[ความเดิม] กลุ่มดาวแมนดาลอร์คือสถานที่ซึ่งเคยเป็น แหล่งสุมหัวของเหล่าสาวก ประจำศาสนานักสู้
ประวัติของพวกเขาสืบย้อนไปได้ ถึงเมื่อหลายพันปีก่อน (สำหรับจักรวาลสตาร์วอร์ส)
ศาสนามีแบ่งสาขาย่อย ออกเป็นหลายลัทธิ, เคร่งมากบ้างน้อยบ้าง
บางพวกหัวโบราณจัด ดึงดันจะอนุรักษ์จารีตอันคร่ำครึไว้ อย่างไม่สนโลก, เช่นลัทธิของนายดิน จาร์ริน พระเอกประจำซีรีส์
'โบ-คาทาน ครีซ' เคยเป็นเจ้าหญิงของ ราชวงศ์ผู้ปกครองดาวหลัก แห่งสำนักแมนดาลอร์ทั้งหลาย
ในช่วงหนึ่งเธอได้ถือกระบี่แสงสีดำ สัญลักษณ์แห่งผู้นำสูงสุดของศาสนา, และขึ้นครองราชย์
ทว่า ณ ยุคของหล่อนพวกแมนดาลอร์ รบราฆ่าฟันกันเองซ้ำซากมานาน จนกระทั่งสภาพหวานกรอบเต็มทน
ดังนั้นพอรัฐบาลเผด็จการ ที่ได้ครองกาแลคซี่ คิดว่าสมควรส่งกองทัพไปล้างบาง
พวกเขาจึงมิเหนียวพอจะต้านทาน ขากรรไกรอันแข็งแกร่งของจักรวรรดิ, ถึงกับโดนเคี้ยวจนแตกยับ แหลกละเอียด
โบคาทานผู้สูญเสียกระบี่ดำ พยายามฟื้นฟูอารยธรรมรุ่งโรจน์คืนกลับ
ความหวังหลักคือเอาสัญลักษณ์ผู้นำ จากขาใหญ่ของจักรวรรดิ (มอฟฟ์ กิเดียน) คืนมา
แต่อนิจจา, ดิน จารินที่ตกลงกันไว้ว่า เดี๋ยวจะเปิดทางให้เจ๊ ชิงกระบี่ตามสะดวก
ดันโดนบังคับให้ดวลกับกิเดียน แล้วชนะ, จนสัญลักษณ์อาญาสิทธิ์ หลุดมือเจ้าหญิงโบซ้ำสอง
พอโอกาสที่สองปลิดปลิว บรรดาบริวารผู้ร่วมอุดมการณ์ จึงต่างตีจาก กระจัดกระจายหมด
เจ๊โบตอนนี้เลยหมดอาลัยตายอยาก เอาแต่นั่งเฝ้าปราสาทที่ว่างเปล่า ณ คาเลอวาล่า (ดาวเคราะห์ในกลุ่มดาวแมนดาลอร์) ไปวัน ๆ
เมื่อพระเอกผู้กะลังอยู่ระหว่าง การตามหาน้ำศักดิ์สิทธิ์ ในเหมืองแห่งแมนดาลอร์เพื่อไถ่บาป
แวะเจอเพื่อแจ้งว่า พร้อมทำตามสัญญาเก่าละนะจ๊ะ (เรื่องช่วยกอบกู้แมนดาลอร์)
หล่อนจึงแค่ให้ข้อมูลนิดหน่อย แล้วไล่เขาไปพ้นๆ หน้า
[สปอยล์เนื้อหา] สภาพดาวแมนดาลอร์หลังจักรวรรดิบดขยี้ มิอาจคาดเดา ว่ามีอันตรายใดบ้าง
พระเอกเราจึงกะจะซ่อมดรอยด์พังๆ ที่เค้าเคยมีอดีตร่วมกันมา เพื่อใช้เป็นหน่วยสำรวจกล้าตาย
แต่ถ้าไม่มีอะไหล่วงจรความจำ อันหาซื้อยาก, ก็ไร้ทางฟื้นสภาพ ไอ้หุ่นเพื่อนเก่า
เขาถึงมุ่งหน้าสู่อู่เมืองท่า ณ ดาวทาทูอีน อันเป็นแหล่งพำนักของป้าเพลิ, ช่างเครื่องที่ค่อนข้างซี้กัน
เพลิอ้างว่าอะไหล่นั่นเลิกผลิต และใช้ทักษะเกลี้ยกล่อม ของนักหาเลี้ยงชีพ
ตะล่อมให้ดิน จาริน, ยอมซื้อหุ่นสำหรับซ่อมแซม และช่วยขับยาน (Astromech) ชื่อ R5-D4 ไปทำหน้าที่สำรวจแทน
ดินหลงคารมป้า พาเด็กใหม่ในสังกัด (หุ่นอาร์ไฟว์) บินลัดอวกาศ เยือนดาวเป้าหมาย
เด็กใหม่ผู้กล้าๆ กลัวๆ ยอมทำตามคำสั่งนาย แต่เผลอแป๊บเดียวดันหายวับ จากจอเรดาร์
ร้อนถึงนายจาริน ที่ต้องปรับความดันหมวก (จนเสียงหายใจดังฟืดฟาด เหมือนใครบางคน) ก่อนลงจากยาน, เดินท่อมๆ ไปตาม
แล้วช่วยอาร์ไฟว์จากพวกอลาไมท์ ที่ดูคล้ายมนุษย์ถ้ำ, อันเข้าจู่โจมเพื่อแสวงหาเหยื่อ มาเป็นมื้อเที่ยง
จารินตรวจข้อมูลอากาศ จากตัวอย่างที่อาร์ไฟว์เก็บมา แล้วพบว่าสามารถหายใจได้ปกติ (อย่างผิดคาด)
จึงเริ่มดิ่งลึกเข้าไป ในซากนครซันดารีแห่งแมนดาลอร์ พร้อมกับโกรกู
ก่อนติดกับดักของ สิ่งมีชีวิตลึกลับ (หรือเครื่องจักรหว่า ?) หน้าตาไร้ความเป็นมิตร
พระเอกสิ้นลาย ขยับไม่ได้กะทันหัน, จึงนึกออกโดยพลันว่างานนี้ จำเป็นต้องขอใช้ตัวช่วย
โกรกูรับฟังคำสั่งป๊ะป๋า แล้วซิ่งเปลลอยได้ ฝ่าความมืดของซากเมือง
ขึ้นยานอวกาศ (ที่อาร์ไฟว์ขับ) ดิ่งไปพบ 'โบคาทาน'
แม้สื่อสารผ่านคำพูดบ่ได้ แต่แค่เห็นว่าเหลือเพียงเด็ก นั่งในยาน, เจ๊โบก็พอเข้าใจสถานการณ์
เจ๊โบสั่งหุ่นยนต์รับใช้ ให้ดึงข้อมูลจากอาร์ไฟว์ มาอ่าน
ศัตรูลึกลับ ดูดเลือดจากจาริน (เก็บไว้ดื่มกิน ?) จนพระเอกโลหิตจางหน้ามืด
แต่เจ๊โบก็โผล่ทัน ช่วงคับขัน, หยิบกระบี่ดำของดิน มาใช้กำจัดศัตรูลึกลับ
หลังเซฟชีวิตพระเอก, เธอเกลี้ยกล่อมให้ถอยกลับ สู่ความปลอดภัย ฟื้นฟูสภาพร่างกายก่อน
แต่ผู้ศรัทธาอย่างเขา อุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่แล้ว ไฉนเลยจะยอม
โบคาทาน แลกเปลี่ยนบทสนทนา กับนายดิน
แล้วผู้หญิงหัวก้าวหน้า ที่มองว่าศรัทธาหรือพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ ของวัฒนธรรมตัวเอง, เป็นเรื่องไม่สำคัญมาตลอด
ก็เริ่มตระหนักว่า ที่จริงแนวคิดพวกนั้น, มันช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจผู้คนได้
เจ๊โบจึงอาสาช่วยนำทาง พระเอกไปจนถึงเหมือง ซึ่งมีน้ำศักดิ์สิทธิ์
เนื่องจากเธอเคยอยู่อาศัย และปกครองผู้คนในสถานที่นี้มาก่อน, กระบวนการส่วนนี้เลยราบรื่น
แต่ระหว่างดินถอดเกราะบางส่วน ลงอาบน้ำในบ่อยักษ์ของเหมือง
จู่ๆ ก็ดูเหมือนมีบางสิ่ง ฉุดนายดินจมดิ่งสู่ใต้วารี
เจ๊โบโดดท่าสวย ดำลงไปช่วยกู้ชีพพระเอก
และมองเห็นเจ้ามิธโธซอว์ (Mythosaur) สัตว์ร้ายในตำนานของแมนดาลอร์
ทั้งที่เรื่องการคงอยู่ของมัน น่าจะเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก ของศาสนาหล่อน
[วิจารณ์] วันที่ 8 เดือนมีนาคมของทุกปี คือวันสตรีสากล
The Mandalorian ซีซั่น 3 ตอนที่สอง ก็เผยแพร่ทางสตรีมมิ่งวันแรก, ในกาลดังกล่าว
หากพิจารณาข้อมูลที่ว่า ผู้กำกับประจำตอนเป็นนารี
และโบคาทานโชว์พลังหญิงให้ประจักษ์ ชนิดโจ่งแจ้งจังหวะนี้, ประกอบ
การที่พระเอกโดนแกงยับ, จัดหนักยิ่งกว่าเมื่อครั้ง โชว์ของไม่ค่อยออก
ตอนเป็นแขกรับเชิญซีรีส์คนอื่น (The Book of Boba Fett) นี่ย่อมมิใช่เหตุบังเอิญแน่
ทว่าผู้เขียนชาย (จอน ฟาฟโร) เปล่าอวยโบคาทาน ขนาดพาลพาให้เนื้อเรื่องเป๋ (แต่เกือบๆ อยู่มั้งเนี่ย)
และจะว่าไปการที่ผู้ผลิต นึกครึ้มจะแต่งละคร ให้ล้อกับเทศกาลจริง (วันสตรี) มันไม่ใช่เรื่องเสียหาย
อันที่จริงด้วยทิศทางของซีรีส์ (ซึ่งแลดูเน้นปูทางสู่ การณ์ใหญ่อย่าง ฟื้นฟูศาสนาแมนดาลอร์, มากขึ้นเรื่อย ๆ)
ยังไงมันต้องมีตอน ที่เจ๊โบเด่นอยู่แล้ว, แค่ว่าเมื่อไหร่
การจับเธอมาล้วงลึก (และแนะนำตัวละครอย่างจริงจัง สำหรับคนที่ไม่เคยรับชมอนิเมชั่น The Clone Wars)
โดยพาเนื้อหาหลัก ให้เดินหน้าไปพร้อมกัน (ไม่ใช่ใส่ฉากย้อนความหลังมา) ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลว
ทำเอาคิดถ้าว่าซีรีส์ Ahsoka (อันปัจจุบันลิขิตว่า ฉายปีนี้) จะทำแบบเดียวกันนี่ ก็โอนะ, ขึ้นมาเลยละ
ประเด็นอีกอย่างของบทวิจารณ์ หนีไม่พ้นความมืดมิดของตอนนี้
ที่เหมาะสมกับสถานการณ์พอดี, จนต้องยอมยกประโยชน์ให้จำเลย ไม่คิดเอาผิดอีกหน
และเป็นอีกครั้งที่ The Mandalorian หาจังหวะประหยัดงบเจอ ทว่าไม่เผลอเล่นหนักถึงขั้น, ทำคนดูมองไรไม่เห็น (แต่เกือบอยู่)
น่าจะเพราะหลักๆ เขาใช้เทคนิค เดินกล้องในโรงถ่าย
ซึ่งกางฉาก ฉายซีจีไว้ข้างหลังประกอบ นั่นแหละมั้ง, จึงแต่งภาพสะดวก
ซากนครแห่งซันดารี
-
-
[ปล.1] พอโกรกูเป็นลูกเลี้ยงเต็มตัวแล้ว คุณพ่อดินเอาใจใส่เรื่องอุปกรณ์ดีจัง
เปลลอยได้ที่สั่งทำใหม่ มีออปชั่นไฟฉายเพิ่มมาด้วย (ของเดิมที่พัง รู้สึกไม่เคยเปิดใช้ ฉะนั้นไม่น่ามี)
[ปล.2] ใครไม่เคยตาม อนิเมชั่นซีรีส์, ดูเพียงละคร The Mandalorian
อาจไม่เชื่อน้ำคำโบคาทาน, ว่านครแห่งซันดารีเมื่อครั้งยังศิวิไลซ์ สว่างสดใสจริง
จึงคิดว่าสมควรนำภาพประกอบ มาแปะไว้เป็นหลักฐานหน่อย
[ปล.3] เห็นเจ๊โบเรียกดิน ๆ แล้วช่วยชีวิตหลายรอบ ก็ชักอยากจิ้นคู่นี้ตงิด ๆ
แต่ดูจากแนวละครแล้ว คงหวังให้เกิดอะไรทำนองนั้น ยากกระมัง
[Spoil+Review] The Mandalorian S3 Ep.2 >>ขอใช้ตัวช่วย
ประวัติของพวกเขาสืบย้อนไปได้ ถึงเมื่อหลายพันปีก่อน (สำหรับจักรวาลสตาร์วอร์ส)
ศาสนามีแบ่งสาขาย่อย ออกเป็นหลายลัทธิ, เคร่งมากบ้างน้อยบ้าง
บางพวกหัวโบราณจัด ดึงดันจะอนุรักษ์จารีตอันคร่ำครึไว้ อย่างไม่สนโลก, เช่นลัทธิของนายดิน จาร์ริน พระเอกประจำซีรีส์
'โบ-คาทาน ครีซ' เคยเป็นเจ้าหญิงของ ราชวงศ์ผู้ปกครองดาวหลัก แห่งสำนักแมนดาลอร์ทั้งหลาย
ในช่วงหนึ่งเธอได้ถือกระบี่แสงสีดำ สัญลักษณ์แห่งผู้นำสูงสุดของศาสนา, และขึ้นครองราชย์
ทว่า ณ ยุคของหล่อนพวกแมนดาลอร์ รบราฆ่าฟันกันเองซ้ำซากมานาน จนกระทั่งสภาพหวานกรอบเต็มทน
ดังนั้นพอรัฐบาลเผด็จการ ที่ได้ครองกาแลคซี่ คิดว่าสมควรส่งกองทัพไปล้างบาง
พวกเขาจึงมิเหนียวพอจะต้านทาน ขากรรไกรอันแข็งแกร่งของจักรวรรดิ, ถึงกับโดนเคี้ยวจนแตกยับ แหลกละเอียด
โบคาทานผู้สูญเสียกระบี่ดำ พยายามฟื้นฟูอารยธรรมรุ่งโรจน์คืนกลับ
ความหวังหลักคือเอาสัญลักษณ์ผู้นำ จากขาใหญ่ของจักรวรรดิ (มอฟฟ์ กิเดียน) คืนมา
แต่อนิจจา, ดิน จารินที่ตกลงกันไว้ว่า เดี๋ยวจะเปิดทางให้เจ๊ ชิงกระบี่ตามสะดวก
ดันโดนบังคับให้ดวลกับกิเดียน แล้วชนะ, จนสัญลักษณ์อาญาสิทธิ์ หลุดมือเจ้าหญิงโบซ้ำสอง
พอโอกาสที่สองปลิดปลิว บรรดาบริวารผู้ร่วมอุดมการณ์ จึงต่างตีจาก กระจัดกระจายหมด
เจ๊โบตอนนี้เลยหมดอาลัยตายอยาก เอาแต่นั่งเฝ้าปราสาทที่ว่างเปล่า ณ คาเลอวาล่า (ดาวเคราะห์ในกลุ่มดาวแมนดาลอร์) ไปวัน ๆ
เมื่อพระเอกผู้กะลังอยู่ระหว่าง การตามหาน้ำศักดิ์สิทธิ์ ในเหมืองแห่งแมนดาลอร์เพื่อไถ่บาป
แวะเจอเพื่อแจ้งว่า พร้อมทำตามสัญญาเก่าละนะจ๊ะ (เรื่องช่วยกอบกู้แมนดาลอร์)
หล่อนจึงแค่ให้ข้อมูลนิดหน่อย แล้วไล่เขาไปพ้นๆ หน้า
พระเอกเราจึงกะจะซ่อมดรอยด์พังๆ ที่เค้าเคยมีอดีตร่วมกันมา เพื่อใช้เป็นหน่วยสำรวจกล้าตาย
แต่ถ้าไม่มีอะไหล่วงจรความจำ อันหาซื้อยาก, ก็ไร้ทางฟื้นสภาพ ไอ้หุ่นเพื่อนเก่า
เขาถึงมุ่งหน้าสู่อู่เมืองท่า ณ ดาวทาทูอีน อันเป็นแหล่งพำนักของป้าเพลิ, ช่างเครื่องที่ค่อนข้างซี้กัน
เพลิอ้างว่าอะไหล่นั่นเลิกผลิต และใช้ทักษะเกลี้ยกล่อม ของนักหาเลี้ยงชีพ
ตะล่อมให้ดิน จาริน, ยอมซื้อหุ่นสำหรับซ่อมแซม และช่วยขับยาน (Astromech) ชื่อ R5-D4 ไปทำหน้าที่สำรวจแทน
ดินหลงคารมป้า พาเด็กใหม่ในสังกัด (หุ่นอาร์ไฟว์) บินลัดอวกาศ เยือนดาวเป้าหมาย
เด็กใหม่ผู้กล้าๆ กลัวๆ ยอมทำตามคำสั่งนาย แต่เผลอแป๊บเดียวดันหายวับ จากจอเรดาร์
ร้อนถึงนายจาริน ที่ต้องปรับความดันหมวก (จนเสียงหายใจดังฟืดฟาด เหมือนใครบางคน) ก่อนลงจากยาน, เดินท่อมๆ ไปตาม
แล้วช่วยอาร์ไฟว์จากพวกอลาไมท์ ที่ดูคล้ายมนุษย์ถ้ำ, อันเข้าจู่โจมเพื่อแสวงหาเหยื่อ มาเป็นมื้อเที่ยง
จึงเริ่มดิ่งลึกเข้าไป ในซากนครซันดารีแห่งแมนดาลอร์ พร้อมกับโกรกู
ก่อนติดกับดักของ สิ่งมีชีวิตลึกลับ (หรือเครื่องจักรหว่า ?) หน้าตาไร้ความเป็นมิตร
พระเอกสิ้นลาย ขยับไม่ได้กะทันหัน, จึงนึกออกโดยพลันว่างานนี้ จำเป็นต้องขอใช้ตัวช่วย
โกรกูรับฟังคำสั่งป๊ะป๋า แล้วซิ่งเปลลอยได้ ฝ่าความมืดของซากเมือง
ขึ้นยานอวกาศ (ที่อาร์ไฟว์ขับ) ดิ่งไปพบ 'โบคาทาน'
แม้สื่อสารผ่านคำพูดบ่ได้ แต่แค่เห็นว่าเหลือเพียงเด็ก นั่งในยาน, เจ๊โบก็พอเข้าใจสถานการณ์
เจ๊โบสั่งหุ่นยนต์รับใช้ ให้ดึงข้อมูลจากอาร์ไฟว์ มาอ่าน
ศัตรูลึกลับ ดูดเลือดจากจาริน (เก็บไว้ดื่มกิน ?) จนพระเอกโลหิตจางหน้ามืด
แต่เจ๊โบก็โผล่ทัน ช่วงคับขัน, หยิบกระบี่ดำของดิน มาใช้กำจัดศัตรูลึกลับ
หลังเซฟชีวิตพระเอก, เธอเกลี้ยกล่อมให้ถอยกลับ สู่ความปลอดภัย ฟื้นฟูสภาพร่างกายก่อน
แต่ผู้ศรัทธาอย่างเขา อุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่แล้ว ไฉนเลยจะยอม
แล้วผู้หญิงหัวก้าวหน้า ที่มองว่าศรัทธาหรือพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ ของวัฒนธรรมตัวเอง, เป็นเรื่องไม่สำคัญมาตลอด
ก็เริ่มตระหนักว่า ที่จริงแนวคิดพวกนั้น, มันช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจผู้คนได้
เจ๊โบจึงอาสาช่วยนำทาง พระเอกไปจนถึงเหมือง ซึ่งมีน้ำศักดิ์สิทธิ์
เนื่องจากเธอเคยอยู่อาศัย และปกครองผู้คนในสถานที่นี้มาก่อน, กระบวนการส่วนนี้เลยราบรื่น
แต่ระหว่างดินถอดเกราะบางส่วน ลงอาบน้ำในบ่อยักษ์ของเหมือง
จู่ๆ ก็ดูเหมือนมีบางสิ่ง ฉุดนายดินจมดิ่งสู่ใต้วารี
เจ๊โบโดดท่าสวย ดำลงไปช่วยกู้ชีพพระเอก
และมองเห็นเจ้ามิธโธซอว์ (Mythosaur) สัตว์ร้ายในตำนานของแมนดาลอร์
ทั้งที่เรื่องการคงอยู่ของมัน น่าจะเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก ของศาสนาหล่อน
[วิจารณ์] วันที่ 8 เดือนมีนาคมของทุกปี คือวันสตรีสากล
The Mandalorian ซีซั่น 3 ตอนที่สอง ก็เผยแพร่ทางสตรีมมิ่งวันแรก, ในกาลดังกล่าว
และโบคาทานโชว์พลังหญิงให้ประจักษ์ ชนิดโจ่งแจ้งจังหวะนี้, ประกอบ
การที่พระเอกโดนแกงยับ, จัดหนักยิ่งกว่าเมื่อครั้ง โชว์ของไม่ค่อยออก
ตอนเป็นแขกรับเชิญซีรีส์คนอื่น (The Book of Boba Fett) นี่ย่อมมิใช่เหตุบังเอิญแน่
ทว่าผู้เขียนชาย (จอน ฟาฟโร) เปล่าอวยโบคาทาน ขนาดพาลพาให้เนื้อเรื่องเป๋ (แต่เกือบๆ อยู่มั้งเนี่ย)
และจะว่าไปการที่ผู้ผลิต นึกครึ้มจะแต่งละคร ให้ล้อกับเทศกาลจริง (วันสตรี) มันไม่ใช่เรื่องเสียหาย
อันที่จริงด้วยทิศทางของซีรีส์ (ซึ่งแลดูเน้นปูทางสู่ การณ์ใหญ่อย่าง ฟื้นฟูศาสนาแมนดาลอร์, มากขึ้นเรื่อย ๆ)
ยังไงมันต้องมีตอน ที่เจ๊โบเด่นอยู่แล้ว, แค่ว่าเมื่อไหร่
การจับเธอมาล้วงลึก (และแนะนำตัวละครอย่างจริงจัง สำหรับคนที่ไม่เคยรับชมอนิเมชั่น The Clone Wars)
โดยพาเนื้อหาหลัก ให้เดินหน้าไปพร้อมกัน (ไม่ใช่ใส่ฉากย้อนความหลังมา) ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลว
ทำเอาคิดถ้าว่าซีรีส์ Ahsoka (อันปัจจุบันลิขิตว่า ฉายปีนี้) จะทำแบบเดียวกันนี่ ก็โอนะ, ขึ้นมาเลยละ
ประเด็นอีกอย่างของบทวิจารณ์ หนีไม่พ้นความมืดมิดของตอนนี้
ที่เหมาะสมกับสถานการณ์พอดี, จนต้องยอมยกประโยชน์ให้จำเลย ไม่คิดเอาผิดอีกหน
และเป็นอีกครั้งที่ The Mandalorian หาจังหวะประหยัดงบเจอ ทว่าไม่เผลอเล่นหนักถึงขั้น, ทำคนดูมองไรไม่เห็น (แต่เกือบอยู่)
น่าจะเพราะหลักๆ เขาใช้เทคนิค เดินกล้องในโรงถ่าย
ซึ่งกางฉาก ฉายซีจีไว้ข้างหลังประกอบ นั่นแหละมั้ง, จึงแต่งภาพสะดวก
-
[ปล.1] พอโกรกูเป็นลูกเลี้ยงเต็มตัวแล้ว คุณพ่อดินเอาใจใส่เรื่องอุปกรณ์ดีจัง
เปลลอยได้ที่สั่งทำใหม่ มีออปชั่นไฟฉายเพิ่มมาด้วย (ของเดิมที่พัง รู้สึกไม่เคยเปิดใช้ ฉะนั้นไม่น่ามี)
[ปล.2] ใครไม่เคยตาม อนิเมชั่นซีรีส์, ดูเพียงละคร The Mandalorian
อาจไม่เชื่อน้ำคำโบคาทาน, ว่านครแห่งซันดารีเมื่อครั้งยังศิวิไลซ์ สว่างสดใสจริง
จึงคิดว่าสมควรนำภาพประกอบ มาแปะไว้เป็นหลักฐานหน่อย
แต่ดูจากแนวละครแล้ว คงหวังให้เกิดอะไรทำนองนั้น ยากกระมัง