วิภังคสูตร
อริยมรรค ๘
พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง จักจำแนก
อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังอริยมรรคนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุพวกนั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นไฉน? คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ.
[๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็
สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน? ความรู้ในทุกข์ ในทุกขสมุทัย
ในทุกขนิโรธ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ.
[๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็
สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน? ความดำริในการออกจากกาม
ความดำริในอันไม่พยาบาท ความดำริในอันไม่เบียดเบียน นี้เรียกว่าสัมมาสังกัปปะ.
[๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็
สัมมาวาจาเป็นไฉน? เจตนาเครื่องงดเว้นจากพูดเท็จ
พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ นี้เรียกว่า สัมมาวาจา.
[๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็
สัมมากัมมันตะเป็นไฉน? เจตนาเครื่องงดเว้นจากปาณา-
*ติบาต อทินนาทาน จากอพรหมจรรย์ นี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ.
[๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็
สัมมาอาชีวะเป็นไฉน? อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ละการ
เลี้ยงชีพที่ผิดเสีย สำเร็จชีวิตอยู่ด้วยการเลี้ยงชีพที่ชอบ นี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ.
[๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สัมมาวายามะเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ยังฉันทะ
ให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามก
ที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด
บังเกิดขึ้น พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน
เพิ่มพูน ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ.
[๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็
สัมมาสติเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณา
เห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสใน
โลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึง
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มี
สัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
เนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย นี้
เรียกว่า สัมมาสติ.
[๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็
สัมมาสมาธิเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม
สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอ
บรรลุทุติย-
*ฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตก
วิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอ
มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วย
นามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มี
อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข เธอ
บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์
และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ.
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ท่านผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายครับ ในอริยมรรคมีองค์ 8 นี้ อย่าลืมเจริญสัมมาสมาธิ อันเป็นธรรมที่ควรเจริญตามพุทธดำรัสด้วยนะครับ ถ้าตามมาตรฐานที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ หากยึดเอาพุทธพจน์เป็นสำคัญ ก็ไม่พ้นจากการบรรลุ ปฐมฌาณ เป็นเบื้องต้น มีวิตกวิจาร ปีติสุขอันเกิดแต่วิเวก
บรรลุทุติยฌาณ ทิ้งวิตกวิจารไป มีความผ่องใสแห่งจิตภายใน มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ เป็นต้น
จิตที่มีสัมมาสามธิจะเป็นจิตที่ตั้งมั่น อ่อนโยน ควรแก่การทำงาน จะทำให้เกิดยถาภูตญาณทัสสนะ คือ ความรู้เห็นตามความเป็นจริง เมื่อจิตตั้งมั่น อ่อนโยน ควรแก่การทำงาน หากออกจากสมาธิแล้ว นำไปเจริญวิปัสสนา ก็จะเห็นความเกิดดับของรูปนามตามที่เป็นจริง ชัดเจน แจ่มแจ้ง เห็นโดยปราศจากม่านความคิด เห็นโดยปราศจากความขุ่นมัวของจิต
เมื่อจิตเห็นความเกิดดับบ่อยเข้าๆๆ นานเข้าๆๆ ถูกหวยแล้วดีใจก็ดับไป เสียหวยแล้วดีใจก็ดับไป มีคนรักคนชื่นชมก็ดีใจแล้วดับไป มีคนชังคนด่าทอก็เสียใจแล้วดับไป ประสบอารมณ์อะไรก็ตามในแต่ละวันๆ ก็เห็นชัดเจนด้วยจิตที่ตั้งมั่น อ่อนโยน ควรแก่การทำงาน ว่าทั้งหลายทั้งปวงผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ผ่านไปแล้วก็ผ่านมา เมื่อเห็นนานเข้าๆ
"ความเบื่อหน่ายในสังขารความปรุงแต่งทั้งปวง ย่อมเกิดขึ้น" เพราะว่าความปรุงแต่งภายในจิตทั้งปวงแต่ละวันๆ ย่อมเกิดขึ้นดับไป เป็นธรรมดา หากยึดมั่นถือมั่นความปรุงแต่งเหล่านั้นว่าอันนั้นเป็นเรา อันนี้เป็นของเรา บังคับบัญชาให้อยู่ในความครอบครองของเรา ย่อมไม่เป็นไปตามใจหวัง เพราะทั้งหลายทั้งปวงตลอดจนโลกทั้ง 3 ไม่ว่ากามโลก รูปโลก อรูปโลก ย่อมเกิดขึ้นดับไปเป็นธรรมดา
จิตเมื่อรู้เช่นเห็นชาติขนาดนี้ย่อมเบื่อหน่าย เกิดนิพพิทาญาณ
เมื่อเบื่อหน่ายสังขารความปรุงแต่งในรูปธรรมนามธรรมทั้งปวงหนักเข้าๆๆ จะตะกายฝาจะให้พ้นไปอย่างไรก็ไม่ได้ เพราะความตะกายฝาจะให้พ้นไปก็เป็นสังขารด้านดีความปรุงแต่งอีกรูปแบบหนึ่งอีกเช่นกัน จะวิ่งหนีความเบื่อหน่ายนั้นไปอย่างไรก็ไม่พ้น เพราะการจะวิ่งหนี ก็เป็นความปรุงแต่งอีกด้านหนึ่งอีกเช่นกัน เมื่อจิตเห็นด้วยปัญญาอันแจ่มแจ้งละเอียดลงไปอีกว่า วิ่งหนีอย่างไรมันก็ไม่พ้น เบื่อหน่ายสังขารความปรุงแต่งขนาดไหนมันก็หนีไปไม่ได้ เพราะมันก็คือสังขารอีกรูปแบบหนึ่ง ขั้นต่อไปจิตก็จะเริ่มปล่อยวาง วางเฉยมันแล้วทั้งด้านบวก + และด้านลบ -
ความรู้สึกดีใจผ่านมา จิตก็รับรู้แล้ววางเฉยมันไป เพราะมันก็สักแต่ว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ความรู้สึกเสียใจผ่านมา จิตก็รับรู้แล้ววางเฉยมันไป เพราะมันก็สักแต่ว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเช่นกัน จิตจะเริ่มคลายกำหนัดเพราะการวางเฉยในสังขารความปรุงแต่งทั้งปวง เปรียบแบบโลกๆ ภาพหยาบๆ เหมือนว่า คนโหยหาความรัก แต่ผิดหวังเรื่อยมาๆ ช้ำรักมาจนชิน จิตใจเริ่มหมดหวัง จิตใจเริ่มด้านชา พอมีรักใหม่ก็ไม่หวังละ เพราะช้ำรักมาจนชิน จิตเริ่มคลายกำหนัดในการโหยหาความรัก ปล่อยวางความรัก และอยู่ด้วยตัวเอง อยู่กับตัวเอง อยู่คนเดียวมากขึ้น ไม่มีคู่ก็ไม่เป็นไร เป็นต้น
จิตที่ปล่อยวางในอารมณ์ ปล่อยวางในความปรุงแต่งในจิตต่างๆ คือความปรุงแต่งมีมาตามปกติ แต่จิตมันไม่เอา ไม่ยินดียินร้าย จะเห็นอารมณ์ทั้งหลายเป็นเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ แต่จิตวางเฉยอยู่ ถึงจุดหนึ่ง จิตจะตัดสินบอกในใจตนเองว่า พอแล้ว ถอนแล้ว พร้อมถอดถอนบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเนื้อในที่ห่อหุ้มจิตอยู่ เหมือนลูกไก่ที่โตมากแล้วเจาะเปลือกไข่ออกมา หรือเหมือนยานอาวกาศที่บินขึ้นไปจนหลุดพ้นแล้วซึ่งแรงดึงดูดของโลก เปลือกไข่ หรือแรงดึงดูดของโลก เปรียบเหมือนอาสวะกิลสที่ห่อหุ้มจิตอยู่ นั่นคือ เมื่อจิตคลายกำหนัดแล้วย่อมหลุดพ้น หลุดพ้นแล้วจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง หลุดพ้นแล้วจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 หลุดพ้นแล้วจากความยึดมั่นถือมั่นในจิต หลุดพ้นแล้วจากความยึดมั่นถือมั่นในนิพพาน หลุดพ้นจากเปลือกไข่กะเปาะของอวิชชาที่ห่อหุ้มจิตนั่นเอง
พอจิตถอดถอนอาสวะกิเลสตามส่วน แต่ละระดับ หรือทั้งหลายทั้งปวงหมดสิ้น ออกไปจากจิตแล้ว จิตจะรับรู้ว่าบางสิ่งบางอย่างมีอยู่ แต่กำหนดหมายไม่ได้ ไม่มีนิมิตหมาย ไม่มีขอบเขต เพราะนอกเหนือคำว่าขอบเขต นอกเหนือคำว่านิมิตหมาย กำหนดเบื้องต้นไม่ได้ เบื้องปลายไม่ได้ หากเปรียบเทียบก็เปรียบเหมือนลูกไก่ ที่เจาะเปลือกไข่ออกมาสู่โลกภายนอก ย่อมเห็นอีกมิติหนึ่งที่อยู่นอกฟองไข่นั้น ว่ากว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ไม่มีอะไรทั้งปวง ไม่มีรูปธรรม ไม่มีนามธรรม มีสิ่งที่สัมผัสได้อย่างเดียวเท่านั้นคือ "ใจ" จบ หมดสิ้น
ดังที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อธรรมเป็นที่สิ้นไป ๑- เกิดขึ้นแล้ว ญาณ
@๑. อรหัตผล
ในธรรมเป็นที่สิ้นไป อันนั้นแม้ใด มีอยู่ เรากล่าวญาณแม้นั้นว่า มีเหตุเป็นที่
อิงอาศัย มิได้กล่าวว่า ไม่มีเหตุเป็นที่อิงอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็อะไรเล่า
เป็นเหตุที่อิงอาศัยแห่งญาณในธรรมเป็นที่สิ้นไป ควรกล่าวว่า วิมุตติ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เรากล่าวแม้ซึ่งวิมุตติว่ามีเหตุที่อิงอาศัย มิได้กล่าวว่าไม่มีเหตุที่อิงอาศัย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็อะไรเล่า เป็นเหตุที่อิงอาศัยแห่งวิมุตติ ควรกล่าวว่า วิราคะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวแม้ซึ่งวิราคะว่ามีเหตุที่อิงอาศัย มิได้กล่าวว่าไม่มีเหตุที่
อิงอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็อะไรเล่า เป็นเหตุที่อิงอาศัยแห่งวิราคะ ควร
กล่าวว่า นิพพิทา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวแม้ซึ่งนิพพิทาว่ามีเหตุที่อิงอาศัย
มิได้กล่าวว่าไม่มีเหตุที่อิงอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็อะไรเล่า เป็นเหตุที่อิงอาศัย
แห่งนิพพิทา ควรกล่าวว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวแม้
ซึ่งยถาภูตญาณทัสสนะว่า มีเหตุที่อิงอาศัย มิได้กล่าวว่าไม่มีเหตุที่อิงอาศัย ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย
ก็อะไรเล่า เป็นเหตุที่อิงอาศัยแห่งยถาภูตญาณทัสสนะ ควรกล่าวว่า
สมาธิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวแม้ซึ่งสมาธิว่ามีเหตุที่อิงอาศัย มิได้กล่าวว่า
ไม่มีเหตุที่อิงอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็อะไรเล่า เป็นเหตุที่อิงอาศัยแห่งสมาธิ
ควรกล่าวว่า สุข ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวแม้ซึ่งสุขว่า มีเหตุที่อิงอาศัย
มิได้กล่าวว่าไม่มีเหตุที่อิงอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็อะไรเล่า เป็นเหตุที่อิงอาศัย
แห่งสุข ควรกล่าวว่า ปัสสัทธิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวแม้ซึ่งปัสสัทธิว่า
มีเหตุที่อิงอาศัย มิได้กล่าวว่า ไม่มีเหตุที่อิงอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็อะไรเล่า
เป็นเหตุที่อิงอาศัยแห่งปัสสัทธิ ควรกล่าวว่า ปีติ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าว
แม้ซึ่งปีติว่ามีเหตุที่อิงอาศัย มิได้กล่าวว่าไม่มีเหตุที่อิงอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็อะไรเล่า เป็นเหตุที่อิงอาศัยแห่งปีติ ควรกล่าวว่า ความปราโมทย์ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เรากล่าวแม้ซึ่งความปราโมทย์ ว่ามีเหตุที่อิงอาศัย มิได้กล่าวว่าไม่มีเหตุ
ที่อิงอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็อะไรเล่า เป็นเหตุที่อิงอาศัยแห่งความปราโมทย์
ควรกล่าวว่า ศรัทธา......
อริยมรรคมีองค์ ๘ หนทางอันประเสริฐเพื่อการพ้นทุกข์
[๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน? ความรู้ในทุกข์ ในทุกขสมุทัย
ในทุกขนิโรธ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ.
[๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน? ความดำริในการออกจากกาม
ความดำริในอันไม่พยาบาท ความดำริในอันไม่เบียดเบียน นี้เรียกว่าสัมมาสังกัปปะ.
[๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจาเป็นไฉน? เจตนาเครื่องงดเว้นจากพูดเท็จ
พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ นี้เรียกว่า สัมมาวาจา.
[๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะเป็นไฉน? เจตนาเครื่องงดเว้นจากปาณา-
*ติบาต อทินนาทาน จากอพรหมจรรย์ นี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ.
[๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาอาชีวะเป็นไฉน? อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ละการ
เลี้ยงชีพที่ผิดเสีย สำเร็จชีวิตอยู่ด้วยการเลี้ยงชีพที่ชอบ นี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ.
[๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัมมาวายามะเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยังฉันทะ
ให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามก
ที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด
บังเกิดขึ้น พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน
เพิ่มพูน ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ.
[๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสติเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณา
เห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสใน
โลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึง
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่ มีความเพียร มี
สัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม
เนืองๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย นี้
เรียกว่า สัมมาสติ.
[๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม
สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอบรรลุทุติย-
*ฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตก
วิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วย
นามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มี
อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์
และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ.
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ท่านผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายครับ ในอริยมรรคมีองค์ 8 นี้ อย่าลืมเจริญสัมมาสมาธิ อันเป็นธรรมที่ควรเจริญตามพุทธดำรัสด้วยนะครับ ถ้าตามมาตรฐานที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ หากยึดเอาพุทธพจน์เป็นสำคัญ ก็ไม่พ้นจากการบรรลุ ปฐมฌาณ เป็นเบื้องต้น มีวิตกวิจาร ปีติสุขอันเกิดแต่วิเวก
บรรลุทุติยฌาณ ทิ้งวิตกวิจารไป มีความผ่องใสแห่งจิตภายใน มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ เป็นต้น จิตที่มีสัมมาสามธิจะเป็นจิตที่ตั้งมั่น อ่อนโยน ควรแก่การทำงาน จะทำให้เกิดยถาภูตญาณทัสสนะ คือ ความรู้เห็นตามความเป็นจริง เมื่อจิตตั้งมั่น อ่อนโยน ควรแก่การทำงาน หากออกจากสมาธิแล้ว นำไปเจริญวิปัสสนา ก็จะเห็นความเกิดดับของรูปนามตามที่เป็นจริง ชัดเจน แจ่มแจ้ง เห็นโดยปราศจากม่านความคิด เห็นโดยปราศจากความขุ่นมัวของจิต
เมื่อจิตเห็นความเกิดดับบ่อยเข้าๆๆ นานเข้าๆๆ ถูกหวยแล้วดีใจก็ดับไป เสียหวยแล้วดีใจก็ดับไป มีคนรักคนชื่นชมก็ดีใจแล้วดับไป มีคนชังคนด่าทอก็เสียใจแล้วดับไป ประสบอารมณ์อะไรก็ตามในแต่ละวันๆ ก็เห็นชัดเจนด้วยจิตที่ตั้งมั่น อ่อนโยน ควรแก่การทำงาน ว่าทั้งหลายทั้งปวงผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ผ่านไปแล้วก็ผ่านมา เมื่อเห็นนานเข้าๆ "ความเบื่อหน่ายในสังขารความปรุงแต่งทั้งปวง ย่อมเกิดขึ้น" เพราะว่าความปรุงแต่งภายในจิตทั้งปวงแต่ละวันๆ ย่อมเกิดขึ้นดับไป เป็นธรรมดา หากยึดมั่นถือมั่นความปรุงแต่งเหล่านั้นว่าอันนั้นเป็นเรา อันนี้เป็นของเรา บังคับบัญชาให้อยู่ในความครอบครองของเรา ย่อมไม่เป็นไปตามใจหวัง เพราะทั้งหลายทั้งปวงตลอดจนโลกทั้ง 3 ไม่ว่ากามโลก รูปโลก อรูปโลก ย่อมเกิดขึ้นดับไปเป็นธรรมดา จิตเมื่อรู้เช่นเห็นชาติขนาดนี้ย่อมเบื่อหน่าย เกิดนิพพิทาญาณ
เมื่อเบื่อหน่ายสังขารความปรุงแต่งในรูปธรรมนามธรรมทั้งปวงหนักเข้าๆๆ จะตะกายฝาจะให้พ้นไปอย่างไรก็ไม่ได้ เพราะความตะกายฝาจะให้พ้นไปก็เป็นสังขารด้านดีความปรุงแต่งอีกรูปแบบหนึ่งอีกเช่นกัน จะวิ่งหนีความเบื่อหน่ายนั้นไปอย่างไรก็ไม่พ้น เพราะการจะวิ่งหนี ก็เป็นความปรุงแต่งอีกด้านหนึ่งอีกเช่นกัน เมื่อจิตเห็นด้วยปัญญาอันแจ่มแจ้งละเอียดลงไปอีกว่า วิ่งหนีอย่างไรมันก็ไม่พ้น เบื่อหน่ายสังขารความปรุงแต่งขนาดไหนมันก็หนีไปไม่ได้ เพราะมันก็คือสังขารอีกรูปแบบหนึ่ง ขั้นต่อไปจิตก็จะเริ่มปล่อยวาง วางเฉยมันแล้วทั้งด้านบวก + และด้านลบ -
ความรู้สึกดีใจผ่านมา จิตก็รับรู้แล้ววางเฉยมันไป เพราะมันก็สักแต่ว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ความรู้สึกเสียใจผ่านมา จิตก็รับรู้แล้ววางเฉยมันไป เพราะมันก็สักแต่ว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเช่นกัน จิตจะเริ่มคลายกำหนัดเพราะการวางเฉยในสังขารความปรุงแต่งทั้งปวง เปรียบแบบโลกๆ ภาพหยาบๆ เหมือนว่า คนโหยหาความรัก แต่ผิดหวังเรื่อยมาๆ ช้ำรักมาจนชิน จิตใจเริ่มหมดหวัง จิตใจเริ่มด้านชา พอมีรักใหม่ก็ไม่หวังละ เพราะช้ำรักมาจนชิน จิตเริ่มคลายกำหนัดในการโหยหาความรัก ปล่อยวางความรัก และอยู่ด้วยตัวเอง อยู่กับตัวเอง อยู่คนเดียวมากขึ้น ไม่มีคู่ก็ไม่เป็นไร เป็นต้น
จิตที่ปล่อยวางในอารมณ์ ปล่อยวางในความปรุงแต่งในจิตต่างๆ คือความปรุงแต่งมีมาตามปกติ แต่จิตมันไม่เอา ไม่ยินดียินร้าย จะเห็นอารมณ์ทั้งหลายเป็นเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ แต่จิตวางเฉยอยู่ ถึงจุดหนึ่ง จิตจะตัดสินบอกในใจตนเองว่า พอแล้ว ถอนแล้ว พร้อมถอดถอนบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเนื้อในที่ห่อหุ้มจิตอยู่ เหมือนลูกไก่ที่โตมากแล้วเจาะเปลือกไข่ออกมา หรือเหมือนยานอาวกาศที่บินขึ้นไปจนหลุดพ้นแล้วซึ่งแรงดึงดูดของโลก เปลือกไข่ หรือแรงดึงดูดของโลก เปรียบเหมือนอาสวะกิลสที่ห่อหุ้มจิตอยู่ นั่นคือ เมื่อจิตคลายกำหนัดแล้วย่อมหลุดพ้น หลุดพ้นแล้วจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง หลุดพ้นแล้วจากความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 หลุดพ้นแล้วจากความยึดมั่นถือมั่นในจิต หลุดพ้นแล้วจากความยึดมั่นถือมั่นในนิพพาน หลุดพ้นจากเปลือกไข่กะเปาะของอวิชชาที่ห่อหุ้มจิตนั่นเอง
พอจิตถอดถอนอาสวะกิเลสตามส่วน แต่ละระดับ หรือทั้งหลายทั้งปวงหมดสิ้น ออกไปจากจิตแล้ว จิตจะรับรู้ว่าบางสิ่งบางอย่างมีอยู่ แต่กำหนดหมายไม่ได้ ไม่มีนิมิตหมาย ไม่มีขอบเขต เพราะนอกเหนือคำว่าขอบเขต นอกเหนือคำว่านิมิตหมาย กำหนดเบื้องต้นไม่ได้ เบื้องปลายไม่ได้ หากเปรียบเทียบก็เปรียบเหมือนลูกไก่ ที่เจาะเปลือกไข่ออกมาสู่โลกภายนอก ย่อมเห็นอีกมิติหนึ่งที่อยู่นอกฟองไข่นั้น ว่ากว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ไม่มีอะไรทั้งปวง ไม่มีรูปธรรม ไม่มีนามธรรม มีสิ่งที่สัมผัสได้อย่างเดียวเท่านั้นคือ "ใจ" จบ หมดสิ้น
ดังที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวว่า
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อธรรมเป็นที่สิ้นไป ๑- เกิดขึ้นแล้ว ญาณ
@๑. อรหัตผล
ในธรรมเป็นที่สิ้นไป อันนั้นแม้ใด มีอยู่ เรากล่าวญาณแม้นั้นว่า มีเหตุเป็นที่
อิงอาศัย มิได้กล่าวว่า ไม่มีเหตุเป็นที่อิงอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า
เป็นเหตุที่อิงอาศัยแห่งญาณในธรรมเป็นที่สิ้นไป ควรกล่าวว่า วิมุตติ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เรากล่าวแม้ซึ่งวิมุตติว่ามีเหตุที่อิงอาศัย มิได้กล่าวว่าไม่มีเหตุที่อิงอาศัย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นเหตุที่อิงอาศัยแห่งวิมุตติ ควรกล่าวว่า วิราคะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวแม้ซึ่งวิราคะว่ามีเหตุที่อิงอาศัย มิได้กล่าวว่าไม่มีเหตุที่
อิงอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นเหตุที่อิงอาศัยแห่งวิราคะ ควร
กล่าวว่า นิพพิทา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวแม้ซึ่งนิพพิทาว่ามีเหตุที่อิงอาศัย
มิได้กล่าวว่าไม่มีเหตุที่อิงอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นเหตุที่อิงอาศัย
แห่งนิพพิทา ควรกล่าวว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวแม้
ซึ่งยถาภูตญาณทัสสนะว่า มีเหตุที่อิงอาศัย มิได้กล่าวว่าไม่มีเหตุที่อิงอาศัย ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นเหตุที่อิงอาศัยแห่งยถาภูตญาณทัสสนะ ควรกล่าวว่า
สมาธิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวแม้ซึ่งสมาธิว่ามีเหตุที่อิงอาศัย มิได้กล่าวว่า
ไม่มีเหตุที่อิงอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นเหตุที่อิงอาศัยแห่งสมาธิ
ควรกล่าวว่า สุข ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวแม้ซึ่งสุขว่า มีเหตุที่อิงอาศัย
มิได้กล่าวว่าไม่มีเหตุที่อิงอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นเหตุที่อิงอาศัย
แห่งสุข ควรกล่าวว่า ปัสสัทธิ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวแม้ซึ่งปัสสัทธิว่า
มีเหตุที่อิงอาศัย มิได้กล่าวว่า ไม่มีเหตุที่อิงอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า
เป็นเหตุที่อิงอาศัยแห่งปัสสัทธิ ควรกล่าวว่า ปีติ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าว
แม้ซึ่งปีติว่ามีเหตุที่อิงอาศัย มิได้กล่าวว่าไม่มีเหตุที่อิงอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็อะไรเล่า เป็นเหตุที่อิงอาศัยแห่งปีติ ควรกล่าวว่า ความปราโมทย์ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เรากล่าวแม้ซึ่งความปราโมทย์ ว่ามีเหตุที่อิงอาศัย มิได้กล่าวว่าไม่มีเหตุ
ที่อิงอาศัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นเหตุที่อิงอาศัยแห่งความปราโมทย์
ควรกล่าวว่า ศรัทธา......