ถึงเวลานายเศรษฐา กรณีนายเอกยุทธ เพราะ ร.ต.อ.เฉลิม พูดอย่าง แต่นายกฯยิ่งลักษณ์ พูดอีกอย่าง

เจาะลึกกรณี ว.5 ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์."

คนที่ตกเป็นข่าวถูกพาดพิง ว.5 ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ คือ นายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจ-กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) แต่เจ้าตัวปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง."  

วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2555 นายเอกยุทธ ได้ออกแถลงการณ์ถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในเว็บไซต์ไทยอินไซด์เดอร์ และในหน้าเฟซบุ๊ก ส่วนตัวโดยมีเนื้อหาดังนี้..  

แถลงการณ์ฉบับที่ 1 ถึงรัฐบาล

ตามที่ผมได้แถลงข่าวเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ถูกลอบทำร้าย ณ โรงแรงดัง (ข่าวสด - โฟร์ซีซั่น) กลางกรุง และให้เวลา 1 วัน เพื่อให้รัฐบาลออกมาให้ "คำตอบ" ซึ่งปรากฏว่า มีทั้งคนในรัฐบาลและคนในพรรคเพื่อไทย ออกมาแสดงความคิดเห็นทั้งที่ "น่าฟัง" และ "ไม่น่าฟัง" 

ประเด็นที่ 1 ผมอยากให้ตัดเรื่องไร้สาระของนายอุนสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาให้สัมภาษณ์แบบไม่รู้จริง ไร้ฐานข้อมูล แต่ต้องการดังเพื่อเกาะกระแส และทำให้มีชื่อตามหน้าสื่อเท่านั้น 

ประเด็นที่ 2 กรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ พร้อมกับโชว์ภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม ทั้งยังไล่เรียงเหตุการณ์เสมือนหนึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตัวเอง แต่ก็ถือว่า ทำหน้าที่ได้สมกับตำแหน่งที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี   

อย่างไรก็ตาม ผมขอโต้แย้งข้อมูลในหลายส่วนที่ร.ต.อ.เฉลิมนำเสนอ ในลักษณะที่พยายามเบี่ยงเบนประเด็น และบิดเบือนความจริง เพราะในการแถลงข่าว ที่สามารถดูได้จากเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ ซึ่งมีการถอดถ้อยความครบทุกถ้อยคำ แต่ ร.ต.อ.เฉลิม ไม่ได้อ่านคำแถลงให้ชัดเจน กลับปะติดปะต่อเรื่อง ซึ่งท้ายสุดจะทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม เสียหายเอง ทั้งยังเสียศักดิ์ศรีภูมิปัญญาระดับ "ด็อกเตอร์" โดยเฉพาะการวิเคราะห์ถึงสาเหตุออกมาเป็น 4 ประเด็น ซึ่งผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง   

1. กรณีที่ระบุว่า เป็นเรื่องการเมืองนั้น ผมยืนยันว่า ไม่เคยพูดหรือให้ร้ายนายกรัฐมนตรีและทีมรักษาความปลอดภัยของนายกฯ ว่าคือผู้สั่งหรือผู้ทำร้ายผม แต่ผมให้ข้อมูลชัดเจนว่า ผู้ที่ทำร้ายผมคือบุคคลที่รู้จักกับคนติดตามที่ทำงานให้กับคนใกล้ชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ผมถามนายกฯเพียงว่า ทำไมถึงเกิดเหตุกับผมหลังจากที่นายกฯออกไปจากโรงแรมดังกล่าวเพียง 10 นาที อันเป็นการถามหาความรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของประชาชนผู้เสียภาษี  

2. จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดและนำมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนของ ร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งมีการแจกแจงรายละเอียดถึงการเคลื่อนไหวของ "คนร้าย" ไว้อย่างชัดเจนพร้อมกับมีการนำภาพมาแสดงให้เห็นถึง "รูปพรรณสัณฐาน" ของ "คนร้ายรายนี้" ด้วยว่า เป็นชายรูปร่างสูงสันทัด สูงประมาณ 175 เซนติเมตร สวมกางเกงเข้ารูปสีเข้มและเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีม่วง ไว้ผมรองทรงสั้น ฯลฯ ซึ่งถือว่าสาธารณะได้เห็นเป็นครั้งแรก ก็อยากให้ ร.ต.อ.เฉลิม ในฐานะที่ดูแลตำรวจ และแสดงภูมิความรู้ที่ "รู้ทุกเรื่องมาโดยตลอด" ก็ควรสั่งการให้ตำรวจจับกุมตัวคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดี เพื่อจะได้พิสูจน์ว่า "ผมจัดฉาก" ตามที่มีความพยายามกล่าวหาหรือไม่ เพราะ ร.ต.อ.เฉลิม ระบุเองว่า แม้ว่าผมจะไม่แจ้งความ ตำรวจก็สามารถสืบสวนหาคนทำผิดมาลงโทษได้ เพราะเป็นคดีอาญา ไม่สามารถยอมความกันได้ 

ทั้งนี้ผมก็อยากฝากรูปให้ ร.ต.อ.เฉลิมได้ตรวจสอบและจัดการหา "คนร้ายรายนี้" มาลงโทษให้ได้ เพราะ "ภาพถ่าย" ที่ผมมีเป็นหลักฐานนั้น สามารถเห็นทั้งด้านหน้าและด้านหลังของคนร้าย ที่คงไม่ยากสำหรับผู้รอบรู้อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม 

3. กรณีที่ระบุว่า เป็นการเขม่นหมั่นไส้จากคนที่มาเที่ยว หรือมีการแย่งจีบผู้หญิงคนเดียวกันนั้น อยากเรียนว่า ทั้งผมและ ร.ต.อ.เฉลิม ก็มีวุฒิภาวะมากพอ และได้พบปะพูดคุยกันทั้งทางลับและทางแจ้ง คงไม่มีใครเสียสติ หรือด้อยปัญญาที่จะทำเรื่องบัดสีต่อสาธารณะ และถ้ามีจริง เรื่องแบบนี้คงเกิดขึ้นกับผมมานานแล้ว เพราะนิสัยส่วนตัวผม สังคมรับรู้ดีว่าเป็นพวกสุขนิยม ไม่ใช่เป็นนักการเมือง ไม่ใช่บุคคลสาธารณะ ไม่เคยปิดบัง ไม่ได้มีพฤติกรรมหลบ ๆ ซ่อน ๆ ที่ชอบนัดพบใครในที่ลับตา จึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้องที่ ร.ต.อ.เฉลิม นำภาพถ่ายส่วนตัวของผมมาเผยแพร่ต่อสาธารณะ ซึ่งแม้จะเป็นการละเมิดสิทธิ แต่ผมก็ไม่ถือสาในการทำงานที่ฉาบฉวย เพราะถ้าเป็นการนำภาพขณะผมถูกทำร้ายมาเผยแพร่ ย่อมจะเป็นการดี และเป็นการพิสูจน์ภูมิปัญญาของ ร.ต.อ.เฉลิม ได้เป็นอย่างดี  

หาก ร.ต.อ.เฉลิม สามารถเข้าไปดูภาพจากกล้องวงจรปิดในโรงแรมได้ก็ควรนำภาพจากกล้องวงจรปิดในชั้น 7 ที่ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นผู้กล่าวเองว่านายกฯเดินขึ้นไปห้องประชุมเล็กชั้น 7 เพื่อจะได้ตอบสังคมให้เคลียร์ว่า นายกฯไปทำอะไร เพราะนายกฯเองกลับให้สัมภาษณ์สื่อในภายหลังว่า "ไม่ได้ไปประชุม แต่จะไปเจอกับใครก็ได้ ที่สำคัญไปในสถานที่เปิดเผย ไม่ได้เสียหาย" ก็ยิ่งทำให้สังคมสับสนหนักยิ่งขึ้น เพราะ ร.ต.อ.เฉลิม พูดอย่าง แต่นายกฯ พูดอีกอย่าง
แต่สรุปแล้ว ทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม และนายกฯ ควรตอบให้สังคมหายข้อสงสัย หรือนำภาพถ่ายที่ปรากฏในชั้น 7 มาเปิดเผยต่อสาธารณะเลยดีกว่า ว่าไปพบกับใคร   

โดยเฉพาะเวลานี้ในโลกสังคมออนไลน์ มีการตั้งข้อสังเกตไปไกลแล้วว่า หลังนายกฯเดินทางกลับ มีผู้พบเห็นนายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ปรากฏกายในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมาย 

จึงเป็นเรื่องที่นายกฯ ต้องชี้แจงต่อสาธารณะ ให้คลายความสงสัย ว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนใดแอบแฝงหรือไม่ เพราะนายกฯ คือ "บุคคลสาธารณะ" ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคือ "นักธุรกิจชื่อดัง" 

อยากย้ำอีกครั้งว่า ประเด็นที่ผมตั้งข้อสงสัยคือ เหตุลอบทำร้ายที่เกิดขึ้นกับผม ซึ่งมุ่งหวังจะเอาให้ถึงแก่ชีวิตนั้น เกิดขึ้นภายหลังจากที่นายกฯ เดินทางออกจากโรงแรมดังกล่าวไปประมาณ 10 นาที ก็เกิดเหตุกับผม ทำให้ผม ในฐานะประชาชนผู้เสียภาษี ต้องการทราบว่า "ใคร" คือคนที่ทำร้ายผม มีสาเหตุอะไร และ "ใคร" คือผู้สั่งการ    

สำหรับกรณีที่นายกฯ ไปทำภารกิจลับ ว.5 ทั้งที่เป็นช่วงเวลาราชการ ซึ่งจะไปพบใคร นักธุรกิจคนใด ก็เป็นเรื่องที่นายกฯ ต้องชี้แจงให้สังคมหายสงสัย ส่วนจะกล้าตอบ หรือไม่กล้าตอบ ก็เป็นเรื่องที่นายกฯ ควรใช้วิจารณญาณของตนเอง เพราะมีข่าวว่า "ใครบางคน" พยายามวิ่งเต้นซื้อที่ดินทำฟลัดเวย์ และต้องการเปลี่ยนตัวดีดีการบินไทย 

สำหรับผม ถือเป็นการทำหน้าที่ในฐานะประชาชนธรรมดา ที่คงต้องหาทางปกป้องตัวเองและต่อสู้เพื่อความถูกต้องต่อไป.'
เอกยุทธ อัญชันบุตร.

ที่มา. https://www.facebook.com/photo?fbid=161191036539393&set=gm.1769718810070277&idorvanity=1363257777383051




ว.5 สั่งตาย เอกยุทธ อัญชันบุตร เผยแพร่: 15 มิ.ย. 2556

ดีฆาตกรรมอุ้มฆ่า “นายเอกยุทธ อัญชันบุตร” นักธุรกิจชื่อดังเจ้าของเว็บไซต์อินไซเดอร์ ซึ่งประกาศตัวเป็นศัตรูกับระบอบทักษิณรวมถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และในฐานะอดีตเจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์ผู้นี้ กำลังถูกจับตามองจากสังคมอย่างไม่กระพริบตา เพราะสังคมไม่เชื่อว่า นี่เป็นคดีฆาตกรรมธรรมดาเพื่อหวังชิงทรัพย์จำนวน 5 ล้านบาท หากแต่มีเงื่อนงำและข้อพิรุธที่น่าสงสัยในหลายเรื่องหลายราวด้วยกัน  

ไม่ว่าจะเป็นจากทิศทางของคดีที่มีการเบี่ยงประเด็นไปกันคนละทิศละทาง จากแรกเริ่มที่ทำทีประหนึ่งว่าเป็นนายเอกยุทธอุ้มตัวเองเพื่อสร้างประเด็นทางการเมือง กลายมาเป็นการฆาตกรรมเพื่อชิงทรัพย์ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อตรวจสอบศัตรูและคู่แค้นของนายเอกยุทธด้วยก็พบว่า ไม่สมควรอย่างยิ่งที่รีบด่วนสรุปว่าเป็นการฆาตกรรมเพื่อชิงทรัพย์ เพราะขนาดคดีกระจ้อยร่อยตำรวจยังไม่เคยตั้งแค่ประเด็นเดียว  

ทั้งนี้ เนื่องจากนายเอกยุทธมี “โจทย์” ที่เข้าข่ายต้องสงสัยจำนวนมาก 

นี่ถ้าญาติของนายเอกยุทธและนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความส่วนตัวของนายเอกยุทธจับข้อพิรุธของคดีไม่ได้ คดีนี้ก็คงปิดฉากเรียบร้อยโรงเรียนจีนตามคำบัญชาของคนสั่งตายไปแล้ว  

ใครอยู่เบื้องหลังคำสั่งตาย?
เสธ.คนดังเป็นคนปฏิบัติการจริงหรือ?
เกี่ยวข้องกับโฟร์ซีซันส์และน้ำแตกที่มัลดีฟส์หรือไม่?
เหล่านี้คือประเด็นที่จะต้องถอดรหัส 

**พิรุธที่ 1
เบี่ยงประเด็นอุ้มตัวเอง ขีดวงคนขับรถฆ่าชิงทรัพย์

แรกเริ่มเดิมทีคดีฆาตกรรมอุ้มฆ่านายเอกยุทธ อัญชันบุตรที่หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมาสร้างความสับสนให้กับสังคมเป็นอย่างมาก โดยหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมตัว “นายสันติภาพ เพ็งด้วง” หรือ “บอล” คนขับรถของนายเอกยุทธได้นั้นเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2556 พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รอง ผบช.น. พล.ต.ต. ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น.4 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน บช.น. ร่วมกันแถลงข่าวควบคุมตัวนายสันติภาพ ซึ่งทิศทางของข่าวและคดีที่ออกมาเป็นไปในทำนอง “นายเอกยุทธอุ้มตัวเองไปพม่าเพื่อสร้างประเด็นทางการเมืองเสียด้วยซ้ำ ไป”  

ทั้งนี้ ในการแถลงข่าวนายสันติภาพระบุชัดเจนว่า ได้ยินนายเอกยุทธคุยโทรศัพท์กับปลายทางว่า “จะมารับหรือยังเดี๋ยวกูจะไปพม่า” แถมนายสันติภาพยังเล่าเหตุการณ์เป็นตุเป็นตะอีกต่างหากว่า ขณะเดินทางถึงปราณบุรีนายเอกยุทธได้บอกกับเขาว่า “เอ็งไม่ต้องบอกใครว่ามาส่งที่นี่ เอ็งไปพักแล้วค่อยกลับมาทำงานใหม่ตอนข้ากลับมา”  

ที่สำคัญคือในการแถลงข่าวการจับกุมนายสันติภาพ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังนำแผ่นกระดาษซึ่งเป็นลายมือของนายสันติภาพที่มีข้อความว่า “ถึงบริษัทเน็ตอีสท์ ผมไม่ได้หนีไปไหน แต่นายสั่งให้ผมหลบไปสักพักแล้วค่อยกลับมา ผมไปส่งนายที่ที่นายสั่งว่าห้ามบอกใคร และให้ผมย้อนกลับมาเมื่อนายกลับมา ลงชื่อ BALL” มาแสดงต่อหน้าสื่อมวลชนอีกต่างหาก  

บริษัทเน็ตอีสท์ที่ว่านั้นก็คือบริษัทของนายเอกยุทธที่ตั้งอยู่ในย่านทาวน์อินทาวน์

อย่างไรก็ตาม ถ้าพินิจพิเคราะห์ข้อมูลที่นายสันติภาพเปิดปากเมื่อถูกจับกุมในวันแรกก็ต้องบอกว่า ราวกับเป็นบทละครที่มีการเขียนเอาไว้ล่วงหน้า ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า คนอย่างนายสันติภาพจะสามารถเขียนขึ้นมาเองได้โดยที่ไม่มีใครบงการอยู่เบื้องหลัง  

ขณะเดียวกันก็ต้องย้อนกลับไปถามเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยเช่นกันว่า ทำไมในช่วงแรกถึงรีบนำตัวนายสันติภาพออกมาสู่สาธารณชน แถมยังปล่อยให้นายสันติภาพกำหนดทิศทางของข่าวให้เป็นไปอย่างที่ต้องการโดยที่มิได้มีการตรวจสอบให้ละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าจะผิดปกติวิสัย จะว่ารีบร้อนจนผิดพลาดก็ไม่น่าจะใช่  

นอกจากนั้นจากคดีอุ้มตัวเองไปพม่าก็พลิกอย่างฉับพลันทันทีเมื่อมีประเด็นเพิ่มเติมเข้ามาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า อาจมีความเป็นไปได้ว่า นายเอกยุทธถูกอุ้มเพื่อรีดเงิน 5 ล้านบาท  

อ่านต่อได้ที่มาข่าว. https://mgronline.com/daily/detail/9560000072118
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่