สวัสดีครับ ผมมีเรื่องเล่าเกี่ยวประสบการณ์ขนหัวลุกมาเล่า โดยเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง กับผมเอง ตอนบวชพระเมื่อปี2557
เป็นปกติที่ผมเองได้เจอเรื่องผีอยู่บ่อยครั้ง (เคย on air the shock มาแล้ว) หลังจากลาออกจากงาน ผมกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเพื่อมาบวช วันที่ผมบวชเป็นวันอาสาฬหบูชาพอดี ครับ ผมตั้งใจบวช 1 พรรษา ซี่งปกติผมก็เตรียมใจว่าถ้าบวชคงได้เจอเรื่องลี้ลับเป็นแน่ และแล้วผมก็ได้เจอ เรื่องที่ผมเล่าเป็นเพียงบางส่วนที่ผมเจอตลอดการบวชของผม และผมเชื่อว่าถ้าหากเป็นคุณคงขนลุกไม่ต่างจากผมแน่ๆ ผมขอเล่าเพียง 3 เรื่องก่อนนะครับ
ตอนที่ 1 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ
หลังจากบวชได้7วัน ในหมู่บ้านก็มีชายคนนึงเสียชีวิต และแน่นอนว่าจะต้องมาเผาที่วัดที่ผมจำพรรษา ผมก็แอบกลัวเพราะมันไม่ชิน (ขึ้นชื่อว่าวัดก็ไม่น่าจะชินแล้ว) คืนแรกผมได้รับหน้าที่ไปสวดอภิธรรมในหมู่บ้านก็ไม่มีอะไร ผ่านไป3คืนถึงวันเผา...บรรยายกาศในวัดก็เงียบๆ มีเพียงแสงจันทร์ ตกดึกเวลาน่าจะราวประมาณตี1 หรือตี2 ได้ หมาก็หอนน่ากลัว(โหยหวนซะ) กุฎิที่ผมจำวัดเป็นประตูกระจกมองทะลุออกไปข้างนอกได้ ผมเห็นเงาผู้ชายสีดำมายืนหน้ากุฏิ จากนั้นชายผู้นั้นได้ถามเราว่า 'ทางออกจากวัดไปทางไหน' เราก็ตอบสั้นๆว่าประตูวัดนั่นไง ชายผู้นั้นเงียบและหายไป เรารู้ทันทีว่าไม่ใช่คนแน่ๆ.... ถึงเวลาตี 4 เป็นเวลาทำวัตรเช้าหลวงพี่ท่านหนึ่งพูดขึ้นมาว่า "โหตั้งแต่อยู่วัดมาไม่เคยกลัวขนาดนี้.... หมาเล่นหอนตอนตี2 กว่า ยาวไปถึงหน้าประตูวัด" (หลวงพี่ท่านนอนหน้ากุฏิ ข้างนอก ) ผมตอบหลวงพี่ไปว่า... ช่วงตี2 ผมเห็นผู้ชายมาถามทางออกจากวัดเป็นเงาดำๆไม่เห็นหน้า จากนั้นหลวงพี่ท่านว่า... คนที่ตายแน่ๆ เขาตัวดำๆน่ะ หลวงพี่รู้จักเค้า ถึงว่าหมาวิ่งหอนไปตามทางแต่ไม่มีใครเดินอยู่ กลัวก็กลัว....นี่เป็นครั้งแรกของการบวชที่เจอเรื่องแปลกๆ
ตอนที่ 2 ตอนคนโบราณ
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่กุฏิที่ผมอาศัยจำวัด ประมาณตี4 ในฤดูฝน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆ ฟ้ามืดสนิทไร้แสงจันทร์ในคืนเดือนแรม หลังจากทำวัตรเช้าที่ศาลา ขณะที่เดินกลับจากศาลา ผมมองไปที่กุฏิของผมมีแสงไฟประหลาดอยู่ในกุฏิ ไม่สว่างมากขนาดหลอดไฟแต่ก็พอมองเห็นได้ว่าเราลืมปิดประตูกุฏิ เราแปลกใจยืนมองแสงไฟนั้นอยู่สักครู่ เพราะเรามั่นใจว่าไม่ใช่แสงหลอดไฟในกุฏิแน่นอน เมื่อมองไปยังป่าข้างกุฏิ ก็มีแสงไฟสลัวๆพอมองเห็นอีกดวง พบร่างผู้ชายสีเทาๆดำๆ ตัวสูงกว่าระเบียงกุฏิ ซึ่งน่าแปลกแม้แต่ตัวผมเอง (ผมสูง173เซน) หัวผมยังไม่ถึงขอบระเบียงด้วยซ้ำ และชายดังกล่าวเดินหายเข้าไประหว่างห้องน้ำกับตัวกุฏิของผม เมื่อชายผู้นั้นหายไปแสงในกุฏิก็ค่อยๆจางหายแต่ยังพอเห็นแสงอยู่บางเล็กน้อย ผมยืนดูแบบไม่ละสายตา ในใจก็ไม่ได้กลัว เพราะตอนแรกคิดว่าขโมย แต่พอเดินเข้าใกล้ๆไฟนั้นหายไปในทันที เมื่อเข้ามาในกุฏิที่พักก็ได้กลิ่นเหม็นสาบ จึงรู้ว่าที่เห็นไม่ใช่โจรเป็นแน่ จากนั้นจึงพูดออกไปว่าที่นี่คือกุฏิพระสงฆ์ มาศึกษาพระธรรม อย่าได้รบกวนกันเลยจะแผ่เมตตาไปให้ หลังกลับจากบิณฑบาตรกลิ่นยังคงอยู่ จึงได้บริกรรมสวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตา กลิ่นนั้นจึงหายไป ผมจึงเล่าเรื่องให้หลวงตาท่านฟัง ท่านว่าคงเป็นมนุษย์โบราณที่อยู่ที่นี่มั้ง จากนั้นเราก็พอจะเดาออกว่าทำไมจึงพบเขาคนนั้นที่กุฏิ เพราะในกุฏิเรามีโถทองเหลืองโบราณที่เคยอยู่ในโบสถ์อยู่ในกุฎินี่เอง (คิดเองว่าเขาคงมาเฝ้าของชิ้นนี้เป็นแน่)
ตอนที่3 เจ้าอาวาสองค์ก่อน....
เมื่อผมบวชมาได้2เดือน ขณะนั่งคุยกับบรรดาหลวงพี่ทั้งหลาย มีหลวงพี่ท่านหนึ่ง ท่านถามผมว่าเห็นกุฏิใหญ่มั้ย(กุฏิหลวงปู่ใหญ่ ปล่อยทิ้งร้าง) นั่นไง หลวงปู่ท่านยังอยุ่นะ มีคนเห็นท่านหลายคน หลวงพ่อเองยังเคยเห็นเลย
ผมถาม...จริงรึหลวงพี่ ผมไปกวาดที่นั่นตลอดเลยนะ อย่าเล่าดิแอบกลัวนะเนี่ย จากนั้นเวลาผ่านไปหลายวันผมนั่งคุยกับเด็กวัด เด็กวัดคนนึงบอกกับผมว่า หลวงพี่(ผม)เชื่อมั้ยตอนผมมาอยู่วัด วันแรกผมโดนหลวงปู่หลอก ผมถามเด็กวัดทันที....หลอกยังไง เด็กวัดบอก.. ผม(เด็กวัด)จะเดินมาอาบน้ำข้างกุฏิใหญ่ ผมได้ยินเสียงคนเดินอยู่บนกุฏิ ผมเงยหน้าไปมองผมเห็นเป็นเงาสีดำขนาดใหญ่ยืนอยู่บนกุฏิ ผมร้องเสียงดังลั่นวิ่งไปหาหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านเลยมาบอกกล่าวให้ว่าเด็กมาขออยู่ ขอเรียน จากนั้น เด็กวัดอีกคนรีบเล่าต่อว่า หลวงพี่เชื่อมั้ย พวกผมนั่งเล่นอยุ่ใต้กุฏิใหญ่ ไฟก็ดับเอง ใครไปนอนมีได้เจอดีทุกคน ผมก็อ่อๆๆ ไปตามเรื่องไม่คิดอะไร ก็ยังคงไปปัดกวาดที่กุฏิใหญ่ประจำ จากนั้นหลวงตาที่ผมสนิทก็เล่าว่าเด็กข้างวัดที่ชอบมาเล่นแถวนี้เคยร้องไห้วิ่งมาเกาะขาหลวงตา หลวงตาถามเด็กถามว่าเป็นอะไร เด็กมันบอก ผมจะปีนพญานาคที่หน้าโบสถ์เล่น หลวงปู่อยู่ในรูปที่หน้าโบสถ์ชี้หน้าแล้วไล่ให้ออกไป ผมก็เริ่มกลัวกุฏิใหญ่ขึ้นมา แต่ก็คิดว่าถ้าเราไม่ทำความสะอาดจะปล่อยรกก็ไม่ควร ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ แต่แล้ววันนึงทำวัตรสวดมนต์เย็นเสร็จ 2ทุ่มกว่าๆ ผมต้องเดินผ่านกุฏิใหญ่เผื่อกลับกุฏิ อยู่ๆในใจก็คิดขึ้นมาว่าถ้าหลวงปู่อยู่ผมก็เห็นสิ เพียงไม่กี่วินาที สายตาผมก็เห็นเงาๆดำๆเดินมาทางผม ได้ยินเสียงเดินบนระเบียงชั้น2ของกุฏิใหญ่ ไม่มีทางที่ใครจะไปเดินบนนั้นได้ เพราะประตูทางขึ้นถูกล็อกอยู่ ขนลุกไปทั้งตัว รีบเดินกลับกุฏิในทันใด.....แล้ววันที่ผมจำได้ติดตาก็มาถึงวันนั้นเป็นวันเพ็ญเดือนสิบพระจันทร์เต็มดวง เป็นวันบุญข้าวกะยาสาท ทางภาคใต้ถือเป็นวันประเพณีชิงเปรต วันเพ็ญเดือนสิบ เป็นวันที่เชื่อกันว่านรกจะเปิดให้วิญญาณขึ้นมารับส่วนบุญจากญาติๆได้และจะต้องกลับนรกในวันเพ็ญเดือนสิบก่อนฟ้าสาง ทางภาคใต้จะมีประเพณีชิงเปรต (เหมือนเรื่อง5แพร่งที่มีเสาวางอาหารให้เปรตกิน) "ชิงเปรต" เป็นประเพณีของภาคใต้ที่กระทำกันในวันสารท เดือน ๑๐ เป็นประเพณีสำคัญที่จัดขึ้นเพื่อทำบุญอุทิศแก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว การชิงเปรตที่ปฏิบัติกันในประเพณีสารทเดือน ๑๐ นี้ มีลักษณะคล้ายกับการทิ้งกระจาดของจีน แต่การทิ้งกระจาดของจีนมีเป้าหมายตรงกับการตั้งเปรต-ชิงเปรตเพียงบางส่วนเท่านั้น กล่าวคือการทิ้งกระจาดของจีนเป็นการทิ้งทานให้แก่พวกผีไม่มีญาติ ส่วนการชิงเปรตของไทยเป็นการอุทิศส่วนกุศลไปให้ทั้งผี(เปรต) ที่เป็นญาติพี่น้องของตนเอง และที่ไม่มีญาติด้วย นอกจากนี้วิธีการปฏิบัติในการทิ้งกระจาดและการชิงเปรตก็แตกต่างกันด้วย
ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนได้ยืนยันว่าการชิงเปรตไม่เป็นความอัปมงคลแก่ผู้ชิงเปรตแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกลับถือว่าเป็นการทำบุญด้วยซ้ำไป เพราะชื่อว่าบุตรหลานของเปรตตนใดชิงได้ เปรตตนนั้นย่อมได้รับส่วนนั้น วันนั้นก็จะมีอาหารคาวหวานวางตามต้นไม้มากมาย เวลาผ่านไปราวตีสี่ผมตื่นมาทำวัตรเช้า ด้วยความที่พระจันทร์เต็มดวง สว่างไปทั้งวัดผมคลองผ้าเตรียมไปศาลา ขณะที่เดินไปผมมองดวงจันทร์ดวงโต สวยงามมาก ทันใดผมมองไปทางพระนาคปรกในวัด ผมเห็น....พระท่านนึงยืนอยู่ห่างจากผมราว10กว่าเมตร แต่ไม่เห็นใบหน้าท่าน ในใจนึกว่าหลวงตาที่สนิท ผมยืนมองและรออยู่อย่างนั้น ที่แปลกใจคือทำไมดูตัวโตกว่าหลวงตา และยืนนิ่งอยู่ไม่เดินมา ผมก็มองไม่ละสายตา ผมต้องตกใจเมื่อเห็นพระท่านนั้นเดินไปทางกุฏิหลังเมรุ ตาผมค้างเพราะ1ก้าวที่ท่านเดินก้าวยาวไปครั้งละ2 ถึง3เมตรผมรุ้แล้วว่าเจอดีเข้าให้แล้ว แต่สายตาก็ไม่ลดที่จะเพ็งดู จนเมื่อท่านเดินค่อยๆเลือนหายไป ผมต้องตกใจรอบ2เมื่อผมเห็นตาผ้าขาว (ชายแต่งชุดขาว) เดินออกมาจากทางเมรุ2 ถึง3 คน คนนึงเดินแยกไปทางนาคปรก อีกคนดูไม่ชัด อีก1คนเดินตามพระหลวงปู่ท่านไป จากนั้นผมมองไปทางเมรุ ผมเห็นเหมือนมีกลุ่มคนมากมายแต่ไม่ชัดมาก และตรงเมรุมีดวงไฟสีเหลืองอ่อนๆอยุ่และค่อยเลือนหายไป ผมยังยืนอยุ่ที่เดิมจากนั้นยกมือขึ้นไหว้แผ่เมตตาจิต เมื่อแผ่เมตตาเสร็จก็เดินไปทำวัตร ผมเล่าเรื่องที่เห็นให้หลวงพี่ที่สนิทฟัง ท่านว่าท่านมองผมอยุ่ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงยืนอยู่ตรงนั้นนานไม่มาศาลาเสียที ผมพอนึกได้ว่าตรงพระนาคปรกเป็นที่ตั้งเมรุชั่วคราวงานศพหลวงปู่จึงไม่แปลกที่ท่านจะยืนอยุ่ที่นั่น ที่สำคัญวัดผมไม่มีตาผ้าขาวมาถือศีลสักคน....
ประสบการณ์ขนหัวลุกที่ผมต้องเจอตลอด1พรรษา (บวชพระ)
เป็นปกติที่ผมเองได้เจอเรื่องผีอยู่บ่อยครั้ง (เคย on air the shock มาแล้ว) หลังจากลาออกจากงาน ผมกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเพื่อมาบวช วันที่ผมบวชเป็นวันอาสาฬหบูชาพอดี ครับ ผมตั้งใจบวช 1 พรรษา ซี่งปกติผมก็เตรียมใจว่าถ้าบวชคงได้เจอเรื่องลี้ลับเป็นแน่ และแล้วผมก็ได้เจอ เรื่องที่ผมเล่าเป็นเพียงบางส่วนที่ผมเจอตลอดการบวชของผม และผมเชื่อว่าถ้าหากเป็นคุณคงขนลุกไม่ต่างจากผมแน่ๆ ผมขอเล่าเพียง 3 เรื่องก่อนนะครับ
ตอนที่ 1 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ
หลังจากบวชได้7วัน ในหมู่บ้านก็มีชายคนนึงเสียชีวิต และแน่นอนว่าจะต้องมาเผาที่วัดที่ผมจำพรรษา ผมก็แอบกลัวเพราะมันไม่ชิน (ขึ้นชื่อว่าวัดก็ไม่น่าจะชินแล้ว) คืนแรกผมได้รับหน้าที่ไปสวดอภิธรรมในหมู่บ้านก็ไม่มีอะไร ผ่านไป3คืนถึงวันเผา...บรรยายกาศในวัดก็เงียบๆ มีเพียงแสงจันทร์ ตกดึกเวลาน่าจะราวประมาณตี1 หรือตี2 ได้ หมาก็หอนน่ากลัว(โหยหวนซะ) กุฎิที่ผมจำวัดเป็นประตูกระจกมองทะลุออกไปข้างนอกได้ ผมเห็นเงาผู้ชายสีดำมายืนหน้ากุฏิ จากนั้นชายผู้นั้นได้ถามเราว่า 'ทางออกจากวัดไปทางไหน' เราก็ตอบสั้นๆว่าประตูวัดนั่นไง ชายผู้นั้นเงียบและหายไป เรารู้ทันทีว่าไม่ใช่คนแน่ๆ.... ถึงเวลาตี 4 เป็นเวลาทำวัตรเช้าหลวงพี่ท่านหนึ่งพูดขึ้นมาว่า "โหตั้งแต่อยู่วัดมาไม่เคยกลัวขนาดนี้.... หมาเล่นหอนตอนตี2 กว่า ยาวไปถึงหน้าประตูวัด" (หลวงพี่ท่านนอนหน้ากุฏิ ข้างนอก ) ผมตอบหลวงพี่ไปว่า... ช่วงตี2 ผมเห็นผู้ชายมาถามทางออกจากวัดเป็นเงาดำๆไม่เห็นหน้า จากนั้นหลวงพี่ท่านว่า... คนที่ตายแน่ๆ เขาตัวดำๆน่ะ หลวงพี่รู้จักเค้า ถึงว่าหมาวิ่งหอนไปตามทางแต่ไม่มีใครเดินอยู่ กลัวก็กลัว....นี่เป็นครั้งแรกของการบวชที่เจอเรื่องแปลกๆ
ตอนที่ 2 ตอนคนโบราณ
เรื่องนี้เกิดขึ้นที่กุฏิที่ผมอาศัยจำวัด ประมาณตี4 ในฤดูฝน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆ ฟ้ามืดสนิทไร้แสงจันทร์ในคืนเดือนแรม หลังจากทำวัตรเช้าที่ศาลา ขณะที่เดินกลับจากศาลา ผมมองไปที่กุฏิของผมมีแสงไฟประหลาดอยู่ในกุฏิ ไม่สว่างมากขนาดหลอดไฟแต่ก็พอมองเห็นได้ว่าเราลืมปิดประตูกุฏิ เราแปลกใจยืนมองแสงไฟนั้นอยู่สักครู่ เพราะเรามั่นใจว่าไม่ใช่แสงหลอดไฟในกุฏิแน่นอน เมื่อมองไปยังป่าข้างกุฏิ ก็มีแสงไฟสลัวๆพอมองเห็นอีกดวง พบร่างผู้ชายสีเทาๆดำๆ ตัวสูงกว่าระเบียงกุฏิ ซึ่งน่าแปลกแม้แต่ตัวผมเอง (ผมสูง173เซน) หัวผมยังไม่ถึงขอบระเบียงด้วยซ้ำ และชายดังกล่าวเดินหายเข้าไประหว่างห้องน้ำกับตัวกุฏิของผม เมื่อชายผู้นั้นหายไปแสงในกุฏิก็ค่อยๆจางหายแต่ยังพอเห็นแสงอยู่บางเล็กน้อย ผมยืนดูแบบไม่ละสายตา ในใจก็ไม่ได้กลัว เพราะตอนแรกคิดว่าขโมย แต่พอเดินเข้าใกล้ๆไฟนั้นหายไปในทันที เมื่อเข้ามาในกุฏิที่พักก็ได้กลิ่นเหม็นสาบ จึงรู้ว่าที่เห็นไม่ใช่โจรเป็นแน่ จากนั้นจึงพูดออกไปว่าที่นี่คือกุฏิพระสงฆ์ มาศึกษาพระธรรม อย่าได้รบกวนกันเลยจะแผ่เมตตาไปให้ หลังกลับจากบิณฑบาตรกลิ่นยังคงอยู่ จึงได้บริกรรมสวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตา กลิ่นนั้นจึงหายไป ผมจึงเล่าเรื่องให้หลวงตาท่านฟัง ท่านว่าคงเป็นมนุษย์โบราณที่อยู่ที่นี่มั้ง จากนั้นเราก็พอจะเดาออกว่าทำไมจึงพบเขาคนนั้นที่กุฏิ เพราะในกุฏิเรามีโถทองเหลืองโบราณที่เคยอยู่ในโบสถ์อยู่ในกุฎินี่เอง (คิดเองว่าเขาคงมาเฝ้าของชิ้นนี้เป็นแน่)
ตอนที่3 เจ้าอาวาสองค์ก่อน....
เมื่อผมบวชมาได้2เดือน ขณะนั่งคุยกับบรรดาหลวงพี่ทั้งหลาย มีหลวงพี่ท่านหนึ่ง ท่านถามผมว่าเห็นกุฏิใหญ่มั้ย(กุฏิหลวงปู่ใหญ่ ปล่อยทิ้งร้าง) นั่นไง หลวงปู่ท่านยังอยุ่นะ มีคนเห็นท่านหลายคน หลวงพ่อเองยังเคยเห็นเลย
ผมถาม...จริงรึหลวงพี่ ผมไปกวาดที่นั่นตลอดเลยนะ อย่าเล่าดิแอบกลัวนะเนี่ย จากนั้นเวลาผ่านไปหลายวันผมนั่งคุยกับเด็กวัด เด็กวัดคนนึงบอกกับผมว่า หลวงพี่(ผม)เชื่อมั้ยตอนผมมาอยู่วัด วันแรกผมโดนหลวงปู่หลอก ผมถามเด็กวัดทันที....หลอกยังไง เด็กวัดบอก.. ผม(เด็กวัด)จะเดินมาอาบน้ำข้างกุฏิใหญ่ ผมได้ยินเสียงคนเดินอยู่บนกุฏิ ผมเงยหน้าไปมองผมเห็นเป็นเงาสีดำขนาดใหญ่ยืนอยู่บนกุฏิ ผมร้องเสียงดังลั่นวิ่งไปหาหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านเลยมาบอกกล่าวให้ว่าเด็กมาขออยู่ ขอเรียน จากนั้น เด็กวัดอีกคนรีบเล่าต่อว่า หลวงพี่เชื่อมั้ย พวกผมนั่งเล่นอยุ่ใต้กุฏิใหญ่ ไฟก็ดับเอง ใครไปนอนมีได้เจอดีทุกคน ผมก็อ่อๆๆ ไปตามเรื่องไม่คิดอะไร ก็ยังคงไปปัดกวาดที่กุฏิใหญ่ประจำ จากนั้นหลวงตาที่ผมสนิทก็เล่าว่าเด็กข้างวัดที่ชอบมาเล่นแถวนี้เคยร้องไห้วิ่งมาเกาะขาหลวงตา หลวงตาถามเด็กถามว่าเป็นอะไร เด็กมันบอก ผมจะปีนพญานาคที่หน้าโบสถ์เล่น หลวงปู่อยู่ในรูปที่หน้าโบสถ์ชี้หน้าแล้วไล่ให้ออกไป ผมก็เริ่มกลัวกุฏิใหญ่ขึ้นมา แต่ก็คิดว่าถ้าเราไม่ทำความสะอาดจะปล่อยรกก็ไม่ควร ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ แต่แล้ววันนึงทำวัตรสวดมนต์เย็นเสร็จ 2ทุ่มกว่าๆ ผมต้องเดินผ่านกุฏิใหญ่เผื่อกลับกุฏิ อยู่ๆในใจก็คิดขึ้นมาว่าถ้าหลวงปู่อยู่ผมก็เห็นสิ เพียงไม่กี่วินาที สายตาผมก็เห็นเงาๆดำๆเดินมาทางผม ได้ยินเสียงเดินบนระเบียงชั้น2ของกุฏิใหญ่ ไม่มีทางที่ใครจะไปเดินบนนั้นได้ เพราะประตูทางขึ้นถูกล็อกอยู่ ขนลุกไปทั้งตัว รีบเดินกลับกุฏิในทันใด.....แล้ววันที่ผมจำได้ติดตาก็มาถึงวันนั้นเป็นวันเพ็ญเดือนสิบพระจันทร์เต็มดวง เป็นวันบุญข้าวกะยาสาท ทางภาคใต้ถือเป็นวันประเพณีชิงเปรต วันเพ็ญเดือนสิบ เป็นวันที่เชื่อกันว่านรกจะเปิดให้วิญญาณขึ้นมารับส่วนบุญจากญาติๆได้และจะต้องกลับนรกในวันเพ็ญเดือนสิบก่อนฟ้าสาง ทางภาคใต้จะมีประเพณีชิงเปรต (เหมือนเรื่อง5แพร่งที่มีเสาวางอาหารให้เปรตกิน) "ชิงเปรต" เป็นประเพณีของภาคใต้ที่กระทำกันในวันสารท เดือน ๑๐ เป็นประเพณีสำคัญที่จัดขึ้นเพื่อทำบุญอุทิศแก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว การชิงเปรตที่ปฏิบัติกันในประเพณีสารทเดือน ๑๐ นี้ มีลักษณะคล้ายกับการทิ้งกระจาดของจีน แต่การทิ้งกระจาดของจีนมีเป้าหมายตรงกับการตั้งเปรต-ชิงเปรตเพียงบางส่วนเท่านั้น กล่าวคือการทิ้งกระจาดของจีนเป็นการทิ้งทานให้แก่พวกผีไม่มีญาติ ส่วนการชิงเปรตของไทยเป็นการอุทิศส่วนกุศลไปให้ทั้งผี(เปรต) ที่เป็นญาติพี่น้องของตนเอง และที่ไม่มีญาติด้วย นอกจากนี้วิธีการปฏิบัติในการทิ้งกระจาดและการชิงเปรตก็แตกต่างกันด้วย
ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนได้ยืนยันว่าการชิงเปรตไม่เป็นความอัปมงคลแก่ผู้ชิงเปรตแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกลับถือว่าเป็นการทำบุญด้วยซ้ำไป เพราะชื่อว่าบุตรหลานของเปรตตนใดชิงได้ เปรตตนนั้นย่อมได้รับส่วนนั้น วันนั้นก็จะมีอาหารคาวหวานวางตามต้นไม้มากมาย เวลาผ่านไปราวตีสี่ผมตื่นมาทำวัตรเช้า ด้วยความที่พระจันทร์เต็มดวง สว่างไปทั้งวัดผมคลองผ้าเตรียมไปศาลา ขณะที่เดินไปผมมองดวงจันทร์ดวงโต สวยงามมาก ทันใดผมมองไปทางพระนาคปรกในวัด ผมเห็น....พระท่านนึงยืนอยู่ห่างจากผมราว10กว่าเมตร แต่ไม่เห็นใบหน้าท่าน ในใจนึกว่าหลวงตาที่สนิท ผมยืนมองและรออยู่อย่างนั้น ที่แปลกใจคือทำไมดูตัวโตกว่าหลวงตา และยืนนิ่งอยู่ไม่เดินมา ผมก็มองไม่ละสายตา ผมต้องตกใจเมื่อเห็นพระท่านนั้นเดินไปทางกุฏิหลังเมรุ ตาผมค้างเพราะ1ก้าวที่ท่านเดินก้าวยาวไปครั้งละ2 ถึง3เมตรผมรุ้แล้วว่าเจอดีเข้าให้แล้ว แต่สายตาก็ไม่ลดที่จะเพ็งดู จนเมื่อท่านเดินค่อยๆเลือนหายไป ผมต้องตกใจรอบ2เมื่อผมเห็นตาผ้าขาว (ชายแต่งชุดขาว) เดินออกมาจากทางเมรุ2 ถึง3 คน คนนึงเดินแยกไปทางนาคปรก อีกคนดูไม่ชัด อีก1คนเดินตามพระหลวงปู่ท่านไป จากนั้นผมมองไปทางเมรุ ผมเห็นเหมือนมีกลุ่มคนมากมายแต่ไม่ชัดมาก และตรงเมรุมีดวงไฟสีเหลืองอ่อนๆอยุ่และค่อยเลือนหายไป ผมยังยืนอยุ่ที่เดิมจากนั้นยกมือขึ้นไหว้แผ่เมตตาจิต เมื่อแผ่เมตตาเสร็จก็เดินไปทำวัตร ผมเล่าเรื่องที่เห็นให้หลวงพี่ที่สนิทฟัง ท่านว่าท่านมองผมอยุ่ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงยืนอยู่ตรงนั้นนานไม่มาศาลาเสียที ผมพอนึกได้ว่าตรงพระนาคปรกเป็นที่ตั้งเมรุชั่วคราวงานศพหลวงปู่จึงไม่แปลกที่ท่านจะยืนอยุ่ที่นั่น ที่สำคัญวัดผมไม่มีตาผ้าขาวมาถือศีลสักคน....