โดย : ตรัยโศก ณ ริมน่าน
ตอนที่3. ปลุกผี
ภายในกระโจมใหญ่ซึ่งตั้งเอาเป็นศูนย์บัญชาการ ความระอุเครียดกำลังแผ่ซ่านครอบคลุมไปทั่วบริเวณ ด้วยว่าทหารลูกน้องของผู้กองทะนงกลับมากันแล้ว แต่ยังไร้วี่แววหัวหน้า พันโททรงศักดิ์ซึ่งสนิทชิดเชื้อกับเจ้าตัวดั่งพี่น้องร่วมสายเลือดผลุบเข้าผลุบออกกระโจมจนผู้กองสามารถต้องทักให้หยุดเพราะเริ่มเวียนหัว
“ใจเย็น ๆ ก่อนน่าพี่ศักดิ์ ไอ้ทะนงมันเก่ง อย่าห่วงมันนักเลย แล้วก็เลิกจิ๊ปากเดินไปเดินมาได้แล้ว ผมจะอ้วก”
“หึ...ที่พูดมานั่นจากใจรึเปล่าไอ้มาด? สีหน้ามืงดูกังวลไม่ต่างจากกูเลยนะ พวกมืงก็เหมือนกัน ปล่อยให้หัวหน้าอยู่บนนั้นคนเดียว กลับมากันก่อนได้ยังไง?”
“พวกผมทำตามคำสั่งผู้กองครับท่าน!”
“พอ!” พันโททรงศักดิ์ยกมือขึ้นปรามเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ไม่ต้องมาทงมาท่านอะไรทั้งนั้น ในนี้มีแต่พวกเรามืงจะเรียกกูว่าพี่อย่างคนอื่นก็ได้กูไม่ถือ กูไม่เคือง แต่เรื่องที่กูจะเอาความกับพวกมืงคือปล่อยให้ไอ้ทะนงอยู่บนนั้นคนเดียว คำสั่งคำเสิ่งอะไร? ทิ้งเพื่อนร่วมรบไว้เดี่ยว ๆ ใช้ได้ที่ไหน?”
“แล้วทำไมพี่ไม่บุกขึ้นไปช่วยผมซะเลยเล่าพี่ศักดิ์?”
ทุกคนมองไปยังประตูกระโจมเป็นตาเดียว แม้จะไร้ร่องรอยหรืออาการบาดเจ็บ แต่เสื้อผ้าที่เลอะเปรอะดั่งไปนอนคลุกฝุ่นคลุกดินมานั่นก็ทำให้พันโททรงศักดิ์ตาเหลือกลาน ลอบเข้าไปสืบข่าวเหมือนกัน แต่น้องชายร่วมสาบานกลับสะบักสะบอมมอมแมมกลับมาคนเดียว เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเกิดเรื่องขึ้น
“ไอ้มาด เอาแผนที่มาที” ผู้กองทะนงบอก ตรงไปยังโต๊ะใหญ่กลางกระโจมไม่รอฟังว่าพันโททรงศักดิ์จะทักถามใด ๆ
“พวกมันตั้งบังเกอร์ไว้ตรงนี้” ผู้กองทะนงบอกพร้อมขีดกากบาทชี้ตำแหน่ง “ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้ ตรงนี้ด้วย แต่ละบังเกอร์เท่าที่เห็นจะมีคนประจำการอยู่ไม่น้อยกว่าสี่หรือห้าพร้อมปืนกลหนัก ทางพวกมืงล่ะ?” เขาหันไปถามกับลูกน้องที่เข้าไปพร้อมกัน
“เช่นกันครับผู้กอง ทางเราเองก็พบบังเกอร์เหมือนกัน จำนวนคนและอาวุธหนักก็อย่างที่ผู้กองบอก เหมือน ๆ กันหมดครับผม!” หนึ่งในลูกน้องรายงานและขีดกากบาทลงบนแผนที่
“ผมกับลูกน้องไปสำรวจมาหมดแล้วก่อนมาที่นี่ ตลอดแนวที่เป็นเขตแดนของไทย มีเพียงแถบนี้เท่านั้นที่พวกมันตั้งป้อม แต่จะเป็นเพราะอะไรผมยังคิดไม่ตก”
“ไม่เห็นต้องคิด ชนวนสงครามไง พวกมันเจาะจงเอาที่นี่เพราะเป็นจุดเชื่อมระหว่างสามประเทศรวมทั้งไทยเรา มันอยากให้เราคิดว่าไม่ลาวก็เขมรนั่นล่ะที่เป็นหัวหอก หรือไม่ก็ทั้งคู่ร่วมมือกัน แต่เรื่องนั้นค่อยว่ากันทีหลัง” พันโททรงศักดิ์กล่าวหน้าเครียด
หลังจากที่ต่างก็พิจารณาแล้ว ไม่ว่าจะพากันบุกขึ้นทางไหนก็จะถูกยิงถล่มก่อน เพราะจุดที่ศัตรูตั้งรออยู่นั้นล้วนเป็นเนินสูงมองลงมาเห็นกองทหารไทยที่คืบคลานขึ้นไปโดยง่าย พันโททรงศักดิ์สบถก่นด่าเมื่อทราบเช่นนั้น ด้วยว่านี่เป็นข้อมูลเชิงลึกแรกที่ทางกองทัพได้รับ ‘มิน่าเล่า ส่งไปกี่ที ๆ ก็แตกพ่ายกลับมา’ เขาครวญในใจ
“ห่าเอ้ย...ถ้าทางผู้ใหญ่ยอมส่ง ฮ. ขึ้นบินสำรวจตั้งแต่แรกก็จบ...ไม่สิ แต่ละที่ล้วนมีเหลี่ยมหินบดบัง และยังไม่แน่ด้วยว่าอาวุธหนักของมันจะมีแค่ปืนกลหรือไม่ อาจมีปืนต่อต้านอากาศยานอยู่ด้วย...แบบนี้จะเอายังไงดีวะ?”
“พี่เห็นอย่างอื่นด้วยรึเปล่า?” ผู้กองทะนงถาม ทั้งพันโททรงศักดิ์และผู้กองสามารถต่างก็นิ่งไป จ้องมองแผนที่ตาเขม็งเพื่อหาคำตอบ ก่อนจะโคลงศีรษะดิก
“ทางรัฐบาลและกองทัพฝ่ายเราไม่นิ่งนอนใจหรอกพี่ศักดิ์ ตั้งแต่เกิดเรื่องก็พยายามติดต่อกับรัฐบาลของลาวและกัมพูชาเพื่อขอข้ามพื้นที่ ทางโน้นเขาไม่ขัดข้อง ยินยอมแต่โดยดีเพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าผู้ที่พยายามก่อความวุ่นวายนี้ไม่ใช่พวกตน แต่...”
“แต่ทางกองทัพกลับไม่ทำตามที่ขอเขาไว้ ปล่อยเลยตามเลยส่งแต่ทหารขึ้นเขาจากฝั่งเราเท่านั้น” ผู้กองสามารถช่วยต่อจนจบประโยค
“ไม่ใช่ไม่ทำ...” พันโททรงศักดิ์ครางเครือ “ผู้ใหญ่ในกองทัพประชุมและเตรียมการกันแล้ว แต่ถูกเบรกเสียหัวทิ่ม”
“ใครวะพี่? ใครเบรก?”
“มืงว่าใครล่ะที่ใหญ่พอจะหยุดยั้งทุกแผนการของกองทัพได้? อย่าถามในสิ่งที่ตัวมืงเองก็รู้ดีกว่า” พันโททรงศักดิ์บอก ผู้กองทั้งสองต่างก็นิ่งเงียบ กระทั่งหนึ่งในลูกน้องผู้กองทะนงเปรยขึ้นเบา ๆ
“ฝ่ายบริหารของกลาโหมฯสินะ...”
“จุ๊ ๆ อย่าอึงไป ไม่ใช่ทุกคนหรอก แค่บางคนเท่านั้น ขืนมืงเอาเรื่องนี้ไปปูดแล้วเข้าหูพวกหนอนที่ถูกส่งมาซึ่งกูเชื่อว่ามี รับรองได้ นอกจากมืงจะตายไม่ก็สูญหายโดยไร้การเลื่อนชั้นยศ พ่อแม่พี่น้องมืงเองก็ต้องลำบาก ล้างโคตรเชียวล่ะมืง” พันโททรงศักดิ์เตือน ลูกน้องผู้กองทะนงนายนั้นก้มหน้ารับคำแต่โดยดี
“แต่เพราะแบบนี้แหละ นายพลกิตติถึงส่งกูมาดูแล โดยไม่บอกลูกชายตัวเอง” พันโททรงศักดิ์ว่า
นายพลกิตติ หรือ พลโท กิตติ กำเนิดศักดิ์ เป็นบุตรชายของ
พลเอก กนก กำเนิดศักดิ์ นายทหารในตำนานซึ่งปัจจุบันเกษียณอายุราชการและลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว
พลเอกกนกเป็นคนซื่อตรง เก่งกาจ รักพวกพ้อง ไม่ว่าศึกไหนเหนือใต้ต่างก็คุมลูกน้องไม่ก็ออกคำสั่งโดยเอาตนเองเข้าไปอยู่ในสนามรบด้วยชนิดไม่กลัวเกรง นายทหารผู้นี้จึงเป็นที่ยอมรับนับถือในหมู่ทหารทุกหมู่เหล่า
ความดี ความเก่งกาจและชื่อเสียงที่ขจรขจายนี้ ส่งต่อถึงบุตรชายหรือก็คือ พลโทกิตติได้ทุกระเบียดนิ้ว พ่อเป็นเช่นไร ลูกเป็นเช่นนั้น ซื่อตรง จงรัก ไม่ขายพรรคพวก แต่ชื่อเสียงที่นายทหารพ่อลูกรวมถึงต้นตระกูลก่อนหน้านั้นสั่งสมมา กลับถูกบ่อนทำลายลงโดยสายเลือดของตัวเอง พันตรีก่อเกิด กำเนิดศักดิ์ นายทหารที่ไร้ประสิทธิภาพแต่กลับได้รับชั้นยศไปดังกล่าว
“ท่านรู้ว่าคนในมีเอี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วก็รู้ด้วยว่ามีใครบ้าง เพียงแต่ด้วยอำนาจในมือของท่านน้อยเกินกว่าจะสืบสวนหรือเอาผิดคนเหล่านั้น” พันโททรงศักดิ์บอก เหลือบตามองผู้กองทะนงยิ้มน้อย ๆ “แต่เรื่องนั้นคงไม่ต้องห่วงใช่มั้ยล่ะ หือ...? ไอ้ทะนง?”
“ครับ เรื่องหาหลักฐานเอาผิด ยกหน้าที่นี้ให้ฝั่งตำรวจเขาเถอะ ถ้าพูดถึงหนอนใช่แต่ฝ่ายนั้นจะมี ฝ่ายเราก็มีเหมือนกัน และถ้าอำนาจทางกฎหมายใช้ลงโทษไม่ได้ล่ะก็...” ผู้กองทะนงทิ้งท้ายคำพูดไว้แค่นั้น ก่อนจะเลี่ยงไปจัดการชงกาแฟ พักใหญ่ ๆ ที่ทั้งกระโจมเงียบกริบไม่พูดไม่จาใด ๆ กัน ความเงียบที่ว่ากินเวลานานตราบเท่าที่ทุกคนในนั้นต้องการ
“แล้วแบบนี้จะเอายังไงกันดี? ถึงจะรู้ว่าฝ่ายโน้นวางกำลังไว้ตรงไหนบ้าง แต่การจะบุกขึ้นไปตีให้แตกคิดว่ายาก โดนปืนกลหนักเข้าไปรับรองได้ร่วงกันหมด อีกอย่าง เพื่อนทหารที่นอนตายนอนเจ็บอยู่นั่นบั่นทอนใจสู้ของทหารที่ถูกส่งมาเป็นกำลังเสริมแล้วแน่ ๆ ดูสีหน้าแต่ละคนก็รู้ ถ้าไม่กลัวโดนจับขังรับรองได้ไม่มีใครมา”
“ม้ากินสวน” จู่ ๆ พันโททรงศักดิ์ก็เอ่ยขึ้น ทุกคนหันไปมองเขาเป็นตาเดียว
“ม้งม้าอะไรของพี่?” ผู้กองทะนงถามเลิกคิ้วสูง
“ตำราพิชัยสงครามไง พวกมืงก็เป็นซะแบบนี้ ไม่รู้จักหาความรู้ใส่สมอง คนนึงก็เอาแต่ตั้งท่าจะบุกตะลุยใช้แผนตื้น ๆ” พันโททรงศักดิ์ว่าเหลือบมองผู้กองสามารถ “อีกคนก็เอาแต่คาถาอาคม หนังเหนียวเคี้ยวยากมันจะไปได้ซากได้หนังอะไรวะถ้าไม่ทำการรบแบบมีขั้นมีตอน?” คราวนี้จ้องเขม็งมองผู้กองทะนงจนเจ้าตัวสะดุ้ง
“มานี่มาพวกมืงมา...มาจุ้มหัวรวมตัวกันตรงนี้!” พันโททรงศักดิ์กวักมือเรียกทุกคนที่อยู่ในกระโจมให้เข้าไปฟังแผนการรบที่เขาเพิ่งคิดได้
(มีต่อครับ)
ปฐพีเดือด ตอนที่3.
“ใจเย็น ๆ ก่อนน่าพี่ศักดิ์ ไอ้ทะนงมันเก่ง อย่าห่วงมันนักเลย แล้วก็เลิกจิ๊ปากเดินไปเดินมาได้แล้ว ผมจะอ้วก”
“หึ...ที่พูดมานั่นจากใจรึเปล่าไอ้มาด? สีหน้ามืงดูกังวลไม่ต่างจากกูเลยนะ พวกมืงก็เหมือนกัน ปล่อยให้หัวหน้าอยู่บนนั้นคนเดียว กลับมากันก่อนได้ยังไง?”
“พวกผมทำตามคำสั่งผู้กองครับท่าน!”
“พอ!” พันโททรงศักดิ์ยกมือขึ้นปรามเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ไม่ต้องมาทงมาท่านอะไรทั้งนั้น ในนี้มีแต่พวกเรามืงจะเรียกกูว่าพี่อย่างคนอื่นก็ได้กูไม่ถือ กูไม่เคือง แต่เรื่องที่กูจะเอาความกับพวกมืงคือปล่อยให้ไอ้ทะนงอยู่บนนั้นคนเดียว คำสั่งคำเสิ่งอะไร? ทิ้งเพื่อนร่วมรบไว้เดี่ยว ๆ ใช้ได้ที่ไหน?”
“แล้วทำไมพี่ไม่บุกขึ้นไปช่วยผมซะเลยเล่าพี่ศักดิ์?”
ทุกคนมองไปยังประตูกระโจมเป็นตาเดียว แม้จะไร้ร่องรอยหรืออาการบาดเจ็บ แต่เสื้อผ้าที่เลอะเปรอะดั่งไปนอนคลุกฝุ่นคลุกดินมานั่นก็ทำให้พันโททรงศักดิ์ตาเหลือกลาน ลอบเข้าไปสืบข่าวเหมือนกัน แต่น้องชายร่วมสาบานกลับสะบักสะบอมมอมแมมกลับมาคนเดียว เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเกิดเรื่องขึ้น
“ไอ้มาด เอาแผนที่มาที” ผู้กองทะนงบอก ตรงไปยังโต๊ะใหญ่กลางกระโจมไม่รอฟังว่าพันโททรงศักดิ์จะทักถามใด ๆ
“พวกมันตั้งบังเกอร์ไว้ตรงนี้” ผู้กองทะนงบอกพร้อมขีดกากบาทชี้ตำแหน่ง “ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้ ตรงนี้ด้วย แต่ละบังเกอร์เท่าที่เห็นจะมีคนประจำการอยู่ไม่น้อยกว่าสี่หรือห้าพร้อมปืนกลหนัก ทางพวกมืงล่ะ?” เขาหันไปถามกับลูกน้องที่เข้าไปพร้อมกัน
“เช่นกันครับผู้กอง ทางเราเองก็พบบังเกอร์เหมือนกัน จำนวนคนและอาวุธหนักก็อย่างที่ผู้กองบอก เหมือน ๆ กันหมดครับผม!” หนึ่งในลูกน้องรายงานและขีดกากบาทลงบนแผนที่
“ผมกับลูกน้องไปสำรวจมาหมดแล้วก่อนมาที่นี่ ตลอดแนวที่เป็นเขตแดนของไทย มีเพียงแถบนี้เท่านั้นที่พวกมันตั้งป้อม แต่จะเป็นเพราะอะไรผมยังคิดไม่ตก”
“ไม่เห็นต้องคิด ชนวนสงครามไง พวกมันเจาะจงเอาที่นี่เพราะเป็นจุดเชื่อมระหว่างสามประเทศรวมทั้งไทยเรา มันอยากให้เราคิดว่าไม่ลาวก็เขมรนั่นล่ะที่เป็นหัวหอก หรือไม่ก็ทั้งคู่ร่วมมือกัน แต่เรื่องนั้นค่อยว่ากันทีหลัง” พันโททรงศักดิ์กล่าวหน้าเครียด
หลังจากที่ต่างก็พิจารณาแล้ว ไม่ว่าจะพากันบุกขึ้นทางไหนก็จะถูกยิงถล่มก่อน เพราะจุดที่ศัตรูตั้งรออยู่นั้นล้วนเป็นเนินสูงมองลงมาเห็นกองทหารไทยที่คืบคลานขึ้นไปโดยง่าย พันโททรงศักดิ์สบถก่นด่าเมื่อทราบเช่นนั้น ด้วยว่านี่เป็นข้อมูลเชิงลึกแรกที่ทางกองทัพได้รับ ‘มิน่าเล่า ส่งไปกี่ที ๆ ก็แตกพ่ายกลับมา’ เขาครวญในใจ
“ห่าเอ้ย...ถ้าทางผู้ใหญ่ยอมส่ง ฮ. ขึ้นบินสำรวจตั้งแต่แรกก็จบ...ไม่สิ แต่ละที่ล้วนมีเหลี่ยมหินบดบัง และยังไม่แน่ด้วยว่าอาวุธหนักของมันจะมีแค่ปืนกลหรือไม่ อาจมีปืนต่อต้านอากาศยานอยู่ด้วย...แบบนี้จะเอายังไงดีวะ?”
“พี่เห็นอย่างอื่นด้วยรึเปล่า?” ผู้กองทะนงถาม ทั้งพันโททรงศักดิ์และผู้กองสามารถต่างก็นิ่งไป จ้องมองแผนที่ตาเขม็งเพื่อหาคำตอบ ก่อนจะโคลงศีรษะดิก
“ทางรัฐบาลและกองทัพฝ่ายเราไม่นิ่งนอนใจหรอกพี่ศักดิ์ ตั้งแต่เกิดเรื่องก็พยายามติดต่อกับรัฐบาลของลาวและกัมพูชาเพื่อขอข้ามพื้นที่ ทางโน้นเขาไม่ขัดข้อง ยินยอมแต่โดยดีเพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าผู้ที่พยายามก่อความวุ่นวายนี้ไม่ใช่พวกตน แต่...”
“แต่ทางกองทัพกลับไม่ทำตามที่ขอเขาไว้ ปล่อยเลยตามเลยส่งแต่ทหารขึ้นเขาจากฝั่งเราเท่านั้น” ผู้กองสามารถช่วยต่อจนจบประโยค
“ไม่ใช่ไม่ทำ...” พันโททรงศักดิ์ครางเครือ “ผู้ใหญ่ในกองทัพประชุมและเตรียมการกันแล้ว แต่ถูกเบรกเสียหัวทิ่ม”
“ใครวะพี่? ใครเบรก?”
“มืงว่าใครล่ะที่ใหญ่พอจะหยุดยั้งทุกแผนการของกองทัพได้? อย่าถามในสิ่งที่ตัวมืงเองก็รู้ดีกว่า” พันโททรงศักดิ์บอก ผู้กองทั้งสองต่างก็นิ่งเงียบ กระทั่งหนึ่งในลูกน้องผู้กองทะนงเปรยขึ้นเบา ๆ
“ฝ่ายบริหารของกลาโหมฯสินะ...”
“จุ๊ ๆ อย่าอึงไป ไม่ใช่ทุกคนหรอก แค่บางคนเท่านั้น ขืนมืงเอาเรื่องนี้ไปปูดแล้วเข้าหูพวกหนอนที่ถูกส่งมาซึ่งกูเชื่อว่ามี รับรองได้ นอกจากมืงจะตายไม่ก็สูญหายโดยไร้การเลื่อนชั้นยศ พ่อแม่พี่น้องมืงเองก็ต้องลำบาก ล้างโคตรเชียวล่ะมืง” พันโททรงศักดิ์เตือน ลูกน้องผู้กองทะนงนายนั้นก้มหน้ารับคำแต่โดยดี
“แต่เพราะแบบนี้แหละ นายพลกิตติถึงส่งกูมาดูแล โดยไม่บอกลูกชายตัวเอง” พันโททรงศักดิ์ว่า
นายพลกิตติ หรือ พลโท กิตติ กำเนิดศักดิ์ เป็นบุตรชายของ พลเอก กนก กำเนิดศักดิ์ นายทหารในตำนานซึ่งปัจจุบันเกษียณอายุราชการและลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว
พลเอกกนกเป็นคนซื่อตรง เก่งกาจ รักพวกพ้อง ไม่ว่าศึกไหนเหนือใต้ต่างก็คุมลูกน้องไม่ก็ออกคำสั่งโดยเอาตนเองเข้าไปอยู่ในสนามรบด้วยชนิดไม่กลัวเกรง นายทหารผู้นี้จึงเป็นที่ยอมรับนับถือในหมู่ทหารทุกหมู่เหล่า
ความดี ความเก่งกาจและชื่อเสียงที่ขจรขจายนี้ ส่งต่อถึงบุตรชายหรือก็คือ พลโทกิตติได้ทุกระเบียดนิ้ว พ่อเป็นเช่นไร ลูกเป็นเช่นนั้น ซื่อตรง จงรัก ไม่ขายพรรคพวก แต่ชื่อเสียงที่นายทหารพ่อลูกรวมถึงต้นตระกูลก่อนหน้านั้นสั่งสมมา กลับถูกบ่อนทำลายลงโดยสายเลือดของตัวเอง พันตรีก่อเกิด กำเนิดศักดิ์ นายทหารที่ไร้ประสิทธิภาพแต่กลับได้รับชั้นยศไปดังกล่าว
“ท่านรู้ว่าคนในมีเอี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วก็รู้ด้วยว่ามีใครบ้าง เพียงแต่ด้วยอำนาจในมือของท่านน้อยเกินกว่าจะสืบสวนหรือเอาผิดคนเหล่านั้น” พันโททรงศักดิ์บอก เหลือบตามองผู้กองทะนงยิ้มน้อย ๆ “แต่เรื่องนั้นคงไม่ต้องห่วงใช่มั้ยล่ะ หือ...? ไอ้ทะนง?”
“ครับ เรื่องหาหลักฐานเอาผิด ยกหน้าที่นี้ให้ฝั่งตำรวจเขาเถอะ ถ้าพูดถึงหนอนใช่แต่ฝ่ายนั้นจะมี ฝ่ายเราก็มีเหมือนกัน และถ้าอำนาจทางกฎหมายใช้ลงโทษไม่ได้ล่ะก็...” ผู้กองทะนงทิ้งท้ายคำพูดไว้แค่นั้น ก่อนจะเลี่ยงไปจัดการชงกาแฟ พักใหญ่ ๆ ที่ทั้งกระโจมเงียบกริบไม่พูดไม่จาใด ๆ กัน ความเงียบที่ว่ากินเวลานานตราบเท่าที่ทุกคนในนั้นต้องการ
“แล้วแบบนี้จะเอายังไงกันดี? ถึงจะรู้ว่าฝ่ายโน้นวางกำลังไว้ตรงไหนบ้าง แต่การจะบุกขึ้นไปตีให้แตกคิดว่ายาก โดนปืนกลหนักเข้าไปรับรองได้ร่วงกันหมด อีกอย่าง เพื่อนทหารที่นอนตายนอนเจ็บอยู่นั่นบั่นทอนใจสู้ของทหารที่ถูกส่งมาเป็นกำลังเสริมแล้วแน่ ๆ ดูสีหน้าแต่ละคนก็รู้ ถ้าไม่กลัวโดนจับขังรับรองได้ไม่มีใครมา”
“ม้ากินสวน” จู่ ๆ พันโททรงศักดิ์ก็เอ่ยขึ้น ทุกคนหันไปมองเขาเป็นตาเดียว
“ม้งม้าอะไรของพี่?” ผู้กองทะนงถามเลิกคิ้วสูง
“ตำราพิชัยสงครามไง พวกมืงก็เป็นซะแบบนี้ ไม่รู้จักหาความรู้ใส่สมอง คนนึงก็เอาแต่ตั้งท่าจะบุกตะลุยใช้แผนตื้น ๆ” พันโททรงศักดิ์ว่าเหลือบมองผู้กองสามารถ “อีกคนก็เอาแต่คาถาอาคม หนังเหนียวเคี้ยวยากมันจะไปได้ซากได้หนังอะไรวะถ้าไม่ทำการรบแบบมีขั้นมีตอน?” คราวนี้จ้องเขม็งมองผู้กองทะนงจนเจ้าตัวสะดุ้ง
“มานี่มาพวกมืงมา...มาจุ้มหัวรวมตัวกันตรงนี้!” พันโททรงศักดิ์กวักมือเรียกทุกคนที่อยู่ในกระโจมให้เข้าไปฟังแผนการรบที่เขาเพิ่งคิดได้
(มีต่อครับ)