสภาและทำงานต่อให้สำเร็จด้วยครับ”
https://www.facebook.com/teerajchai.mfp/posts/pfbid075S5Be2qtU1nYeKQBpT5E8MJvwmLEX7guw3dMuj6zyM7eNGPCGvGP7GCodLsfPAgl
‘ทีทีบี’ ห่วงดอกเบี้ยขาขึ้น เเนะ ออกมาตรการช่วยกลุ่มเปราะบาง
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/340083
นายนริศ สถาผลเดชา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี กล่าวว่า ความเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามสำหรับเศรษฐกิจไทย คือ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และสินเชื่อที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเติบโตค่อนข้างเร็ว เมื่อทิศทางดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ภาระหนี้ของกลุ่มรายได้น้อย กลุ่มเกษตรกร และภาคธุรกิจขนาดเล็ก ที่ยังจำเป็นต้องก่อหนี้เพิ่มเพื่อพยุงการ0บริโภค และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจ ขณะที่มาตรการดูแลลูกหนี้ ทั้งในส่วนของประชาชนและภาคธุรกิจ กำลังทยอยหมดลงตั้งแต่เดือนเมษายนนี้ ถึงสิ้นปี ดังนั้นนโยบายทางเศรษฐกิจที่สำคัญในปีนี้ ต้องมีมาตรการบรรเทาค่าครองชีพแก่กลุ่มครัวเรือน และดูแลกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กที่เปราะบาง อาทิ การลดค่าครองชีพในหมวดสินค้าจำเป็น การช่วยเหลือค่าน้ำค่าไฟฟ้า การช่วยผ่อนคลายต้นทุนของธุรกิจ SMEs และมาตรการการทางการเงิน เพื่อดูแลลูกหนี้กลุ่มเปราะบางเป็นรายกรณี เป็นต้น
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในปีนี้ ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ที่ 3.4% จากการเปิดประเทศของจีนช่วยหนุนการท่องเที่ยวให้ฟื้นตัวเร็ว คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแตะ 30 ล้านคน โดยความเสี่ยงหลักในปีนี้เป็นการส่งออกสินค้าไทยมีโอกาสหดตัว ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และภาวะหนี้ครัวเรือนสูง