ครั้งหนึ่งเคยเชื่อว่าอสังขตธาตุมีอุปาทานมายึดขันธ์ห้า
ถ้าอสังขตธาตุเลิกยึดขันธ์ห้าเมื่อไรคือหลุดพ้น กลับไปสู่นิพพานที่แท้จริงหรืออสังขตธาตุบริสุทธิ์
เกิดความคิดบรรเจิดขึ้นมา ในเมื่ออสังขตธาตุมันโง่ ทำไมเราที่เป็นขันธ์ห้าไม่ติดต่อกับอสังขตธาตุให้เลิกโง่ล่ะ
ขันธ์ห้าฟังธรรมและปฏิบัติธรรมจนฉลาด ถ้าขันธ์ห้าแบ่งความรู้นี้ให้อสังขตธาตุได้เราก็จะหลุดพ้น
นี่ล่ะคือแผนการหลุดพ้นทางลัด บรรลุธรรมพร้อมการเสพสุข ไม่ต้องทรมานตนปฏิบัติให้ลำบากเหมือนคนอื่น
คำถามที่ตามมาคือ ขันธ์ห้าติดต่อกับอสังขตธาตุได้อย่างไร อสังขตธาตุใช้อะไรในการสื่อสาร
มาตันที่ตรงนี้แหละ ตอบไม่ได้สักที สื่อสารด้วยภาษา สื่อสารด้วยความคิด สื่อสารด้วยจิต ฯลฯ
ไม่ว่าจะนึกอะไรออกมาก็เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับขันธ์ห้า อสังขตธาตุไม่ใช่ขันธ์ห้า จะเข้าใจได้อย่างไร
ไม่ยอม ต้องมีอะไรสักอย่างที่อสังขตธาตุและขันธ์ห้ามีร่วมกัน ฉันจะใช้สิ่งนั้นเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร
น่าอนาถจริง ชาตินี้ไม่บรรลุธรรมแน่เลย ไม่ยอม ฉันต้องค้นหาจนเจอให้ได้
ใช้เวลาค้นหาอยู่นานเป็นเดือน ไม่เจอสักที นึกอะไรได้ก็เป็นขันธ์ห้าทั้งนั้น
นี่ขนาดเห็นขันธ์ห้าเกิดดับภายในหนึ่งวินาทีแล้วนะ ยังไม่เก่งพอที่จะเจอคำตอบอีกเหรอ
จนถึงจุดหนึ่งเกิดปัญญาว่าไม่ใช่เลย สาเหตุที่ยังไม่เจอคำตอบไม่ใช่เพราะเราไม่เก่งพอ
แต่เป็นเพราะเราเก่งพอจนแยกขันธ์ห้าได้อย่างละเอียดต่างหาก เหตุนั้นจึงไม่เจอคำตอบ
คำถามที่ตั้งไว้ผิดตั้งแต่แรก สมมติฐานผิดยาวเป็นลูกโซ่ ขันธ์ห้าไม่มีทางติดต่อกับอสังขตธาตุได้
เพราะอสังขตธาตุไม่ได้มีอุปาทานมายึดขันธ์ห้า แล้วจะหาอสังขตธาตุที่เป็นอัตตาเจอได้อย่างไร
ตั้งแต่นั้นมาใครกล่าวถึงลัทธิสัสสตทิฏฐิไม่เชื่อตามแล้ว
เช่น อสังขตธาตุยึดขันธ์ห้า จิตเดิมแท้ จิตไปแดนนิพพาน พระพุทธเจ้ารออยู่ที่นิพพาน
แปลกดีนะ มีมิจฉาทิฏฐิ ตั้งเป้าหมายผิด ใช้อัตตาเป็นเป้าหมายในการปฏิบัติธรรม
แต่กลับเลือกสติปัฏฐาน 4 เป็นเครื่องมือค้นหาอัตตา คิดว่าการมีสติช่วยแยกอัตตาที่แท้จริงออกจากขันธ์ห้า
สุดท้ายลงเอยว่าแม้เป้าหมายผิดแต่ใช้เครื่องมือถูก ก็เกิดปัญญาเห็นธรรมจนละความเห็นผิดได้เอง
ครั้งหนึ่งฉันพยายามติดต่อกับอสังขตธาตุเพื่อหวังบรรลุเร็ว <แต่ล้มเหลว>
ถ้าอสังขตธาตุเลิกยึดขันธ์ห้าเมื่อไรคือหลุดพ้น กลับไปสู่นิพพานที่แท้จริงหรืออสังขตธาตุบริสุทธิ์
เกิดความคิดบรรเจิดขึ้นมา ในเมื่ออสังขตธาตุมันโง่ ทำไมเราที่เป็นขันธ์ห้าไม่ติดต่อกับอสังขตธาตุให้เลิกโง่ล่ะ
ขันธ์ห้าฟังธรรมและปฏิบัติธรรมจนฉลาด ถ้าขันธ์ห้าแบ่งความรู้นี้ให้อสังขตธาตุได้เราก็จะหลุดพ้น
นี่ล่ะคือแผนการหลุดพ้นทางลัด บรรลุธรรมพร้อมการเสพสุข ไม่ต้องทรมานตนปฏิบัติให้ลำบากเหมือนคนอื่น
คำถามที่ตามมาคือ ขันธ์ห้าติดต่อกับอสังขตธาตุได้อย่างไร อสังขตธาตุใช้อะไรในการสื่อสาร
มาตันที่ตรงนี้แหละ ตอบไม่ได้สักที สื่อสารด้วยภาษา สื่อสารด้วยความคิด สื่อสารด้วยจิต ฯลฯ
ไม่ว่าจะนึกอะไรออกมาก็เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับขันธ์ห้า อสังขตธาตุไม่ใช่ขันธ์ห้า จะเข้าใจได้อย่างไร
ไม่ยอม ต้องมีอะไรสักอย่างที่อสังขตธาตุและขันธ์ห้ามีร่วมกัน ฉันจะใช้สิ่งนั้นเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร
น่าอนาถจริง ชาตินี้ไม่บรรลุธรรมแน่เลย ไม่ยอม ฉันต้องค้นหาจนเจอให้ได้
ใช้เวลาค้นหาอยู่นานเป็นเดือน ไม่เจอสักที นึกอะไรได้ก็เป็นขันธ์ห้าทั้งนั้น
นี่ขนาดเห็นขันธ์ห้าเกิดดับภายในหนึ่งวินาทีแล้วนะ ยังไม่เก่งพอที่จะเจอคำตอบอีกเหรอ
จนถึงจุดหนึ่งเกิดปัญญาว่าไม่ใช่เลย สาเหตุที่ยังไม่เจอคำตอบไม่ใช่เพราะเราไม่เก่งพอ
แต่เป็นเพราะเราเก่งพอจนแยกขันธ์ห้าได้อย่างละเอียดต่างหาก เหตุนั้นจึงไม่เจอคำตอบ
คำถามที่ตั้งไว้ผิดตั้งแต่แรก สมมติฐานผิดยาวเป็นลูกโซ่ ขันธ์ห้าไม่มีทางติดต่อกับอสังขตธาตุได้
เพราะอสังขตธาตุไม่ได้มีอุปาทานมายึดขันธ์ห้า แล้วจะหาอสังขตธาตุที่เป็นอัตตาเจอได้อย่างไร
ตั้งแต่นั้นมาใครกล่าวถึงลัทธิสัสสตทิฏฐิไม่เชื่อตามแล้ว
เช่น อสังขตธาตุยึดขันธ์ห้า จิตเดิมแท้ จิตไปแดนนิพพาน พระพุทธเจ้ารออยู่ที่นิพพาน
แปลกดีนะ มีมิจฉาทิฏฐิ ตั้งเป้าหมายผิด ใช้อัตตาเป็นเป้าหมายในการปฏิบัติธรรม
แต่กลับเลือกสติปัฏฐาน 4 เป็นเครื่องมือค้นหาอัตตา คิดว่าการมีสติช่วยแยกอัตตาที่แท้จริงออกจากขันธ์ห้า
สุดท้ายลงเอยว่าแม้เป้าหมายผิดแต่ใช้เครื่องมือถูก ก็เกิดปัญญาเห็นธรรมจนละความเห็นผิดได้เอง