ชลัน
บทที่ 6 คลิกล็อคหัวใจ
เช้าวันอาทิตย์กานณดาตื่นสายเพราะเพิ่งจะได้นอนตอนรุ่งสาง เมื่อคืนหล่อนนอนไม่หลับเลยทั้งคืน เอาแต่ร้องไห้หลังจากทะเลาะกับพี่ชาย เช้านี้ทำให้ขอบตาของสาวเจ้าดูบวมตุ่ยอย่างเห็นได้ชัด หล่อนจึงไม่คิดจะลงไปทานข้าว ไม่อยากให้แม่กชพรรณเห็นตนเองในสภาพนี้ ให้เพียงหลานชายออกไปทานข้าวเช้ากับผู้เป็นยาย ส่วนตนเองกลับมานอนต่อ
ยังไม่ทันได้ปิดเปลือกตาลง ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังเพราะมีคนโทรเข้า กานณดาคว้ามาดู เห็นเป็นเบอร์ของพี่สะใภ้ หล่อนขมวดคิ้วสงสัยนิดหน่อยก่อนจะเลิกคิดอะไร สโรชาคงโทรมาเรื่องลูกชายนั่นแหละ
"ค่ะพี่บัว" กานณดาพูดทั้งหลับตา น้ำเสียงงัวเงียเพราะง่วงนอนมาก "ตาหนูลงไปหาคุณยายแล้วค่ะ"
"พี่บัวไม่ได้จะโทรหาตะวัน พี่จะคุยกับน้องกานต์" คนในสายว่า "เรื่องหอพักน่ะ น้องกานต์ไปดูห้องไว้เลยนะ เอาคอนโดที่ปลอดภัยและใกล้ที่ฝึกงานที่สุด"
กานณดาลุกนั่งอย่างเร็ว ความงัวเงียหายไปเป็นปลิดทิ้งเมื่อพี่สะใภ้พูดถึงเรื่องนี้ ทว่าใบหน้าก็เจื่อนลงอีกเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่ทะเลาะกับพี่ชาย "กานต์ไม่ไปแล้วค่ะพี่บัว กานต์จะอยู่บ้านของพี่บัวแหละ บอกพี่กันต์ไม่ต้องเป็นห่วง กานต์ไม่ไปแล้ว ฝากขอโทษพี่กันต์ด้วยได้มั้ยคะ กานต์ไม่ได้ตั้งใจจะว่าพี่กันต์ กานต์ขอโทษ" น้ำใส ๆ ก็ไหลออกมาจากดวงตาโต แต่ไม่มีเสียงสะอื้นใด ๆ ดังออกมาให้คนในสายรู้ เสียใจและรู้สึกผิดที่ตนเองพูดอะไรไม่ทันคิดออกไป จนทำให้พี่ชายเสียใจ
น้ำเสียงของคนในสายยังคงฟังลื่นหู ดูไม่ซีเรียสเลยสักนิด ออกจะเจือรอยยิ้มเสียด้วยซ้ำ คนฟังสัมผัสได้ "น้องกานต์ไปหาห้องพักเลย พี่กันต์อนุญาตค่ะ แต่น้องกานต์ต้องขอโทษพี่กันต์ด้วยนะ พี่กันต์งอนตุ๊บป่องเลย" พี่สะใภ้หัวเราะคิกคักคล้ายว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ แต่สำหรับหล่อน มันยิ่งใหญ่ราวฟ้าจะถล่มดินจะทลายที่พูดไม่คิด "พี่กันต์ให้พี่บัวมาบอกน้องกานต์ว่าพี่กันต์อนุญาต"
"พี่กันต์อนุญาตจริง ๆ เหรอคะ ไม่ใช่เพราะ..." กานณดาพูดเสียงเครือ ร้องไห้ไม่หยุด พูดต่อไปไม่ได้เพราะเหมือนมีก้อนอะไรจุกอยู่ที่ลำคอ พูดไม่ออกเพราะจะสะอื้น หล่อนเสียใจกับการกระทำของตัวเองจริง ๆ
"พี่กันต์อนุญาตจริง ๆ ค่ะ น้องกานต์ไม่ต้องคิดมาก และก็อย่าลืมขอโทษพี่กันต์ด้วยนะ พี่กันต์รักน้องกานต์มากเลยนะรู้มั้ย"
"รู้ค่ะ กานต์นอนไม่หลับเลยเมื่อคืน กานต์ไม่น่าพูดแบนั้นเลยพี่บัว..." กานณดาระบายความอัดอั้นที่มีกับพี่สะใภ้ สโรชาปลอบใจหล่อนจนรู้สึกดีขึ้นมาจากเมื่อคืนมาก ทว่าก็ยังเสียใจกับสิ่งที่พูดออกไป เพราะฉะนั้นวันหยุดสาวเจ้าจึงคิดจะกลับไร่ปลายตะวัน เพื่อไปขอโทษพี่ชาย
....
กานณดาโทรหาชยุตบอกว่าตนเองขออนุญาตพี่ชายได้แล้ว อยากดูคอนโดของเจ้าตัวที่ว่าจะให้ตนอาศัยอยู่ในช่วงฝึกงาน ถ้าหากมีคนเช่าไปแล้วหล่อนก็จะได้หาที่ใหม่
"ยังไม่มีใครมาเช่าหรอกค่ะ พี่ยุตเก็บไว้ให้น้องกานต์น่ะ เพราะพี่ยุตคิดว่าน้องกานต์จะต้องได้มาใช้แน่ ๆ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เป็นไงพี่เดาเก่งมั้ย" ชายหนุ่มพูดปนหัวเราะ เขาคิดว่ายังไงกานณดาต้องขอพี่ชายออกมาอยู่ข้างนอกแน่ หลังจากที่คุยกับเขาไป อะไรมันจะง่ายดายลงตัวขนาดนี้
"แม่นมากค่ะ" กานณดาดัดเสียงให้ดูร่าเริง ไม่อยากให้คนในสายรู้ว่าการได้ออกมาอยู่ข้างนอก ต้องแลกกับความเสียใจของใครบางคน ในเมื่อสโรชาบอกว่าพี่ชายอนุญาตจริง ๆ หล่อนก็ไม่อยากจะเก็บมาคิดมากอีก
"เลิกงานมาดูห้องเลยมั้ยคะ"
"ดูค่ะพี่ยุต แล้วเจอกันค่ะ" ร่างบางยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้าออฟฟิศ ไม่ทันเห็นใครบางคนแอบฟังอยู่ ก่อนจะเดินเข้าไปข้างในหลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ
จิมมี่มาทันเห็นสาวเจ้าคุยโทรศัพท์อีกแล้ว บางทีพระเจ้าก็เหมือนจะกลั่นแกล้งมนุษย์ เหมือนรู้ว่ามนุษย์กำลังคิดมากเรื่องอะไร ก็จะผลักให้บังเอิญมาเจอกับเรื่องนั้นเสมอ จิมมี่ได้ยินกานณดาคุยโทรศัพท์กับคนชื่อยุตอีกแล้ว 'แล้วเจอกัน' งั้นหรือ ซินญอริน่าของเขาจะไปไหน เจอกันที่ไหน ยิ่งคิดหนุ่มลูกครึ่งยิ่งหงุดหงิด ไอ้ยุตนี่มันสำคัญกับเธอระดับไหนนะ แต่เขาจะไม่วู่วามอีกแล้ว จากนั้นชายหนุ่มก็เดินตามร่างบางเข้าไปข้างใน
จิมมี่เดินตามกานณดาเข้าไปติด ๆ และคิดว่าเธอคงจะไปอ้อยอิ่งอยู่กับอลงกรณ์แหง ๆ เขาหวง ถึงยังไม่ได้ตกลงคบกันแต่เขาก็ยังไม่ได้บอกเลิก เพราะฉะนั้นเธออยู่ใกล้ผู้ชายคนไหน เขาก็หวงทั้งนั้น เข้ามาข้างในกลับไม่ใช่อย่างที่คิด จิมมี่จึงรีบเดินขึ้นไปยังชั้นสาม เปิดประตูห้องเข้ามาก็พบสาวเจ้าอยู่ที่โต๊ะทำงานเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มยิ้มออกแต่ต้องรีบซ่อนยิ้มไว้ไม่อยากให้เธอเห็น
"อุ้ย! วันนี้เรามาสายกว่าเด็กฝึกงานแฮะ ห้านาที" หนุ่มลูกครึ่งพูดทักทายและยิ้มกว้าง ลืมเรื่องคนชื่อยุตที่เธอคุยโทรศัพท์ด้วยไปเลย จิมมี่เดินมานั่งที่โต๊ะทำงาน เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายตัว มองไปยังใบหน้าเรียวมนได้รูปนั้นมันช่างน่ามองเสียจริง
"สวัสดีค่ะพี่จิม มองกานต์แบบนี้มีอะไรหรือเปล่าคะ" หญิงสาวทักทายและตั้งคำถามไปพร้อม ๆ กัน เล่นมองกันตรง ๆ แบบนี้หล่อนก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน รู้สึกร้อนผ่าวที่หน้า
ชายหนุ่มเห็นว่าสาวน้อยของเขาหน้าแดงก็ยิ้มบาง เขาไม่อยากปิดบังความรู้สึกที่มีอีกต่อไปแล้ว ไหนจะเรื่องที่เธอเข้าใจผิดเรื่องนาราภัทรอีก เข้าใจผิดมานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ "มองคนน่ารักครับ" จิมมี่ตั้งใจแกล้ง พูดจบก็หัวเราะอึกอัก หลังพูดจบประโยคก็เห็นว่าเธอหน้าแดงหนักกว่าเดิม
"เอ่อ... เดี๋ยว! เดี๋ยวกานต์ไปชงกาแฟให้พี่จิมดีกว่า สูตรเดิมนะคะ" กานณดาตั้งรับไม่ทัน รู้สึกร้อนวูบวาบทั่วใบหน้าและมวนท้องขึ้นมาดื้อ ๆ รีบลุกจากโต๊ะทำงานออกไปข้างนอก ก่อนเดินจากมาหล่อนยังได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ของจิมมี่ด้วย วันนี้ทำไมชายหนุ่มมาแปลก กินยาผิดซองหรือเมาค้างมาหรือไร เล่นชมกันดื้อ ๆ แบบนี้ใครจะตั้งตัวได้ทัน ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่เคยรู้สึกอะไรด้วยจะว่าไปอีกอย่าง แต่นี่สำหรับหล่อน... จะให้รู้สึกยังไงดี คนที่ชายหนุ่มควรจะชมต้องเป็นนาราภัทรไหม เดินพ้นห้องทำงานของเขาหล่อนก็สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด จากนั้นก็ชงกาแฟให้ตามที่ได้พูดไว้
"กาแฟค่ะพี่จิม" เมื่อตั้งสติได้แล้วหล่อนก็นำกาแฟมาเสิร์ฟเขา
"ขอบคุณครับ" เขารับถ้วยกาแฟจากมือบางแล้วจิบเบา ๆ หญิงสาวรีบเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตนตามเดิม "ตอนนี้ยังไม่ต้องทำอะไร พี่ยังไม่มีงานอะไรให้ช่วยทำ แต่พี่มีชีดมาให้ศึกษา อ่านดูนะไม่เข้าใจตรงไหนถามพี่ได้" ว่าแล้วจิมมี่ก็เดินไปหยิบเอกสารการเรียนรู้งานที่เขาทำให้เธอออกมา ก่อนจะส่งให้สาวเจ้ารับไปอ่าน
"ค่ะ งั้นกานต์อ่านชีดไปพราง ๆ แล้วกัน"
"น้องกานต์ พี่ไม่ได้เป็นอะไรกับนาราภัทร" จิมมี่พูดและจิบกาแฟเบา ๆ คอยดูปฏิกิริยาของหญิงสาว แถมยังนึกขำไม่หายที่เธอคิดแบบนั้น ทว่าก็ไม่แปลกอะไรนักที่จะคิด ใคร ๆ ที่เห็นพวกเขาสองคน ต่างก็คิดแบบนั้นทุกคน เนื่องจากนาราภัทรทำตัวติดกับเขาตลอดเวลา และแถมตนก็ไม่เคยปฏิเสธการกระทำนั้นด้วย ถ้ากานณดาจะคิดแบบนั้นบ้างก็คงไม่แปลกอะไร "พี่กับพี่นาราเราเป็นเพื่อนกัน เพื่อนสนิทมาก"
กานณดาเงยหน้าจากเอกสารตรงหน้ามองหนุ่มลูกครึ่งฝรั่งพร้อมหัวใจที่เต้นรัว นี่เป็นความจริงหรือแต่งเรื่องมาโกหกกันแน่ คำพูดกับการกระทำช่างสวนทางกันนัก "บอกกานต์ทำไมคะพี่จิม" หล่อนพูดยิ้ม ๆ แม้หัวใจจะเต้นแรงแทบทะลุอก ขอให้สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงที่สุด
"ก็บางคนจะได้เลิกเข้าใจพี่ผิดเสียทีไง พี่กับนาราภัทรเราไม่ได้เป็นแฟนกันครับ น้องกานต์จะไปถามพี่นาราก็ได้นะ"
"ไม่เอา กานต์ไม่กล้าไปถามหรอก"
"แล้วแบบนี้จะเชื่อพี่มั้ยละ พี่กับนาราเราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก ๆ คบกันเกินยี่สิบปีแล้ว กับพี่ธรอีกคน เพราะฉะนั้นพี่โสดนะ" จิมมี่ยิ้มบาง เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ "แล้วน้องกานต์ล่ะ มีใครแล้วหรือยัง" คราวนี้เดินมาหยุดยืนที่โต๊ะของสาวเจ้า จ้องมองคนตรงหน้าตรง ๆ รอคำตอบ
"กานต์... กานต์ก็ยังไม่มีใครเลยค่ะ" กานณดาพูดเสียงเบา หัวใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ หน้าแดง รู้สึกมวนท้องขึ้นมาอีกครั้งเพราะตื่นเต้น ทว่าชายหนุ่มยืนขวางไว้ไม่ให้หล่อนลุกไปไหนได้อีก "พี่จิมจะพูดทำไมคะ"
"เรากลับมาคบกันอีกมั้ย" จิมมี่ไม่อ้อมค้อมอีกแล้ว "มันคงไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญที่กานต์ได้มาฝึกงานกับนาราสุ มันคงไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญที่การเลือกลงบริษัทนาราสุ พี่รู้ว่ากานต์ตั้งใจ พี่รู้ว่ากานต์ก็รู้ว่าพี่เป็นหุ้นส่วนของที่นี่ แต่กานต์ก็ยังเลือกที่จะมา"
"เพราะกานต์อยากเจอพี่จิมค่ะ กานต์อยากเจอตัวจริงของคนที่กานต์เคยรักสักครั้ง กานต์เลยเลือกมาฝึกงานกับนาราสุ กานต์คิดว่าพี่จิมจำกานต์ไม่ได้ด้วยซ้ำ" หญิงสาวน้ำตาคลอ
"ใครบอก พี่จำได้ พี่ยังจำกานต์ได้เสมอ ไม่เคยลืม เพราะพี่จำชื่อนามสกุลของกานต์ได้ พี่เลยให้นาราภัทรเลือกกานต์แทนที่จะเป็นคนอื่น" จิมมี่ยิ้มกริ่ม หัวใจพองโตเพราะรู้ว่าซินญอริน่าของเขาก็น่าจะคิดอะไรบางอย่างอยู่เหมือนกัน "น้องกานต์เราสองคนกลับมาคบกันอีกมั้ย สำหรับพี่อยากนะเพราะสามปีที่กานต์หายไป พี่ไม่เคยลืมน้องกานต์ได้เลย แต่ถ้าน้องกานต์ไม่ต้องการก็ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ" หนุ่มนัยน์ตาสีครามสารภาพความในใจออกมาหมดเปลือก เขาไม่อยากซ่อนความรู้สึกเอาไว้อีกแล้ว รังแต่จะทำให้เสียของรักไปถ้าขืนยังกั๊กเอาไว้แบบนั้น
กานณดาพยักหน้าตกลง "พี่จิมกานต์ขอโทษที่หายไป กานต์ก็ไม่เคยลืมพี่จิมได้สักวัน พอมีโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้กับพี่จิมอีกครั้ง กานต์ก็ไม่ลังเลอะไรเลย" สาวเจ้าสารภาพความในใจกับเชาเช่นกัน หล่อนพร้อมจะเริ่มต้นใหม่กับเขา ไม่อยากเก็บงำความรู้สึกต่อไปอีกแล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ดีกว่าปล่อยให้มันสายไป
หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งยิ้มกว้าง ดีใจ เอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอและโยกเบา ๆ "เราปิดเป็นความลับเอาไว้ก่อนนะ เพราะกานต์ยังเป็นเด็กฝึกงานอยู่ พี่เกรงว่าคนอื่นเขาจะมองแฟนพี่ไม่ดี เดี๋ยวถ้าน้องกานต์ฝึกงานจบ เราไปทานข้าวและดูหนังกัน ซินญอริน่า"
กานณดามองหน้าคนตรงหน้าอย่างนึกไม่ถึง นานมาก ๆ ที่หล่อนไม่ได้ยินคำนี้ และคิดว่าคงจะไม่ได้ยินมันอีกแล้ว 'ซินญอริน่า' ตั้งแต่มาฝึกงานจิมมี่เรียกหล่อนว่า 'สาวน้อย' แทน
"ค่ะพี่จิม" หญิงสาวตอบ จากที่ปั่นป่วนในท้องก็เริ่มเบาหวิวและโล่งที่สุด รู้แต่ว่าตอนนี้หล่อนสบายตัวแปลก ๆ แม้แต่เรื่องของพี่ชายก็ไม่คิดมากอีกแล้ว โลกทั้งใบกำลังจะกลายเป็นสีชมพูเพราะปรับความเข้าใจกันได้แล้วพสุธรก็มาขัดจังหวะ ยังดีที่ยังเคาะประตูก่อนเข้ามา ทำให้ทั้งสองแยกย้ายกัน
"ฉันมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า" ผู้มาเยือนพูดยิ้ม ๆ มองทั้งสองสลับกัน จิมมี่เพื่อนสนิททำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้แนบเนียนมาก ส่วนคนที่มีพิรุธเห็นจะเป็นเด็กฝึกงานคนพิเศษคนนี้ ที่กำลังหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก พสุธรยิ้มขำก่อนจะกลืนยิ้มลงไปไม่อยากพูดอะไรต่อ เพราะเกรงใจสาวเจ้าจะอายจนไม่ยอมคุยกับเขา
"มีอะไร โทรมาก็ได้นะ" จิมมี่ถามหุ้นส่วนคนสำคัญอีกคน
"จะให้ทำบรีฟที่ไปคุยกับลูกค้าในวันนี้ให้หน่อยน่ะ แต่ขอก่อนเที่ยงนะ" พสุธรว่า เขาจะให้คนอื่นทำก็ได้ ทว่าไม่อยากให้ทำ เพราะเป็นงานสำคัญ
"คร้าบคุณเจ้านาย รอรับที่ห้องทำงานได้เลยครับ เดี๋ยวลูกน้องเอาไปส่ง" จิมมี่ล้อแกรมประชด สองคนเพื่อนซี้หัวเราะ รวมทั้งกานณดาด้วยที่พลอยขำไปกับทั้งสอง บรรยากาศยามที่ทั้งคู่มาเจอกันมันตลกจริง ๆ
"ดูพี่จิมของเราสิน้องกานต์" พสุธรว่า
รักภักดิ์ดี (6)
ชลัน
บทที่ 6 คลิกล็อคหัวใจ
เช้าวันอาทิตย์กานณดาตื่นสายเพราะเพิ่งจะได้นอนตอนรุ่งสาง เมื่อคืนหล่อนนอนไม่หลับเลยทั้งคืน เอาแต่ร้องไห้หลังจากทะเลาะกับพี่ชาย เช้านี้ทำให้ขอบตาของสาวเจ้าดูบวมตุ่ยอย่างเห็นได้ชัด หล่อนจึงไม่คิดจะลงไปทานข้าว ไม่อยากให้แม่กชพรรณเห็นตนเองในสภาพนี้ ให้เพียงหลานชายออกไปทานข้าวเช้ากับผู้เป็นยาย ส่วนตนเองกลับมานอนต่อ
ยังไม่ทันได้ปิดเปลือกตาลง ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังเพราะมีคนโทรเข้า กานณดาคว้ามาดู เห็นเป็นเบอร์ของพี่สะใภ้ หล่อนขมวดคิ้วสงสัยนิดหน่อยก่อนจะเลิกคิดอะไร สโรชาคงโทรมาเรื่องลูกชายนั่นแหละ
"ค่ะพี่บัว" กานณดาพูดทั้งหลับตา น้ำเสียงงัวเงียเพราะง่วงนอนมาก "ตาหนูลงไปหาคุณยายแล้วค่ะ"
"พี่บัวไม่ได้จะโทรหาตะวัน พี่จะคุยกับน้องกานต์" คนในสายว่า "เรื่องหอพักน่ะ น้องกานต์ไปดูห้องไว้เลยนะ เอาคอนโดที่ปลอดภัยและใกล้ที่ฝึกงานที่สุด"
กานณดาลุกนั่งอย่างเร็ว ความงัวเงียหายไปเป็นปลิดทิ้งเมื่อพี่สะใภ้พูดถึงเรื่องนี้ ทว่าใบหน้าก็เจื่อนลงอีกเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่ทะเลาะกับพี่ชาย "กานต์ไม่ไปแล้วค่ะพี่บัว กานต์จะอยู่บ้านของพี่บัวแหละ บอกพี่กันต์ไม่ต้องเป็นห่วง กานต์ไม่ไปแล้ว ฝากขอโทษพี่กันต์ด้วยได้มั้ยคะ กานต์ไม่ได้ตั้งใจจะว่าพี่กันต์ กานต์ขอโทษ" น้ำใส ๆ ก็ไหลออกมาจากดวงตาโต แต่ไม่มีเสียงสะอื้นใด ๆ ดังออกมาให้คนในสายรู้ เสียใจและรู้สึกผิดที่ตนเองพูดอะไรไม่ทันคิดออกไป จนทำให้พี่ชายเสียใจ
น้ำเสียงของคนในสายยังคงฟังลื่นหู ดูไม่ซีเรียสเลยสักนิด ออกจะเจือรอยยิ้มเสียด้วยซ้ำ คนฟังสัมผัสได้ "น้องกานต์ไปหาห้องพักเลย พี่กันต์อนุญาตค่ะ แต่น้องกานต์ต้องขอโทษพี่กันต์ด้วยนะ พี่กันต์งอนตุ๊บป่องเลย" พี่สะใภ้หัวเราะคิกคักคล้ายว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ แต่สำหรับหล่อน มันยิ่งใหญ่ราวฟ้าจะถล่มดินจะทลายที่พูดไม่คิด "พี่กันต์ให้พี่บัวมาบอกน้องกานต์ว่าพี่กันต์อนุญาต"
"พี่กันต์อนุญาตจริง ๆ เหรอคะ ไม่ใช่เพราะ..." กานณดาพูดเสียงเครือ ร้องไห้ไม่หยุด พูดต่อไปไม่ได้เพราะเหมือนมีก้อนอะไรจุกอยู่ที่ลำคอ พูดไม่ออกเพราะจะสะอื้น หล่อนเสียใจกับการกระทำของตัวเองจริง ๆ
"พี่กันต์อนุญาตจริง ๆ ค่ะ น้องกานต์ไม่ต้องคิดมาก และก็อย่าลืมขอโทษพี่กันต์ด้วยนะ พี่กันต์รักน้องกานต์มากเลยนะรู้มั้ย"
"รู้ค่ะ กานต์นอนไม่หลับเลยเมื่อคืน กานต์ไม่น่าพูดแบนั้นเลยพี่บัว..." กานณดาระบายความอัดอั้นที่มีกับพี่สะใภ้ สโรชาปลอบใจหล่อนจนรู้สึกดีขึ้นมาจากเมื่อคืนมาก ทว่าก็ยังเสียใจกับสิ่งที่พูดออกไป เพราะฉะนั้นวันหยุดสาวเจ้าจึงคิดจะกลับไร่ปลายตะวัน เพื่อไปขอโทษพี่ชาย
....
กานณดาโทรหาชยุตบอกว่าตนเองขออนุญาตพี่ชายได้แล้ว อยากดูคอนโดของเจ้าตัวที่ว่าจะให้ตนอาศัยอยู่ในช่วงฝึกงาน ถ้าหากมีคนเช่าไปแล้วหล่อนก็จะได้หาที่ใหม่
"ยังไม่มีใครมาเช่าหรอกค่ะ พี่ยุตเก็บไว้ให้น้องกานต์น่ะ เพราะพี่ยุตคิดว่าน้องกานต์จะต้องได้มาใช้แน่ ๆ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เป็นไงพี่เดาเก่งมั้ย" ชายหนุ่มพูดปนหัวเราะ เขาคิดว่ายังไงกานณดาต้องขอพี่ชายออกมาอยู่ข้างนอกแน่ หลังจากที่คุยกับเขาไป อะไรมันจะง่ายดายลงตัวขนาดนี้
"แม่นมากค่ะ" กานณดาดัดเสียงให้ดูร่าเริง ไม่อยากให้คนในสายรู้ว่าการได้ออกมาอยู่ข้างนอก ต้องแลกกับความเสียใจของใครบางคน ในเมื่อสโรชาบอกว่าพี่ชายอนุญาตจริง ๆ หล่อนก็ไม่อยากจะเก็บมาคิดมากอีก
"เลิกงานมาดูห้องเลยมั้ยคะ"
"ดูค่ะพี่ยุต แล้วเจอกันค่ะ" ร่างบางยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงหน้าออฟฟิศ ไม่ทันเห็นใครบางคนแอบฟังอยู่ ก่อนจะเดินเข้าไปข้างในหลังจากคุยโทรศัพท์เสร็จ
จิมมี่มาทันเห็นสาวเจ้าคุยโทรศัพท์อีกแล้ว บางทีพระเจ้าก็เหมือนจะกลั่นแกล้งมนุษย์ เหมือนรู้ว่ามนุษย์กำลังคิดมากเรื่องอะไร ก็จะผลักให้บังเอิญมาเจอกับเรื่องนั้นเสมอ จิมมี่ได้ยินกานณดาคุยโทรศัพท์กับคนชื่อยุตอีกแล้ว 'แล้วเจอกัน' งั้นหรือ ซินญอริน่าของเขาจะไปไหน เจอกันที่ไหน ยิ่งคิดหนุ่มลูกครึ่งยิ่งหงุดหงิด ไอ้ยุตนี่มันสำคัญกับเธอระดับไหนนะ แต่เขาจะไม่วู่วามอีกแล้ว จากนั้นชายหนุ่มก็เดินตามร่างบางเข้าไปข้างใน
จิมมี่เดินตามกานณดาเข้าไปติด ๆ และคิดว่าเธอคงจะไปอ้อยอิ่งอยู่กับอลงกรณ์แหง ๆ เขาหวง ถึงยังไม่ได้ตกลงคบกันแต่เขาก็ยังไม่ได้บอกเลิก เพราะฉะนั้นเธออยู่ใกล้ผู้ชายคนไหน เขาก็หวงทั้งนั้น เข้ามาข้างในกลับไม่ใช่อย่างที่คิด จิมมี่จึงรีบเดินขึ้นไปยังชั้นสาม เปิดประตูห้องเข้ามาก็พบสาวเจ้าอยู่ที่โต๊ะทำงานเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มยิ้มออกแต่ต้องรีบซ่อนยิ้มไว้ไม่อยากให้เธอเห็น
"อุ้ย! วันนี้เรามาสายกว่าเด็กฝึกงานแฮะ ห้านาที" หนุ่มลูกครึ่งพูดทักทายและยิ้มกว้าง ลืมเรื่องคนชื่อยุตที่เธอคุยโทรศัพท์ด้วยไปเลย จิมมี่เดินมานั่งที่โต๊ะทำงาน เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายตัว มองไปยังใบหน้าเรียวมนได้รูปนั้นมันช่างน่ามองเสียจริง
"สวัสดีค่ะพี่จิม มองกานต์แบบนี้มีอะไรหรือเปล่าคะ" หญิงสาวทักทายและตั้งคำถามไปพร้อม ๆ กัน เล่นมองกันตรง ๆ แบบนี้หล่อนก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน รู้สึกร้อนผ่าวที่หน้า
ชายหนุ่มเห็นว่าสาวน้อยของเขาหน้าแดงก็ยิ้มบาง เขาไม่อยากปิดบังความรู้สึกที่มีอีกต่อไปแล้ว ไหนจะเรื่องที่เธอเข้าใจผิดเรื่องนาราภัทรอีก เข้าใจผิดมานานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ "มองคนน่ารักครับ" จิมมี่ตั้งใจแกล้ง พูดจบก็หัวเราะอึกอัก หลังพูดจบประโยคก็เห็นว่าเธอหน้าแดงหนักกว่าเดิม
"เอ่อ... เดี๋ยว! เดี๋ยวกานต์ไปชงกาแฟให้พี่จิมดีกว่า สูตรเดิมนะคะ" กานณดาตั้งรับไม่ทัน รู้สึกร้อนวูบวาบทั่วใบหน้าและมวนท้องขึ้นมาดื้อ ๆ รีบลุกจากโต๊ะทำงานออกไปข้างนอก ก่อนเดินจากมาหล่อนยังได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ของจิมมี่ด้วย วันนี้ทำไมชายหนุ่มมาแปลก กินยาผิดซองหรือเมาค้างมาหรือไร เล่นชมกันดื้อ ๆ แบบนี้ใครจะตั้งตัวได้ทัน ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่เคยรู้สึกอะไรด้วยจะว่าไปอีกอย่าง แต่นี่สำหรับหล่อน... จะให้รู้สึกยังไงดี คนที่ชายหนุ่มควรจะชมต้องเป็นนาราภัทรไหม เดินพ้นห้องทำงานของเขาหล่อนก็สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด จากนั้นก็ชงกาแฟให้ตามที่ได้พูดไว้
"กาแฟค่ะพี่จิม" เมื่อตั้งสติได้แล้วหล่อนก็นำกาแฟมาเสิร์ฟเขา
"ขอบคุณครับ" เขารับถ้วยกาแฟจากมือบางแล้วจิบเบา ๆ หญิงสาวรีบเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตนตามเดิม "ตอนนี้ยังไม่ต้องทำอะไร พี่ยังไม่มีงานอะไรให้ช่วยทำ แต่พี่มีชีดมาให้ศึกษา อ่านดูนะไม่เข้าใจตรงไหนถามพี่ได้" ว่าแล้วจิมมี่ก็เดินไปหยิบเอกสารการเรียนรู้งานที่เขาทำให้เธอออกมา ก่อนจะส่งให้สาวเจ้ารับไปอ่าน
"ค่ะ งั้นกานต์อ่านชีดไปพราง ๆ แล้วกัน"
"น้องกานต์ พี่ไม่ได้เป็นอะไรกับนาราภัทร" จิมมี่พูดและจิบกาแฟเบา ๆ คอยดูปฏิกิริยาของหญิงสาว แถมยังนึกขำไม่หายที่เธอคิดแบบนั้น ทว่าก็ไม่แปลกอะไรนักที่จะคิด ใคร ๆ ที่เห็นพวกเขาสองคน ต่างก็คิดแบบนั้นทุกคน เนื่องจากนาราภัทรทำตัวติดกับเขาตลอดเวลา และแถมตนก็ไม่เคยปฏิเสธการกระทำนั้นด้วย ถ้ากานณดาจะคิดแบบนั้นบ้างก็คงไม่แปลกอะไร "พี่กับพี่นาราเราเป็นเพื่อนกัน เพื่อนสนิทมาก"
กานณดาเงยหน้าจากเอกสารตรงหน้ามองหนุ่มลูกครึ่งฝรั่งพร้อมหัวใจที่เต้นรัว นี่เป็นความจริงหรือแต่งเรื่องมาโกหกกันแน่ คำพูดกับการกระทำช่างสวนทางกันนัก "บอกกานต์ทำไมคะพี่จิม" หล่อนพูดยิ้ม ๆ แม้หัวใจจะเต้นแรงแทบทะลุอก ขอให้สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงที่สุด
"ก็บางคนจะได้เลิกเข้าใจพี่ผิดเสียทีไง พี่กับนาราภัทรเราไม่ได้เป็นแฟนกันครับ น้องกานต์จะไปถามพี่นาราก็ได้นะ"
"ไม่เอา กานต์ไม่กล้าไปถามหรอก"
"แล้วแบบนี้จะเชื่อพี่มั้ยละ พี่กับนาราเราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก ๆ คบกันเกินยี่สิบปีแล้ว กับพี่ธรอีกคน เพราะฉะนั้นพี่โสดนะ" จิมมี่ยิ้มบาง เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ "แล้วน้องกานต์ล่ะ มีใครแล้วหรือยัง" คราวนี้เดินมาหยุดยืนที่โต๊ะของสาวเจ้า จ้องมองคนตรงหน้าตรง ๆ รอคำตอบ
"กานต์... กานต์ก็ยังไม่มีใครเลยค่ะ" กานณดาพูดเสียงเบา หัวใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ หน้าแดง รู้สึกมวนท้องขึ้นมาอีกครั้งเพราะตื่นเต้น ทว่าชายหนุ่มยืนขวางไว้ไม่ให้หล่อนลุกไปไหนได้อีก "พี่จิมจะพูดทำไมคะ"
"เรากลับมาคบกันอีกมั้ย" จิมมี่ไม่อ้อมค้อมอีกแล้ว "มันคงไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญที่กานต์ได้มาฝึกงานกับนาราสุ มันคงไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญที่การเลือกลงบริษัทนาราสุ พี่รู้ว่ากานต์ตั้งใจ พี่รู้ว่ากานต์ก็รู้ว่าพี่เป็นหุ้นส่วนของที่นี่ แต่กานต์ก็ยังเลือกที่จะมา"
"เพราะกานต์อยากเจอพี่จิมค่ะ กานต์อยากเจอตัวจริงของคนที่กานต์เคยรักสักครั้ง กานต์เลยเลือกมาฝึกงานกับนาราสุ กานต์คิดว่าพี่จิมจำกานต์ไม่ได้ด้วยซ้ำ" หญิงสาวน้ำตาคลอ
"ใครบอก พี่จำได้ พี่ยังจำกานต์ได้เสมอ ไม่เคยลืม เพราะพี่จำชื่อนามสกุลของกานต์ได้ พี่เลยให้นาราภัทรเลือกกานต์แทนที่จะเป็นคนอื่น" จิมมี่ยิ้มกริ่ม หัวใจพองโตเพราะรู้ว่าซินญอริน่าของเขาก็น่าจะคิดอะไรบางอย่างอยู่เหมือนกัน "น้องกานต์เราสองคนกลับมาคบกันอีกมั้ย สำหรับพี่อยากนะเพราะสามปีที่กานต์หายไป พี่ไม่เคยลืมน้องกานต์ได้เลย แต่ถ้าน้องกานต์ไม่ต้องการก็ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ" หนุ่มนัยน์ตาสีครามสารภาพความในใจออกมาหมดเปลือก เขาไม่อยากซ่อนความรู้สึกเอาไว้อีกแล้ว รังแต่จะทำให้เสียของรักไปถ้าขืนยังกั๊กเอาไว้แบบนั้น
กานณดาพยักหน้าตกลง "พี่จิมกานต์ขอโทษที่หายไป กานต์ก็ไม่เคยลืมพี่จิมได้สักวัน พอมีโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้กับพี่จิมอีกครั้ง กานต์ก็ไม่ลังเลอะไรเลย" สาวเจ้าสารภาพความในใจกับเชาเช่นกัน หล่อนพร้อมจะเริ่มต้นใหม่กับเขา ไม่อยากเก็บงำความรู้สึกต่อไปอีกแล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ดีกว่าปล่อยให้มันสายไป
หนุ่มลูกครึ่งฝรั่งยิ้มกว้าง ดีใจ เอื้อมมือไปวางบนศีรษะของเธอและโยกเบา ๆ "เราปิดเป็นความลับเอาไว้ก่อนนะ เพราะกานต์ยังเป็นเด็กฝึกงานอยู่ พี่เกรงว่าคนอื่นเขาจะมองแฟนพี่ไม่ดี เดี๋ยวถ้าน้องกานต์ฝึกงานจบ เราไปทานข้าวและดูหนังกัน ซินญอริน่า"
กานณดามองหน้าคนตรงหน้าอย่างนึกไม่ถึง นานมาก ๆ ที่หล่อนไม่ได้ยินคำนี้ และคิดว่าคงจะไม่ได้ยินมันอีกแล้ว 'ซินญอริน่า' ตั้งแต่มาฝึกงานจิมมี่เรียกหล่อนว่า 'สาวน้อย' แทน
"ค่ะพี่จิม" หญิงสาวตอบ จากที่ปั่นป่วนในท้องก็เริ่มเบาหวิวและโล่งที่สุด รู้แต่ว่าตอนนี้หล่อนสบายตัวแปลก ๆ แม้แต่เรื่องของพี่ชายก็ไม่คิดมากอีกแล้ว โลกทั้งใบกำลังจะกลายเป็นสีชมพูเพราะปรับความเข้าใจกันได้แล้วพสุธรก็มาขัดจังหวะ ยังดีที่ยังเคาะประตูก่อนเข้ามา ทำให้ทั้งสองแยกย้ายกัน
"ฉันมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า" ผู้มาเยือนพูดยิ้ม ๆ มองทั้งสองสลับกัน จิมมี่เพื่อนสนิททำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้แนบเนียนมาก ส่วนคนที่มีพิรุธเห็นจะเป็นเด็กฝึกงานคนพิเศษคนนี้ ที่กำลังหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุก พสุธรยิ้มขำก่อนจะกลืนยิ้มลงไปไม่อยากพูดอะไรต่อ เพราะเกรงใจสาวเจ้าจะอายจนไม่ยอมคุยกับเขา
"มีอะไร โทรมาก็ได้นะ" จิมมี่ถามหุ้นส่วนคนสำคัญอีกคน
"จะให้ทำบรีฟที่ไปคุยกับลูกค้าในวันนี้ให้หน่อยน่ะ แต่ขอก่อนเที่ยงนะ" พสุธรว่า เขาจะให้คนอื่นทำก็ได้ ทว่าไม่อยากให้ทำ เพราะเป็นงานสำคัญ
"คร้าบคุณเจ้านาย รอรับที่ห้องทำงานได้เลยครับ เดี๋ยวลูกน้องเอาไปส่ง" จิมมี่ล้อแกรมประชด สองคนเพื่อนซี้หัวเราะ รวมทั้งกานณดาด้วยที่พลอยขำไปกับทั้งสอง บรรยากาศยามที่ทั้งคู่มาเจอกันมันตลกจริง ๆ
"ดูพี่จิมของเราสิน้องกานต์" พสุธรว่า