เหตุที่ศาสนาอิสลามมีความมั่นคงและไม่สลายหายไปภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน


       เยาวชนมุสลิมควรพากภูมิใจที่เป็นชาวไทยและมีโอกาสได้นับถือศาสนาอิสลาม ถึงแม้ว่าจะถูกเรียกว่าเป็นประชาชนชาวไทยส่วนน้อยก็ตามแต่ชาวไทยมุสลิมทุกๆคน จะต้องมีความรักประเทศชาติไทยและดำรงค์ไว้ด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงรับศาสนาอิสลามให้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ ภายใต้ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย

จาก “อุดมการณ์ราชาชาตินิยม” ในสังคมมุสลิมไทย จากรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ถึง พ.ศ.2519" แจ้งให้ทราบว่า; อุมดมการณ์ราชาชาตินิยม มีพลวัตที่มีลักษณะยืดหยุ่นยาวนานมากพอที่จะส่งผลให้กลุ่มทางสังคม อันหลากหลายสามารถที่จะปรับเปลี่ยน รวมถึงสร้างสรรค์ให้สอดคล้องกับรากฐานทางความเชื่อของสังคม น้ันๆ ได้ สังคมมุสลิมไทยก็ได้รับเอาแนวคิดดังกล่าวเข้ามาปรับเปล่ียนเพื่อให้เข้ากับ “ความเป็นมุสลิม” ในประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน 
 
สังคมมุสลิมไทยได้เริ่มพัฒนาระบบความคิดให้กลมกลืนกับโครงการขัดเกลาทางสังคมของ กลุ่มชนช้ันนำไทยมานับต้ังแต่ยุคของรัฐสมบูรณาญา
สิทธิราชย์ ชนชั้นนำยอมรับแนวคิด “พระบรมราชูปถัมภ์” ไปพร้อมกับการสร้างให้ “ราชาชาตินิยม” เป็นอุดมคติที่สัมพันธ์กับความเป็นมุสลิมในสังคมไทย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทำให้อุดมการณ์ราชาชาตินิยมสัมพันธ์กับมุสลิมผ่าน “พระบรมราชูปถัมภ์” โดยเน้นให้มุสลิมตอบแทนด้วยการเสียสละเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พร้อมกันนั้น หลักการของศาสนาอิสลามก็ได้ถูกตีความให้สอดคล้องกับแนวทางดังกล่าวด้วยเช่นกัน 

ในช่วงต้นรัชกาลท่ี 9 บทบาทของการเป็นผู้อุปถัมภ์ศาสนาของพระองค์แสดงออกผ่านการสนับสนุน “เสรีภาพทางศาสนา” อย่างเปิดเผย เพื่อตอบสนองบริบทของการเมืองในเวลาน้ัน อุดมการณ์ราชาชาตินิยม ถูกตีความผ่านหลักการศาสนาอีกครั้งในนามของเสรีภาพ กอปรกับการอ้างความชอบธรรมจากการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย สัญลักษณ์ของความเป็นมุสลิมในช่วงนี้ ให้ความสาคัญไปที่การสร้างความมั่นคงให้แก่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันท่ีจะรับประกันสิทธิในการนับถือศาสนาเพื่อสกัดการไหลบ่า ของกระแสความคิดสังคมนิยม 

ศาสนาอิสลามคืบคลานเข้าสู่ประเทศจีนในช่วงราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่ง (618–1279) โดยผ่านเส้นทางสายไหมทางบกและทางทะเล พ่อค้าชาวอาหรับและชาวเปอร์เซียสร้างสุสานและมัสยิด (ผสมผสานสถาปัตยกรรมอาหรับและจีนแบบดั้งเดิม) อรับมุสลิมแต่งงานกับชาวจีนในท้องถิ่น และเลี้ยงดูมุสลิม เป็นผู้ที่พูดภาษาจีนรุ่นแรก

จีนประสบกับวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรม ชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่น ๆ มากกว่าหนึ่งล้านคนถูกควบคุมตัวในค่ายกักกันขนาดใหญ่ในจังหวัดซินเจียน ซึ่งพวกเขาต้องเผชิญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนนับไม่ถ้วน จากการบังคับใช้แรงงาน การบังคับทำหมัน และการทำลายวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ทางศาสนาของพวกเขา

ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม อิสลามและศาสนาอื่นๆ ทั้งหมดในประเทศ รวมทั้งศาสนาจีนดั้งเดิม ถูกกลุ่มจีนคอมมิวนิสต์ ผู้ไม่เชื่อพระเจ้าข่มเหง ซึ่งพยายามกำจัดพวกมุสลิมผ่านการรณรงค์ที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าและต่อต้านศาสนา ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่ไม่ประสพความสำเร็จ เนื่อง จากชาวจีนมุสลิมรักษาวินัยในการถือศาสนาและประเพณีการปฏิบัติศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด

ชาวมุสลิมเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศจีน คิดเป็นร้อยละ 1.6 ถึง 2 ของประชากรทั้งหมด (21,667,000-28,210,795) ตามการประมาณการต่างๆ แม้ว่าชาวมุสลิมหุยเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด แต่กลุ่มมุสลิมที่มีอยู่อย่างหนาแน่นมากที่สุดอยู่ในซินเจียง ซึ่งมีประชากรชาวอุยกูร์อยู่เป็นจำนวนมากมีนักท่อง เที่ยว ชาวมุสลิมจำนวนมากจากทั่วโลกเดินทางมายังประเทศจีนทุกปีเนื่องจากมีทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวของชาวมุสลิมที่อุดมสมบูรณ์ นอกจากแหล่งมรดกโลกที่มีชื่อเสียงแล้ว จีนยังมีมัสยิด 34,000 แห่ง ที่นักท่องเที่ยวชาวมุสลิมสามารถเยี่ยมชมเชิงลึกและทำการละหมาดที่นั่นได้   

การที่ศาสนาอิสลามมีความมั่นคงและไม่สลายหายไปในระบอบสังคมนิยม (คอมมิวนิสต์) ก็เพราะว่า ชาวจีนมุสลิมนับถือและศรัทธาต่อศาสนาอิสลามโดยการปฏิบัติศาสนกิจอย่างมีวินัยและไม่ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรมภายใต้ระบบการปกครองของจีนคอมมิวนิสต์

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่