ท้ายบทที่แล้ว
เอาไงเอากัน ผมลุกขึ้นกำเทียนไขอาคมในมือแน่น เดินออกไปยืนบนระเบียง มองลงไปพื้นที่ข้างกุฎิ ยังพอมีแสงจันทร์ลอดกิ่งก้านเงาไม้ เห็นหมาวัดพันธุ์ไทยแท้สี่ห้าตัว นั่งโก่งคอหอนเสียงเยือกเย็นไม่ยอมหยุดไม่รอช้าให้เสียเวลา
เทียนไขในมือขว้างลงไปใส่ฝูงหมาพวกนั้นทันที
.............
แปลกแต่จริงครับ พอเทียนไขกระทบพื้น พวกฝูงหมาที่กำลังประสานเสียงพากันแตกฮือ ร้องเสียงหลงแทบไม่เป็นภาษาหมา แยกย้ายวิ่งกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทางเหมือนโดนปาใส่ด้วยระเบิดนาปาล์มขนาดเล็ก เพื่อนเณรทั้งหลายพอได้ยินเสียงฝูงหมาแตกฝูง ถึงได้กล้าเผ่นออกมาจากห้องพิธี พากันเกาะไม้กั้นระเบียง ชะโงกจ้องมองลงไปยังลานดินหน้ากุฏิ ที่เวลานี้ไม่เหลือแม้แต่ลูกหมาสักตัวเดียว
เณรน้อยหันมาชูนิ้วหัวแม่โป้งให้ผม เป็นเชิงบอกว่า ยอดเยี่ยมมาก ผมยักคิ้วอย่างไว้เชิง ผายมือเหมือนเป็นเรื่องจิ๊บ ๆ รีบรับเอาความดีความชอบแบบไม่ต้องถ่อมตัวให้เสียโอกาส
เทียนไขไล่หมา เพิ่งเคยเจอนี่ละครับ ที่ผ่านมาเคยฟังแต่จุดเทียนระเบิดน้ำลงไปปราบจระเข้ในเรื่องชาละวันกับไกรทอง แต่นั่นเป็นเพียง นิทานพื้นบ้านเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องจริงแบบที่ผมกำลังเผชิญ แต่ในใจคิดว่า น่าจะต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลัง ทำไมหมากลัวเทียนไข ไม่น่าเป็นไปได้ บางทีสิ่งที่ทำให้ฝูงหมากระเจิดกระเจิงไปอาจจะเป็นผลกระทบของสิ่งที่ไร้ตัวตน ซึ่งวนเวียนอยู่แถวนั้นก็ได้ บรรดาหมาเพียงแต่ตามมาทำหน้าที่หอนประกอบฉากตามสัญชาตญาณหมาเท่านั้น
อย่างไรก็ตามผมคิดว่ายกที่หนึ่ง หลวงที่อินทำคะแนนนำไปแล้ว ทำให้ผมยอมรับนับถือฝีมือของหลวงพี่อินขึ้นมาอีกหลายส่วน
แต่ผมไม่ได้มีโอกาสดีใจนาน เพราะพอหันหลังกลับ ไม่ทันจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องทำพิธี ก็ต้องชะงัก มองไปทางระเบียงยาวโดยไม่ตั้งใจ แล้วก็เกิดอาการใจเต้นระรัวขึ้นมาทันที
ห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตร ผมเห็นร่างของใครคนหนึ่ง ยืนเป็นเงาตะคุ่มในความสลัวเลือนของบรรยากาศ แสงจันทร์จากภายนอกส่องเฉียงเข้ามาไม่ถึงเลยทำให้ขมุกขมัวน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
ถึงจะมองหน้าตาไม่ชัดเจน ก็สังเกตได้ว่าจะต้องเป็น ผู้หญิง อย่างแน่นอน สวมกระโปรงยาวแค่เข่า ผมเขม้นตามองให้แน่ใจ นึกสงสัยว่า ผู้หญิงที่ไหนจะเดินขึ้นมาคนเดียวบนกุฏิร้างในเวลากลางคืน แค่ข้อนี้ข้อเดียวก็ทำให้ผมไม่ไว้ใจและเริ่มขนลุก เพื่อนเณรอีกสามรูปที่ยืนอยู่ข้างหลัง คงคิดแบบนี้เหมือนกัน เพราะเห็นพากันเงียบกริบยืนนิ่งผิดปกติวิสัยที่เคยเอะอะวุ่นวาย
ยิ่งจ้องมองนาน ผมก็ยิ่งเห็นความผิดปกติของผู้หญิงลึกลับคนนั้นมากขึ้น หน้าตามองไม่ชัด น่าจะสวมเสื้อคอกระเช้าสีหม่น ชายกระโปรงของเธอ บานกว้างออกด้านข้างเกินกว่าครึ่งเมตร ถ้าชายกระโปรงกว้างได้ขนาดนั้น คนต้องมีช่วงขายาวผิดมนุษย์ แต่สิ่งที่ทำให้ขนหัวลุกตั้งชันคือ ช่วงขาเรียวทั้งสองไม่ได้อยู่ชิดกัน แต่มาอยู่ขอบชายกระโปรงคนละด้าน แถมขายังเหยียดตรงขนานกันลงไปด้านล่าง ไม่มีทางเด็ดขาดว่าจะมีคนธรรมดาที่ไหน ช่วงขายืดยาวยืนถ่างกางขากว้างแบบนั้น
ร่างนั้นเริ่มขยับก้าว ทีละก้าวตรงเข้ามา ขาทั้งสองข้างห่างกันขนาดนั้น ลักษณะของการเดินจึงผิดลักษณ์ผิดรูปอุบาทว์ น่าเกลียดน่ากลัว ยังไงก็ไม่ใช่คนแน่นอน ไม่มีใครเดินท่าทางผิดธรรมชาติจนน่าสะพรึงอย่างที่เห็นได้
นี่มันต้องเป็นผีขากาง ผีขายาว หรือผีขาถ่าง เป็นแน่แท้
ผีขาถ่างก้าวตรงมาช้า ๆ อย่างไม่รีบร้อนที่จะหลอก ชวนขนพองสยองเกล้าเป็นอย่างยิ่ง ผมร้องเสียงหลง กระโจนผลุงกลับเข้าไปในห้อง ชี้ไม้ชี้มือ ร้องเสียงสั่นบอกว่าผีหลอก หันหน้ามาหน้าเพื่อนเณรก็ไม่พบเสียแล้ว ทุกรูปไม่รู้ว่าเผ่นเข้าไปในห้องพิธีตั้งแต่ตอนไหน ไม่บอกไม่ชวนกันเสียเลย ปล่อยให้ผมเผชิญหน้ากับความน่ากลัวอยู่คนเดียว จะหนีก็ไม่บอกกันสักคำ เณรนะเณร...
ผมหันมองเพื่อนเณรทั้งสามรูปที่นั่งหน้าเสียอยู่ด้านหลังหลวงพี่อินอย่างขุ่นเคือง หลวงพี่หยุดบริกรรม จ้องหน้าผมเหมือนจะถาม ผมเองกระโดดผลุงมานั่งอยู่ด้านข้างหลวงพี่อินบ้าง เล่าปากคอสั่น ยืนยันว่าเห็นผีผู้หญิงอยู่บริเวณระเบียง
หลวงพี่อินส่ายหัว ลุกขึ้นคว้าตะเกียง มือหนึ่งคว้าแขนของผม ดึงให้ออกไปส่องตะเกียงดูด้วยกันตรงหน้าห้อง ให้รู้ดำรู้แดงไปเลย และก็เป็นไปตามคาด ทางเดินระเบียงกุฎิว่างเปล่าไร้วี่แววผีขาถ่างตัวนั้น มีเพียงความมืดมัวสลัวราง
นั่นไง นึกแล้วว่าจะมามุกนี้ ผมนึกในใจ เป็นไปตามนิสัยผีสากล ที่มักจะเลือกจังหวะหลอกในเวลาที่คนเราไม่ทันตั้งตัว พอตั้งใจจะไป ดูผี จริง ๆ ก็มักจะหลบฉากแบบรอจังหวะหลอกใหม่
หลวงพี่อินถอนใจ พูดเหมือนกึ่งบ่นกึ่งตำหนิว่าบอกแล้วให้ตั้งสติให้ดี ไม่อย่างนั้นจะตาฝาด หลอนจิตคิดปรุงแต่งเห็นไปเอง ผมยังใจสั่นไม่หาย แต่ไม่ปริปากโต้เถียง เพราะหลักฐานหลอนหลอกชิ้นสำคัญหายไปจริง ๆ และผมก็ไม่ต้องการให้หลักฐานกลับมายืนยันแสดงตัวตนอีก ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ ภาพเดินท่าทางพิเศษของผีตนนั้นยังประทับใจให้วูบหวิวไม่หาย
หลวงพี่อินกลับเข้าห้อง เริ่มทำพิธีต่อ เสียงท่องคาถาอาคมดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีเสียงหมาหอนรบกวน ท่าทางจะไปด้วยดี แต่บรรยากาศก็ไม่ได้เป็นใจเต็มร้อยเสียเลยทีเดียว เพราะยังมีเสียงของนกกลางคืนแว่วดังมาเป็นระยะ ผมจำได้ว่าเป็นเสียงของนกเค้าแมว นกที่ผู้คนมีทัศนคติไปในทางด้านลบว่า เป็นนกผีที่เป็นสื่อนำของความตาย ความโชคร้าย ความเจ็บป่วยทุกข์ทรมานมาสู่ผู้พบเห็นได้ยินเสียงร้อง แม้จะมีหลายคนบอกว่าเป็นเพียงความบังเอิญ แต่ก็มีหลายครั้งที่ความบังเอิญเกิดซ้ำซ้อนมากเกินไป จนกลายเป็นความเชื่อ เสียงร้องของมันทำให้ขนลุกขนพองดีแท้
นกเค้าแมวร้องอยู่ในเงาไม้รอบกุฏิ ท่าทางมีหลายตัว ร่วมแรงประสานเสียงกันถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนผมอยากให้หลวงพี่อินเอา เทียนไล่นก ออกมาใช้เสียที หลวงพี่ยังคงนั่งบริกรรมต่อไปอย่างไม่สนใจโลกภายนอก แต่เมื่อเสียงนกเค้าแมวยังร้องรบกวนไม่หยุด หลวงพี่อินหยุดบริกรรมคาถา หันหน้ามาทางผม ล้วงมือเข้าไปในย่ามที่วางข้างตัว หยิบธูปออกมากำมือหนึ่ง บอกให้ผมเอาไปจุดไฟให้ติดแล้วเอาไปโยนลงไปหน้ากุฏิ
เอาอีกแล้วนะหลวงพี่ ผมได้แต่ครางในใจ เณรก็มีตั้งหลายรูป ทำไมไม่ใช้ มาใช้เด็กน้อยธรรมดาอย่างผมมันถูกเสียที่ไหน ผมไม่ใช่เด็กวัดสักหน่อย แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากคัดค้าน เดี๋ยวจะหาว่าผมเป็นคนขี้ขลาด ประกอบกับยังมีหลวงพี่และเพื่อนเณรสามรูปอยู่ห่างแค่นี้เอง ไม่ต้องต้องกลัว นึกปลอบใจตัวเองแล้วกัดฟันรวบรวมความกล้า รับธูปกำนั้นมาจากหลวงพี่อิน นำไปลนไฟจากเทียนไขที่ตั้งบนพื้นเบื้องหน้าจนจุดติด จึงเดินออกมาจากห้อง หลับหูหลับตาเหวี่ยงธูปในมือออกไปสุดแรงยังด้านนอก
ไม่รู้เหมือนกันว่า ธูป จะไปเกี่ยวข้องอะไรกับนกเค้าแมว แต่ที่แน่ ๆ พอธูปลอยลงไปยังลานดิน เสียงนกเค้าแมวก็เคยร้องประสานเสียงก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง ผมใจชื้นขึ้นมาทันที รู้แล้วว่าหลวงพี่อินมีดีไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้ามาทำพิธีปลุกเครื่องรางของขลังแบบนี้
เพื่อแสดงออกถึงความกล้าหาญ ผมแสร้งทำเป็นมองซ้ายมองขวา โดยลืมไปว่า เพิ่งเจอผีขาถ่างไปหยก ๆ
เป็นการแสดงความกล้าหาญที่ไม่น่าทำเอาเสียเลย ในระยะหกเจ็ดเมตรแสงจันทร์พอทำให้เห็นผู้หญิงผีขาถ่างสวมเสื้อคอกระเช้าคนนั้น กำลังนั่งแกว่งขาอยู่บนราวไม้กั้นระเบียงด้วยท่าทางสบายใจ ใบหน้าเอียงชำเลืองจ้องเหมือนอยากทักทาย ไม่รู้เพราะอะไรทำให้ผมยืนนิ่งขึง หัวสมองมึนชาคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
ผู้หญิงคนนั้นยกมือข้างหนึ่งขึ้น ทำท่ากวักเรียกหาอย่างช้า ๆ มาทางผม และก็แปลกอีกนั่นละครับ ผมรู้สึกว่าเธอกำลังค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ จนเริ่มจะเห็นใบหน้าค่าตาชัดเจน ใบหน้าของเธอขยายใหญ่มากขึ้นทุกที ปากสีแดงแสยะยิ้มกว้างอย่างน่ากลัว ใบหน้าของผู้หญิงที่แน่ใจว่าไม่เคยรู้จักหรือเคยเห็นหน้ามาก่อนอย่างแน่นอน
มือของใครบางคนกระชากแขนของผมอย่างแรงจนสะดุ้ง หันไปมองเห็นเณรน้อยยืนอยู่ด้านหลัง พลางถามว่าผมจะไปไหน หลวงพี่อิมให้มาตาม
จะไปไหนอย่างนั้นหรือ ผมงงกับคำถาม แต่พอได้สติก็พบว่าตัวเองอยู่ห่างจากประตูทางเข้าห้องพิธี แถมกำลังค้างคาอยู่ในท่าแบบที่พร้อมจะกระโดดลงไปด้านล่าง
งานเกือบเข้า...ผมเพิ่งนึกรู้ว่าตัวเองกำลังจะกระโดดลงไปจากระเบียงโดยไม่รู้ตัว เผลอตัวเดินมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน และบริเวณลานดินหน้ากุฏิ ร่างของผู้หญิงที่เคยนั่งราวระเบียง ลงไปยืนนิ่งกลางแสงจันทร์ เธอเงยหน้าขึ้นมามอง คราวนี้เห็นใบหน้าบึ้งตึงอย่างไม่พอใจชัดเจน ยกมือขวาชี้ขึ้นมาแล้วก้าวเข้ามาลับหายไปใต้เงามืดชั้นล่าง
ผมขนลุกทันที อย่าบอกนะว่าจะเดินขึ้นมาบนกุฏิ ไม่รอช้าผมรีบดึงแขนเณรน้อยเผ่นกลับเข้าไปรวมกลุ่มกับบรรดาเพื่อนเณรด้วยอาการใจเต้นระรัว นึกเสียใจว่าไม่น่ามาน่าเรื่องใส่ตัวเลย อยู่บ้านก็หลับสบายไปแล้ว
หลวงพี่อินบอกว่าให้รู้ทันความปรุงแต่งของจิต ปัญญาเป็นตัวเข้าใจ สติเป็นตัวรู้ทัน สติเป็นตัวจับ ปัญญาเป็นตัวตัด เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็หลอก รู้ทันมัน ผมเกือบจะสวนไปว่า ลองหลวงพี่มาเจอแบบผมบ้างสิ จะมีเวลามารู้ทันรู้หลอกรู้ผีอะไรไหม แต่เกรงใจพระจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะท่าทางผมกับพระยังคงต้องพึ่งพาอาศัยกันอีกนาน
หลวงพี่อินยังคงนั่งบริกรรมต่อไป เวลาผ่านไปพักหนึ่ง สายลมเริ่มกระโชกแรงขึ้นทีละน้อย เงาไม้แผ่กิ่งก้านสาขาสะบัดครืน ๆ ด้านนอก เทียนไขหกเล่มที่จุดวางเรียงรายบนพื้นทยอยดับลงทีละเล่ม ดีว่ายังมีตะเกียงโป๊ะครอบแก้วให้แสงสว่างวางบนโต๊ะบูชา ไม่อย่างนั้นคงได้นั่งกันในความมืดเป็นแน่แท้ ผมเองเริ่มมีอาการกระสับกระส่าย เพราะภาพของผีผู้หญิงขากาง ยังติดตาไม่หาย นึกถึงท่าทางเดินอันวิปริตน่ากลัวทีไร ก็ทำให้ขนลุกอยู่วูบ ๆ กลัวว่าผีตัวนั้นจพแอบมองมาจากเงามืดแห่งใดแห่งหนึ่ง
มือของใครคนหนึ่งมาสะกิดหัวเข่า ทำเอาสะดุ้ง ใจหายวาบ นึกว่ามือผีมาสะกิด หันไปมองทางสามเณรทั้งหลายที่นั่งอยู่ด้านข้าง ก็ทำให้ใจหายวูบลงไปอีก เพราะเวลานี้บรรดาเพื่อนเณรพากันนั่งตัวแข็งทื่อ แหงนหน้าขึ้นไปมองด้านบนหน้าประตูทางเข้า ผมพยายามจะไม่เงยหน้าขึ้นไปมอง เพราะสีหน้าท่าทางแบบนั้นไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่ามีสิ่งไม่น่ามองรอคอยอยู่แน่นอน แต่ไม่ทันการเสียแล้ว ร่างกายไวกว่าความคิดเสียอีก ผมเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่ตั้งใจ
กุฏิหลังนี้เป็นกฏิแบบสมัยโบราณ หลังคาทรงสูง ไม่มีฝ้าเพดาน จึงมองขึ้นไปถึงหลังคา เห็นขื่อ คาน ยึดปลายเสาพาดไปมาชัดเจน และบนขื่อคานด้านบนตรงประตูห้องนั่นเอง ภาพติดตาของผีสาว บัดนี้ได้มาปรากฏให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างอย่างชัดเจน
ผู้หญิงรูปร่างผอมสวมเสื้อแขนสั้นกระโปรงยาวถึงเข่า ยืนจังก้าคร่อมประตูทางเข้า ใช้มือใช้เท้ายาว ๆ ผิดรูป จับยึดขื่อคานเอาไว้ โดยเฉพาะแขนและขาที่ยาวผิดมนุษย์ยื่นกางออกด้านข้าง ขย่มโยกโยนตัวไปมาราวเป็นแมงมุมตัวใหญ่ ใบหน้าก้มลงจนเส้นผมยาวปกประระหน้า ลิ้นสีแดงยาวเป็นวา ตวัดไหววูบวาบในอากาศอย่างน่าสยดสยอง นี่คือสาเหตุที่ทำให้พวกเณรพากันนั่งตัวแข็งจนร้องไม่ออก
......
กุฎิร้าง....... 2/2 จบ
ท้ายบทที่แล้ว
เอาไงเอากัน ผมลุกขึ้นกำเทียนไขอาคมในมือแน่น เดินออกไปยืนบนระเบียง มองลงไปพื้นที่ข้างกุฎิ ยังพอมีแสงจันทร์ลอดกิ่งก้านเงาไม้ เห็นหมาวัดพันธุ์ไทยแท้สี่ห้าตัว นั่งโก่งคอหอนเสียงเยือกเย็นไม่ยอมหยุดไม่รอช้าให้เสียเวลา
เทียนไขในมือขว้างลงไปใส่ฝูงหมาพวกนั้นทันที
.............
แปลกแต่จริงครับ พอเทียนไขกระทบพื้น พวกฝูงหมาที่กำลังประสานเสียงพากันแตกฮือ ร้องเสียงหลงแทบไม่เป็นภาษาหมา แยกย้ายวิ่งกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทางเหมือนโดนปาใส่ด้วยระเบิดนาปาล์มขนาดเล็ก เพื่อนเณรทั้งหลายพอได้ยินเสียงฝูงหมาแตกฝูง ถึงได้กล้าเผ่นออกมาจากห้องพิธี พากันเกาะไม้กั้นระเบียง ชะโงกจ้องมองลงไปยังลานดินหน้ากุฏิ ที่เวลานี้ไม่เหลือแม้แต่ลูกหมาสักตัวเดียว
เณรน้อยหันมาชูนิ้วหัวแม่โป้งให้ผม เป็นเชิงบอกว่า ยอดเยี่ยมมาก ผมยักคิ้วอย่างไว้เชิง ผายมือเหมือนเป็นเรื่องจิ๊บ ๆ รีบรับเอาความดีความชอบแบบไม่ต้องถ่อมตัวให้เสียโอกาส
เทียนไขไล่หมา เพิ่งเคยเจอนี่ละครับ ที่ผ่านมาเคยฟังแต่จุดเทียนระเบิดน้ำลงไปปราบจระเข้ในเรื่องชาละวันกับไกรทอง แต่นั่นเป็นเพียง นิทานพื้นบ้านเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องจริงแบบที่ผมกำลังเผชิญ แต่ในใจคิดว่า น่าจะต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลัง ทำไมหมากลัวเทียนไข ไม่น่าเป็นไปได้ บางทีสิ่งที่ทำให้ฝูงหมากระเจิดกระเจิงไปอาจจะเป็นผลกระทบของสิ่งที่ไร้ตัวตน ซึ่งวนเวียนอยู่แถวนั้นก็ได้ บรรดาหมาเพียงแต่ตามมาทำหน้าที่หอนประกอบฉากตามสัญชาตญาณหมาเท่านั้น
อย่างไรก็ตามผมคิดว่ายกที่หนึ่ง หลวงที่อินทำคะแนนนำไปแล้ว ทำให้ผมยอมรับนับถือฝีมือของหลวงพี่อินขึ้นมาอีกหลายส่วน
แต่ผมไม่ได้มีโอกาสดีใจนาน เพราะพอหันหลังกลับ ไม่ทันจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องทำพิธี ก็ต้องชะงัก มองไปทางระเบียงยาวโดยไม่ตั้งใจ แล้วก็เกิดอาการใจเต้นระรัวขึ้นมาทันที
ห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตร ผมเห็นร่างของใครคนหนึ่ง ยืนเป็นเงาตะคุ่มในความสลัวเลือนของบรรยากาศ แสงจันทร์จากภายนอกส่องเฉียงเข้ามาไม่ถึงเลยทำให้ขมุกขมัวน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
ถึงจะมองหน้าตาไม่ชัดเจน ก็สังเกตได้ว่าจะต้องเป็น ผู้หญิง อย่างแน่นอน สวมกระโปรงยาวแค่เข่า ผมเขม้นตามองให้แน่ใจ นึกสงสัยว่า ผู้หญิงที่ไหนจะเดินขึ้นมาคนเดียวบนกุฏิร้างในเวลากลางคืน แค่ข้อนี้ข้อเดียวก็ทำให้ผมไม่ไว้ใจและเริ่มขนลุก เพื่อนเณรอีกสามรูปที่ยืนอยู่ข้างหลัง คงคิดแบบนี้เหมือนกัน เพราะเห็นพากันเงียบกริบยืนนิ่งผิดปกติวิสัยที่เคยเอะอะวุ่นวาย
ยิ่งจ้องมองนาน ผมก็ยิ่งเห็นความผิดปกติของผู้หญิงลึกลับคนนั้นมากขึ้น หน้าตามองไม่ชัด น่าจะสวมเสื้อคอกระเช้าสีหม่น ชายกระโปรงของเธอ บานกว้างออกด้านข้างเกินกว่าครึ่งเมตร ถ้าชายกระโปรงกว้างได้ขนาดนั้น คนต้องมีช่วงขายาวผิดมนุษย์ แต่สิ่งที่ทำให้ขนหัวลุกตั้งชันคือ ช่วงขาเรียวทั้งสองไม่ได้อยู่ชิดกัน แต่มาอยู่ขอบชายกระโปรงคนละด้าน แถมขายังเหยียดตรงขนานกันลงไปด้านล่าง ไม่มีทางเด็ดขาดว่าจะมีคนธรรมดาที่ไหน ช่วงขายืดยาวยืนถ่างกางขากว้างแบบนั้น
ร่างนั้นเริ่มขยับก้าว ทีละก้าวตรงเข้ามา ขาทั้งสองข้างห่างกันขนาดนั้น ลักษณะของการเดินจึงผิดลักษณ์ผิดรูปอุบาทว์ น่าเกลียดน่ากลัว ยังไงก็ไม่ใช่คนแน่นอน ไม่มีใครเดินท่าทางผิดธรรมชาติจนน่าสะพรึงอย่างที่เห็นได้
นี่มันต้องเป็นผีขากาง ผีขายาว หรือผีขาถ่าง เป็นแน่แท้
ผีขาถ่างก้าวตรงมาช้า ๆ อย่างไม่รีบร้อนที่จะหลอก ชวนขนพองสยองเกล้าเป็นอย่างยิ่ง ผมร้องเสียงหลง กระโจนผลุงกลับเข้าไปในห้อง ชี้ไม้ชี้มือ ร้องเสียงสั่นบอกว่าผีหลอก หันหน้ามาหน้าเพื่อนเณรก็ไม่พบเสียแล้ว ทุกรูปไม่รู้ว่าเผ่นเข้าไปในห้องพิธีตั้งแต่ตอนไหน ไม่บอกไม่ชวนกันเสียเลย ปล่อยให้ผมเผชิญหน้ากับความน่ากลัวอยู่คนเดียว จะหนีก็ไม่บอกกันสักคำ เณรนะเณร...
ผมหันมองเพื่อนเณรทั้งสามรูปที่นั่งหน้าเสียอยู่ด้านหลังหลวงพี่อินอย่างขุ่นเคือง หลวงพี่หยุดบริกรรม จ้องหน้าผมเหมือนจะถาม ผมเองกระโดดผลุงมานั่งอยู่ด้านข้างหลวงพี่อินบ้าง เล่าปากคอสั่น ยืนยันว่าเห็นผีผู้หญิงอยู่บริเวณระเบียง
หลวงพี่อินส่ายหัว ลุกขึ้นคว้าตะเกียง มือหนึ่งคว้าแขนของผม ดึงให้ออกไปส่องตะเกียงดูด้วยกันตรงหน้าห้อง ให้รู้ดำรู้แดงไปเลย และก็เป็นไปตามคาด ทางเดินระเบียงกุฎิว่างเปล่าไร้วี่แววผีขาถ่างตัวนั้น มีเพียงความมืดมัวสลัวราง
นั่นไง นึกแล้วว่าจะมามุกนี้ ผมนึกในใจ เป็นไปตามนิสัยผีสากล ที่มักจะเลือกจังหวะหลอกในเวลาที่คนเราไม่ทันตั้งตัว พอตั้งใจจะไป ดูผี จริง ๆ ก็มักจะหลบฉากแบบรอจังหวะหลอกใหม่
หลวงพี่อินถอนใจ พูดเหมือนกึ่งบ่นกึ่งตำหนิว่าบอกแล้วให้ตั้งสติให้ดี ไม่อย่างนั้นจะตาฝาด หลอนจิตคิดปรุงแต่งเห็นไปเอง ผมยังใจสั่นไม่หาย แต่ไม่ปริปากโต้เถียง เพราะหลักฐานหลอนหลอกชิ้นสำคัญหายไปจริง ๆ และผมก็ไม่ต้องการให้หลักฐานกลับมายืนยันแสดงตัวตนอีก ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ ภาพเดินท่าทางพิเศษของผีตนนั้นยังประทับใจให้วูบหวิวไม่หาย
หลวงพี่อินกลับเข้าห้อง เริ่มทำพิธีต่อ เสียงท่องคาถาอาคมดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีเสียงหมาหอนรบกวน ท่าทางจะไปด้วยดี แต่บรรยากาศก็ไม่ได้เป็นใจเต็มร้อยเสียเลยทีเดียว เพราะยังมีเสียงของนกกลางคืนแว่วดังมาเป็นระยะ ผมจำได้ว่าเป็นเสียงของนกเค้าแมว นกที่ผู้คนมีทัศนคติไปในทางด้านลบว่า เป็นนกผีที่เป็นสื่อนำของความตาย ความโชคร้าย ความเจ็บป่วยทุกข์ทรมานมาสู่ผู้พบเห็นได้ยินเสียงร้อง แม้จะมีหลายคนบอกว่าเป็นเพียงความบังเอิญ แต่ก็มีหลายครั้งที่ความบังเอิญเกิดซ้ำซ้อนมากเกินไป จนกลายเป็นความเชื่อ เสียงร้องของมันทำให้ขนลุกขนพองดีแท้
นกเค้าแมวร้องอยู่ในเงาไม้รอบกุฏิ ท่าทางมีหลายตัว ร่วมแรงประสานเสียงกันถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนผมอยากให้หลวงพี่อินเอา เทียนไล่นก ออกมาใช้เสียที หลวงพี่ยังคงนั่งบริกรรมต่อไปอย่างไม่สนใจโลกภายนอก แต่เมื่อเสียงนกเค้าแมวยังร้องรบกวนไม่หยุด หลวงพี่อินหยุดบริกรรมคาถา หันหน้ามาทางผม ล้วงมือเข้าไปในย่ามที่วางข้างตัว หยิบธูปออกมากำมือหนึ่ง บอกให้ผมเอาไปจุดไฟให้ติดแล้วเอาไปโยนลงไปหน้ากุฏิ
เอาอีกแล้วนะหลวงพี่ ผมได้แต่ครางในใจ เณรก็มีตั้งหลายรูป ทำไมไม่ใช้ มาใช้เด็กน้อยธรรมดาอย่างผมมันถูกเสียที่ไหน ผมไม่ใช่เด็กวัดสักหน่อย แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากคัดค้าน เดี๋ยวจะหาว่าผมเป็นคนขี้ขลาด ประกอบกับยังมีหลวงพี่และเพื่อนเณรสามรูปอยู่ห่างแค่นี้เอง ไม่ต้องต้องกลัว นึกปลอบใจตัวเองแล้วกัดฟันรวบรวมความกล้า รับธูปกำนั้นมาจากหลวงพี่อิน นำไปลนไฟจากเทียนไขที่ตั้งบนพื้นเบื้องหน้าจนจุดติด จึงเดินออกมาจากห้อง หลับหูหลับตาเหวี่ยงธูปในมือออกไปสุดแรงยังด้านนอก
ไม่รู้เหมือนกันว่า ธูป จะไปเกี่ยวข้องอะไรกับนกเค้าแมว แต่ที่แน่ ๆ พอธูปลอยลงไปยังลานดิน เสียงนกเค้าแมวก็เคยร้องประสานเสียงก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง ผมใจชื้นขึ้นมาทันที รู้แล้วว่าหลวงพี่อินมีดีไม่น้อย ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้ามาทำพิธีปลุกเครื่องรางของขลังแบบนี้
เพื่อแสดงออกถึงความกล้าหาญ ผมแสร้งทำเป็นมองซ้ายมองขวา โดยลืมไปว่า เพิ่งเจอผีขาถ่างไปหยก ๆ
เป็นการแสดงความกล้าหาญที่ไม่น่าทำเอาเสียเลย ในระยะหกเจ็ดเมตรแสงจันทร์พอทำให้เห็นผู้หญิงผีขาถ่างสวมเสื้อคอกระเช้าคนนั้น กำลังนั่งแกว่งขาอยู่บนราวไม้กั้นระเบียงด้วยท่าทางสบายใจ ใบหน้าเอียงชำเลืองจ้องเหมือนอยากทักทาย ไม่รู้เพราะอะไรทำให้ผมยืนนิ่งขึง หัวสมองมึนชาคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
ผู้หญิงคนนั้นยกมือข้างหนึ่งขึ้น ทำท่ากวักเรียกหาอย่างช้า ๆ มาทางผม และก็แปลกอีกนั่นละครับ ผมรู้สึกว่าเธอกำลังค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ จนเริ่มจะเห็นใบหน้าค่าตาชัดเจน ใบหน้าของเธอขยายใหญ่มากขึ้นทุกที ปากสีแดงแสยะยิ้มกว้างอย่างน่ากลัว ใบหน้าของผู้หญิงที่แน่ใจว่าไม่เคยรู้จักหรือเคยเห็นหน้ามาก่อนอย่างแน่นอน
มือของใครบางคนกระชากแขนของผมอย่างแรงจนสะดุ้ง หันไปมองเห็นเณรน้อยยืนอยู่ด้านหลัง พลางถามว่าผมจะไปไหน หลวงพี่อิมให้มาตาม
จะไปไหนอย่างนั้นหรือ ผมงงกับคำถาม แต่พอได้สติก็พบว่าตัวเองอยู่ห่างจากประตูทางเข้าห้องพิธี แถมกำลังค้างคาอยู่ในท่าแบบที่พร้อมจะกระโดดลงไปด้านล่าง
งานเกือบเข้า...ผมเพิ่งนึกรู้ว่าตัวเองกำลังจะกระโดดลงไปจากระเบียงโดยไม่รู้ตัว เผลอตัวเดินมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหนกัน และบริเวณลานดินหน้ากุฏิ ร่างของผู้หญิงที่เคยนั่งราวระเบียง ลงไปยืนนิ่งกลางแสงจันทร์ เธอเงยหน้าขึ้นมามอง คราวนี้เห็นใบหน้าบึ้งตึงอย่างไม่พอใจชัดเจน ยกมือขวาชี้ขึ้นมาแล้วก้าวเข้ามาลับหายไปใต้เงามืดชั้นล่าง
ผมขนลุกทันที อย่าบอกนะว่าจะเดินขึ้นมาบนกุฏิ ไม่รอช้าผมรีบดึงแขนเณรน้อยเผ่นกลับเข้าไปรวมกลุ่มกับบรรดาเพื่อนเณรด้วยอาการใจเต้นระรัว นึกเสียใจว่าไม่น่ามาน่าเรื่องใส่ตัวเลย อยู่บ้านก็หลับสบายไปแล้ว
หลวงพี่อินบอกว่าให้รู้ทันความปรุงแต่งของจิต ปัญญาเป็นตัวเข้าใจ สติเป็นตัวรู้ทัน สติเป็นตัวจับ ปัญญาเป็นตัวตัด เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็หลอก รู้ทันมัน ผมเกือบจะสวนไปว่า ลองหลวงพี่มาเจอแบบผมบ้างสิ จะมีเวลามารู้ทันรู้หลอกรู้ผีอะไรไหม แต่เกรงใจพระจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะท่าทางผมกับพระยังคงต้องพึ่งพาอาศัยกันอีกนาน
หลวงพี่อินยังคงนั่งบริกรรมต่อไป เวลาผ่านไปพักหนึ่ง สายลมเริ่มกระโชกแรงขึ้นทีละน้อย เงาไม้แผ่กิ่งก้านสาขาสะบัดครืน ๆ ด้านนอก เทียนไขหกเล่มที่จุดวางเรียงรายบนพื้นทยอยดับลงทีละเล่ม ดีว่ายังมีตะเกียงโป๊ะครอบแก้วให้แสงสว่างวางบนโต๊ะบูชา ไม่อย่างนั้นคงได้นั่งกันในความมืดเป็นแน่แท้ ผมเองเริ่มมีอาการกระสับกระส่าย เพราะภาพของผีผู้หญิงขากาง ยังติดตาไม่หาย นึกถึงท่าทางเดินอันวิปริตน่ากลัวทีไร ก็ทำให้ขนลุกอยู่วูบ ๆ กลัวว่าผีตัวนั้นจพแอบมองมาจากเงามืดแห่งใดแห่งหนึ่ง
มือของใครคนหนึ่งมาสะกิดหัวเข่า ทำเอาสะดุ้ง ใจหายวาบ นึกว่ามือผีมาสะกิด หันไปมองทางสามเณรทั้งหลายที่นั่งอยู่ด้านข้าง ก็ทำให้ใจหายวูบลงไปอีก เพราะเวลานี้บรรดาเพื่อนเณรพากันนั่งตัวแข็งทื่อ แหงนหน้าขึ้นไปมองด้านบนหน้าประตูทางเข้า ผมพยายามจะไม่เงยหน้าขึ้นไปมอง เพราะสีหน้าท่าทางแบบนั้นไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ว่ามีสิ่งไม่น่ามองรอคอยอยู่แน่นอน แต่ไม่ทันการเสียแล้ว ร่างกายไวกว่าความคิดเสียอีก ผมเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่ตั้งใจ
กุฏิหลังนี้เป็นกฏิแบบสมัยโบราณ หลังคาทรงสูง ไม่มีฝ้าเพดาน จึงมองขึ้นไปถึงหลังคา เห็นขื่อ คาน ยึดปลายเสาพาดไปมาชัดเจน และบนขื่อคานด้านบนตรงประตูห้องนั่นเอง ภาพติดตาของผีสาว บัดนี้ได้มาปรากฏให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างอย่างชัดเจน
ผู้หญิงรูปร่างผอมสวมเสื้อแขนสั้นกระโปรงยาวถึงเข่า ยืนจังก้าคร่อมประตูทางเข้า ใช้มือใช้เท้ายาว ๆ ผิดรูป จับยึดขื่อคานเอาไว้ โดยเฉพาะแขนและขาที่ยาวผิดมนุษย์ยื่นกางออกด้านข้าง ขย่มโยกโยนตัวไปมาราวเป็นแมงมุมตัวใหญ่ ใบหน้าก้มลงจนเส้นผมยาวปกประระหน้า ลิ้นสีแดงยาวเป็นวา ตวัดไหววูบวาบในอากาศอย่างน่าสยดสยอง นี่คือสาเหตุที่ทำให้พวกเณรพากันนั่งตัวแข็งจนร้องไม่ออก
......