รถใหม่ในยุโรป 1 / 4 คัน เป็น PHEV (มากกว่า BEV)
https://cleantechnica.com/2023/01/03/17-3-of-new-cars-in-europe-fully-electric-27-7-have-a-plug/#:~:text=46%25%20PHEV%20ratio%20that%20we,13%25%20for%20BEVs%20alone)
ได้รวบรวมข้อดีของ PHEV ไว้ในกระทู้
https://pantip.com/topic/41894875
กระทู้ใหม่นี้ ขอเป็นเชิงเปรียบเทียบล้วน ๆ แล้วแต่ละท่านเห็นเหมือนเห็นต่างยังไงก็สื่อสารกันมาได้ครับ จะดีมากถ้ามาจากประสบการณ์จริงระยะยาว เหมือนคนขับ Toyota Hybrid เคยเล่าให้ฟังว่ารถเขาประหยัดและบำรุงรักษาน้อยกว่ารถสันดาปภายในที่เขาเคยใช้
ส่วนตัวซื้อ PHEV (สำหรับการขับขี่ส่วนตัว ณ เมืองไทย เวลานี้) ด้วยเหตุผลด้านล่างนี้
1. อันดับแรกสำหรับคนตัดสินใจซื้อ คือ ความสุนทรีย์ในการขับขี่ PHEV / HEV ให้ได้ ส่วน BEV ได้ลงชื่อลองไว้แต่ยังไม่ถึงคิว แต่พออ่านจากรีวิวเวอร์ทั้งในและต่างประเทศแล้ว เขาเห็นตรงกันว่า คันที่ไปลงชื่อลองไว้มี Handling ไม่ดีนัก อาจเพราะน้ำหนักแบตหรือการลดทอนความซับซ้อนของช่วงล่างเนื่องจากเนื้อที่แบต อันนี้ก็อาจเป็นข้อที่ต้องยอมรับในอนาคตอันไกล หลายคนน่าจะได้สัมผัสถ้าไม่อยากจ่ายค่าเติมเชื้อเพลิงโหดเมื่อเชื้อเพลิงใกล้หมดโลก แถมกระโปรงหน้าหลายเจ้าไม่มีช่องให้ใส่ค้ำโช้คด้วย ไม่รู้ทำไมไม่ออกแบบเผื่อไว้ให้ใส่ง่าย ค้ำโช้ค ใส่แล้วขับดีขึ้นเยอะ แต่ BEV บางคันก็ทราบมาว่าขับดีตั้งแต่ออกจากศูนย์แล้ว สมราคา 2.5 ล้านอัพ
หนึ่งในรถที่คุณ JIMMY นักรีวิวรถชื่อดังประทับใจมาก และส่วนตัวใช้อยู่ มีช่วงล่างหลังดังรูป จะสังเกตได้ถึงความซับซ้อนของช่วงล่าง

2. เรื่องความแรง PHEV ยี่ห้อที่คะแนนความปลอดภัย IIHS สหรัฐสูงสุด แรงเท่ากับ BEV ยี่ห้อที่คะแนนความปลอดภัย Euro NCAP สูงสุด ดังนั้น ได้รถปลอดภัยก็สมควรกับความแรงของรถ
3. BEV ช่วยลดภาวะโลกร้อนดีที่สุด ส่วน PHEV ขึ้นกับว่าระยะทางขับต่อหนึ่งชาร์จไกลไหม ถ้าไกล ใช้จุดชาร์จตามทางไหม สำหรับ HEV ย่อมดีกว่ารถน้ำมันล้วน
4. ค่าแบต HEV แทบจะไม่ต้องคิด ส่วน PHEV นั้นคุ้มค่าแบตเตอรีที่ต้องเปลี่ยนที่ระยะทางสั้นกว่า BEV เช่น PHEV รุ่นใหม่ที่ขับด้วยไฟฟ้าได้ประมาณ 100 กม.ขับในเมืองประจำ ออกต่างจังหวัดรอบกทม.เดือนละสองครั้ง ขับไป 160,000 กม. คุ้มค่าแบต 400,000 แล้ว เพราะ 1 กม. ประหยัดกว่าน้ำมัน 2.5 บาทโดยประมาณ ขณะที่ BEV ต้อง 300,000 กม. ถึงคุ้มค่าแบต 900,000 เพราะ 1 กม. ประหยัดกว่าน้ำมัน 3 บาท ดังนั้น ระยะทางที่ขับไม่ถึง 300,000 จะทำให้เสมือนจ่ายค่าไฟฟ้า+แบตสูงกว่าค่าเชื้อเพลิงสันดาปภายใน / HEV / PHEV ไม่ต้องพูดถึงรถใช้ก๊าซธรรมชาติอันที่ได้รับผลกระทบจากสงครามน้อยเลย ถ้าขับน้อยจนไม่จำเป็นต้องคิดค่าเปลี่ยนเกียร์ / เครื่อง รถประหยัดกว่า BEV ที่ระยะเวลานึงยังไงก็ต้องเปลี่ยนแบต ส่วนถ้าขับ BEV เยอะ 36,000 กม.ขึ้นไปต่อปี ก็ไม่ต้องรอลุ้นว่าได้เปลี่ยนแบตฟรีตอนปีที่ 8 ไหม เพราะถึงปีที่ 9 ซื้อแบตเองก็คุ้มค่าเชื้อเพลิงแล้ว
5. ค่าบำรุงรักษา HEV / PHEV น้อยกว่าหลายคนคิด โดยดังกระทู้ด้านบน โดยเฉพาะค่าเปลี่ยนเกียร์ / เครื่องยนต์ / มอเตอร์ของ PHEV ที่แทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น เนื่องจากตอนขับด้วยไฟฟ้า คลัชเครื่องยนต์ไม่จับ และในทางตรงกันข้าม ขับด้วยเครื่องยนต์ คลัชไฟฟ้าก็มักไม่ค่อยจับ แล้วแต่โหมดที่เลือก ส่วน BEV ต่างชาติประเมินไว้ว่ามอเตอร์ทนกว่าสันดาปภายใน ก็น่าจะปลาย ๆ อายุของรถที่คิดจะเปลี่ยนมอเตอร์ บางคนอาจทิ้งรถแล้วด้วยซ้ำ (อย่าลืมว่า PHEV ขับด้วยมอเตอร์น้อยกว่า BEV ด้วย โอกาสเปลี่ยนมอเตอร์ระยะยาวของ PHEV ยิ่งต่ำกว่าของ BEV) ส่วนค่าบำรุงรักษาระบบเลี้ยว เบรก ส่งต่อพลังงาน ช่วงล่าง ล้อ ยาง ปัดน้ำฝน หูช้าง กระจก ฟิล์ม (กรอบ)ประตู ไฟ เครื่องเสียง แอร์ กันชน ตัวถัง ฯลฯ จ่ายเท่ากัน
6. เครื่องยนต์สันดาปภายในรถ PHEV เสีย ไม่ต้องเรียกรถยก / ทนขับรถสั่น ๆ คือ ขับรถด้วยมอเตอร์ตามปกติไปซ่อมได้สบาย ๆ อันนี้ยี่ห้อที่แยกสันดาปภายในคุมล้อหน้า มอเตอร์คุมล้อหลัง แผ่นพับบอกว่าทำได้แน่นอน ยี่ห้ออื่นไม่แน่ใจ
7. ชนหนัก แบตแตก HEV เสียค่าแบต* น้อยมาก PHEV เสียค่าแบตน้อยกลาง โดย PHEV บางคันวางแบตไว้กลางรถเหนือพื้นพอสมควร แทบไม่มีโอกาสชนโดน / ขับกระแทกแบตกับพื้น ส่วน BEV ต้องระวังหลุม / การชน ในข่าวว่าบางคันประสบปัญหาแบตแตกแล้ว
8. สุดท้าย ADAS ถึงไม่เกี่ยวกับ BEV / HEV / PHEV โดยตรงนัก แต่ป้องกันการชน ซึ่งจะมีผลต่อการจ่ายค่าแบต โดยเฉพาะสำหรับรถแรง ยิ่งมี ADAS ยิ่งปลอดภัยต่อตนเองและผู้ใช้ถนน ADAS PHEV ตัวท็อป ที่ใช้ ได้คะแนน Euro NCAP สูงกว่าสองแต้มของ BEV ซึ่งเคยตัดสินใจจะซื้อ เคยมีรถจะชนท้าย PHEV ขับออกจากเลนไปเลนอื่นให้อัตโนมัติด้วย Trajectory planning คือ ไม่ใช่แค่หาเส้นทางแต่คำนวณความเร็วของสิ่งรอบตัว (รวมข้างหลังด้วย) ส่วนรถที่กำลังจะเข้าไทยในอนาคตหลายเจ้า ได้ 3 / 4 แต้มเต็ม อีกหน่อยถนนไทยจะยิ่งปลอดภัยขึ้น
*ถ้าประกันจ่ายให้ ค่าประกันเรียงจากน้อยไปมาก HEV / PHEV / BEV
กรณีอุดมคติ คือ คนขับ PHEV วันละ 100 กม. สัปดาห์ละหกวัน เมื่อใช้รถไป 16 ปีโดยแปดปีแรกเปลี่ยนแบตฟรี ตอนปีที่ 16 จะประหยัดกว่ารถน้ำมันล้วน 2.5(เงินที่ประหยัดต่อ 1 กม.เมื่อเทียบกับรถน้ำมันล้วน)*100(กม.ต่อวัน)*6(วันต่อสัปดาห์)50(สัปดาห์ต่อปี)*16(ปี) = 1,200,000 บาท เมื่อจ่ายค่าแบตปีที่ 16 ไป 400,000 บาท จะเสมือนเหลือเงิน 800,000 บาทมากกว่ารถน้ำมันล้วน ซึ่งเงินจำนวนนี้ครอบคลุมค่าบำรุงรักษาตลอด 16 ปีที่ผ่านมา หลังจากนั้นใช้รถอีก 8 ปีจนหมดสภาพปีที่ 24 เป็นต้น ครับ = ขับอย่างนี้ PHEV คุ้มกว่า รถน้ำมันล้วน / BEV / HEV ที่ต้องจ่ายค่าบำรุงรักษาเอง ถ้าตัวรถราคาเท่ากัน ครับ
PHEV ในต่างประเทศขายดีมาก ในไทยน่าใช้ไหมเมื่อเทียบกับ BEV / HEV
https://cleantechnica.com/2023/01/03/17-3-of-new-cars-in-europe-fully-electric-27-7-have-a-plug/#:~:text=46%25%20PHEV%20ratio%20that%20we,13%25%20for%20BEVs%20alone)
ได้รวบรวมข้อดีของ PHEV ไว้ในกระทู้
https://pantip.com/topic/41894875
กระทู้ใหม่นี้ ขอเป็นเชิงเปรียบเทียบล้วน ๆ แล้วแต่ละท่านเห็นเหมือนเห็นต่างยังไงก็สื่อสารกันมาได้ครับ จะดีมากถ้ามาจากประสบการณ์จริงระยะยาว เหมือนคนขับ Toyota Hybrid เคยเล่าให้ฟังว่ารถเขาประหยัดและบำรุงรักษาน้อยกว่ารถสันดาปภายในที่เขาเคยใช้
ส่วนตัวซื้อ PHEV (สำหรับการขับขี่ส่วนตัว ณ เมืองไทย เวลานี้) ด้วยเหตุผลด้านล่างนี้
1. อันดับแรกสำหรับคนตัดสินใจซื้อ คือ ความสุนทรีย์ในการขับขี่ PHEV / HEV ให้ได้ ส่วน BEV ได้ลงชื่อลองไว้แต่ยังไม่ถึงคิว แต่พออ่านจากรีวิวเวอร์ทั้งในและต่างประเทศแล้ว เขาเห็นตรงกันว่า คันที่ไปลงชื่อลองไว้มี Handling ไม่ดีนัก อาจเพราะน้ำหนักแบตหรือการลดทอนความซับซ้อนของช่วงล่างเนื่องจากเนื้อที่แบต อันนี้ก็อาจเป็นข้อที่ต้องยอมรับในอนาคตอันไกล หลายคนน่าจะได้สัมผัสถ้าไม่อยากจ่ายค่าเติมเชื้อเพลิงโหดเมื่อเชื้อเพลิงใกล้หมดโลก แถมกระโปรงหน้าหลายเจ้าไม่มีช่องให้ใส่ค้ำโช้คด้วย ไม่รู้ทำไมไม่ออกแบบเผื่อไว้ให้ใส่ง่าย ค้ำโช้ค ใส่แล้วขับดีขึ้นเยอะ แต่ BEV บางคันก็ทราบมาว่าขับดีตั้งแต่ออกจากศูนย์แล้ว สมราคา 2.5 ล้านอัพ
หนึ่งในรถที่คุณ JIMMY นักรีวิวรถชื่อดังประทับใจมาก และส่วนตัวใช้อยู่ มีช่วงล่างหลังดังรูป จะสังเกตได้ถึงความซับซ้อนของช่วงล่าง
2. เรื่องความแรง PHEV ยี่ห้อที่คะแนนความปลอดภัย IIHS สหรัฐสูงสุด แรงเท่ากับ BEV ยี่ห้อที่คะแนนความปลอดภัย Euro NCAP สูงสุด ดังนั้น ได้รถปลอดภัยก็สมควรกับความแรงของรถ
3. BEV ช่วยลดภาวะโลกร้อนดีที่สุด ส่วน PHEV ขึ้นกับว่าระยะทางขับต่อหนึ่งชาร์จไกลไหม ถ้าไกล ใช้จุดชาร์จตามทางไหม สำหรับ HEV ย่อมดีกว่ารถน้ำมันล้วน
4. ค่าแบต HEV แทบจะไม่ต้องคิด ส่วน PHEV นั้นคุ้มค่าแบตเตอรีที่ต้องเปลี่ยนที่ระยะทางสั้นกว่า BEV เช่น PHEV รุ่นใหม่ที่ขับด้วยไฟฟ้าได้ประมาณ 100 กม.ขับในเมืองประจำ ออกต่างจังหวัดรอบกทม.เดือนละสองครั้ง ขับไป 160,000 กม. คุ้มค่าแบต 400,000 แล้ว เพราะ 1 กม. ประหยัดกว่าน้ำมัน 2.5 บาทโดยประมาณ ขณะที่ BEV ต้อง 300,000 กม. ถึงคุ้มค่าแบต 900,000 เพราะ 1 กม. ประหยัดกว่าน้ำมัน 3 บาท ดังนั้น ระยะทางที่ขับไม่ถึง 300,000 จะทำให้เสมือนจ่ายค่าไฟฟ้า+แบตสูงกว่าค่าเชื้อเพลิงสันดาปภายใน / HEV / PHEV ไม่ต้องพูดถึงรถใช้ก๊าซธรรมชาติอันที่ได้รับผลกระทบจากสงครามน้อยเลย ถ้าขับน้อยจนไม่จำเป็นต้องคิดค่าเปลี่ยนเกียร์ / เครื่อง รถประหยัดกว่า BEV ที่ระยะเวลานึงยังไงก็ต้องเปลี่ยนแบต ส่วนถ้าขับ BEV เยอะ 36,000 กม.ขึ้นไปต่อปี ก็ไม่ต้องรอลุ้นว่าได้เปลี่ยนแบตฟรีตอนปีที่ 8 ไหม เพราะถึงปีที่ 9 ซื้อแบตเองก็คุ้มค่าเชื้อเพลิงแล้ว
5. ค่าบำรุงรักษา HEV / PHEV น้อยกว่าหลายคนคิด โดยดังกระทู้ด้านบน โดยเฉพาะค่าเปลี่ยนเกียร์ / เครื่องยนต์ / มอเตอร์ของ PHEV ที่แทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น เนื่องจากตอนขับด้วยไฟฟ้า คลัชเครื่องยนต์ไม่จับ และในทางตรงกันข้าม ขับด้วยเครื่องยนต์ คลัชไฟฟ้าก็มักไม่ค่อยจับ แล้วแต่โหมดที่เลือก ส่วน BEV ต่างชาติประเมินไว้ว่ามอเตอร์ทนกว่าสันดาปภายใน ก็น่าจะปลาย ๆ อายุของรถที่คิดจะเปลี่ยนมอเตอร์ บางคนอาจทิ้งรถแล้วด้วยซ้ำ (อย่าลืมว่า PHEV ขับด้วยมอเตอร์น้อยกว่า BEV ด้วย โอกาสเปลี่ยนมอเตอร์ระยะยาวของ PHEV ยิ่งต่ำกว่าของ BEV) ส่วนค่าบำรุงรักษาระบบเลี้ยว เบรก ส่งต่อพลังงาน ช่วงล่าง ล้อ ยาง ปัดน้ำฝน หูช้าง กระจก ฟิล์ม (กรอบ)ประตู ไฟ เครื่องเสียง แอร์ กันชน ตัวถัง ฯลฯ จ่ายเท่ากัน
6. เครื่องยนต์สันดาปภายในรถ PHEV เสีย ไม่ต้องเรียกรถยก / ทนขับรถสั่น ๆ คือ ขับรถด้วยมอเตอร์ตามปกติไปซ่อมได้สบาย ๆ อันนี้ยี่ห้อที่แยกสันดาปภายในคุมล้อหน้า มอเตอร์คุมล้อหลัง แผ่นพับบอกว่าทำได้แน่นอน ยี่ห้ออื่นไม่แน่ใจ
7. ชนหนัก แบตแตก HEV เสียค่าแบต* น้อยมาก PHEV เสียค่าแบตน้อยกลาง โดย PHEV บางคันวางแบตไว้กลางรถเหนือพื้นพอสมควร แทบไม่มีโอกาสชนโดน / ขับกระแทกแบตกับพื้น ส่วน BEV ต้องระวังหลุม / การชน ในข่าวว่าบางคันประสบปัญหาแบตแตกแล้ว
8. สุดท้าย ADAS ถึงไม่เกี่ยวกับ BEV / HEV / PHEV โดยตรงนัก แต่ป้องกันการชน ซึ่งจะมีผลต่อการจ่ายค่าแบต โดยเฉพาะสำหรับรถแรง ยิ่งมี ADAS ยิ่งปลอดภัยต่อตนเองและผู้ใช้ถนน ADAS PHEV ตัวท็อป ที่ใช้ ได้คะแนน Euro NCAP สูงกว่าสองแต้มของ BEV ซึ่งเคยตัดสินใจจะซื้อ เคยมีรถจะชนท้าย PHEV ขับออกจากเลนไปเลนอื่นให้อัตโนมัติด้วย Trajectory planning คือ ไม่ใช่แค่หาเส้นทางแต่คำนวณความเร็วของสิ่งรอบตัว (รวมข้างหลังด้วย) ส่วนรถที่กำลังจะเข้าไทยในอนาคตหลายเจ้า ได้ 3 / 4 แต้มเต็ม อีกหน่อยถนนไทยจะยิ่งปลอดภัยขึ้น
*ถ้าประกันจ่ายให้ ค่าประกันเรียงจากน้อยไปมาก HEV / PHEV / BEV
กรณีอุดมคติ คือ คนขับ PHEV วันละ 100 กม. สัปดาห์ละหกวัน เมื่อใช้รถไป 16 ปีโดยแปดปีแรกเปลี่ยนแบตฟรี ตอนปีที่ 16 จะประหยัดกว่ารถน้ำมันล้วน 2.5(เงินที่ประหยัดต่อ 1 กม.เมื่อเทียบกับรถน้ำมันล้วน)*100(กม.ต่อวัน)*6(วันต่อสัปดาห์)50(สัปดาห์ต่อปี)*16(ปี) = 1,200,000 บาท เมื่อจ่ายค่าแบตปีที่ 16 ไป 400,000 บาท จะเสมือนเหลือเงิน 800,000 บาทมากกว่ารถน้ำมันล้วน ซึ่งเงินจำนวนนี้ครอบคลุมค่าบำรุงรักษาตลอด 16 ปีที่ผ่านมา หลังจากนั้นใช้รถอีก 8 ปีจนหมดสภาพปีที่ 24 เป็นต้น ครับ = ขับอย่างนี้ PHEV คุ้มกว่า รถน้ำมันล้วน / BEV / HEV ที่ต้องจ่ายค่าบำรุงรักษาเอง ถ้าตัวรถราคาเท่ากัน ครับ