(ทุก)วันแห่งความรัก

ภาพหนึ่งในยามเช้าที่ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา บนถนนในหมู่บ้านของผมจะเห็นทุกวันจนคุ้นตา คือหญิงชายวัยชราคู่หนึ่งรอใส่บาตรที่ริมถนนหน้าบ้าน มีโต๊ะเล็กๆวางขันข้าวและถาดสำหรับใส่อาหารที่บรรจุอยู่ในถุงพลาสติคหรือผลไม้ตามฤดูกาลซึ่งเป็นผลิตผลที่ปลูกเอง  วางอยู่ข้างหน้า

         เมื่อพระภิกษุเดินบิณฑบาตมาถึง คุณยายจะนั่งพนมมือนบขึ้นเหนือหัวแล้วค่อยๆยืนขึ้นตักข้าวใส่บาตร คุณตาจะเป็นผู้ใส่กับข้าวหรือผลไม้ที่เตรียมไว้ ตามหลัง แล้วคุณตาจะค่อยๆประคองคุณยายให้กลับนั่งลงคุกเข่าอย่างนิ่มนวล เพื่อฟังพระให้พรสั้นๆ ก่อนจะเดินจับมือกันเข้าบ้าน โดยคุณตาจะนำคุณยายไปส่งก่อน แล้วจึงกลับมาเก็บโต๊ะเล็กและอุปกรณ์เข้าบ้าน

        คุณตาคำและคุณยายสิน ทั้งสองท่านอยู่ในวัย แปดสิบต้นๆ อยู่กันสองคนตายาย ในบ้านเล็กกระทัดรัด สะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบ บนเนื้อที่ที่ร่มครึ้มไปด้วยพืชพรรณไม้นานาชนิด มีทั้งไม้ดอกและไม้ที่มีมีผลิตผลกินได้ เช่นกล้วย ขนุน มะม่วง มะละกอ ฯลฯ และพืชผักสวนครัว ในยามเช้าหากใครมีโอกาสเดินผ่านหรือเข้าไปในบ้านของท่านทั้งสอง จะรู้สึกได้ถึงความหอมระรื่นจากกลิ่นดอกไม้เช่นราตรี จำปี ฯลฯ

          เมื่อมีเวลาว่าง ผมมักจะหาโอกาสเดินไปคุยกับคุณตาคุณยายเสมอ ด้วยอยู่ไม่ห่างกันนักกับบ้านสวนของผม

         บ่ายวันหนึ่ง ผมเดินไปบ้านคุณตาโดยตั้งใจจะเอาหนังสือธรรมะและปฏิปทาขององค์ครูบาอาจารย์สายวัดป่า ไปให้คุณตา ตามที่ได้เคยปรารภกันไว้ 

          ที่แคร่ใต้ร่มมะม่วงใหญ่หน้าบ้าน คุณยายกำลังปอกมะม่วงจัดใส่จาน มีคุณตานั่งเอกเขนกอยู่ใกล้ๆ

          ผมยกมือไหว้ท่านทั้งสอง "ผมเอาหนังสือหลวงปู่เหรียญมาให้ตาครับ"  "เออ สวัสดี คุณพระรักษา มาพอดีเลย ลูกเขาเอามะม่วงทะวายมาให้ ยายเขากำลังปอก มาๆมากินด้วยกัน" คุณตาตอบ 

       คุณยายเหลือบตามองผมแล้วยิ้มอ่อนโยน "ยายกำลังให้ลูกเขาเอาข้าวเหนียวใหม่มาให้จะทำข้าวเหนียวมะม่วงให้ตากิน แล้วใส่บาตรบ้าง "

       คุณตาคุณยายมีลูกสามคน เป็นชายสอง หญิงหนึ่ง ทุกคนล้วนแล้วแต่มีการศึกษาสูง มีงานการทำอย่างมั่นคง ลูกชายคนโตเป็นนายตำรวจระดับใหญ่รับราชการอยู่จังหวัดใกล้ๆ ลูกชายคนรองเป็นนายแพทย์อยู่โรงพยาบาลประจำจังหวัด และลูกสาวคนเล็กเป็นครูโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด 

       "คุณตาคุณยาย ดูมีความสุข เป็นคู่คนสูงวัยที่น่ารักจริงๆ" ผมเอ่ยหลังจากนั่งบนเก้าอี้แบบปิคนิคที่ข้างๆแคร่ตามคำเชิญของคุณตา"คุณตา คุณยายมีเคล็ดลับอย่างไรครับถึงได้ครองคู่กันอย่างมีความสุขจนแก่เฒ่า"

        "ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเป็นเคล็ดลับ ไม่ลับ"คุณตาว่า "เพียงแต่เราให้เกียรติกัน รู้ว่าอีกฝ่ายชอบอะไร เราก็ทำ เขาไม่ชอบอะไรเราก็ไม่ทำ ที่สำคัญ ให้คิดถึงตอนที่เราไปรักเขาใหม่ๆ ตอนเป็นหนุ่มเป็นสาว ตอนนั้นสารพัดจะเอาใจเขา ยกเว้นเดือนกับดาวมั้งที่สอยเอาให้เขาไม่ได้" คุณตายิ้มแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงสดใส " รักเขาอย่างไร หวงเขาอย่างไร ห่วงเขาอย่างไร ก็ทำให้มันสม่ำเสมอ เคยทำมาอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น จนกว่าจะตายจากกัน"

        "แล้วคุณยายล่ะครับ" ผมเปลี่ยนไปถามคุณยายบ้าง

        " นี่คุณ" (หมายถึงผม ท่านเรียกผมว่าคุณ) คุณยายขึ้นเสียงสูง" พูดก็พูดเถอะ คุณตาน่ะ เห็นอย่างนี้ก็ไม่เบาเหมือนกันนะ "คุณยายชะม้อยตาไปที่คุณตา"หนุ่มๆน่ะน่าดูเหมือนกัน ฮึ อย่าให้เล่าเลย  แต่ยายก็ถือว่าอะไรอดได้ ทนได้ ก็ทนไป แล้วค่อยพูดค่อยจากัน ยายไม่เคยขึ้นเสียงเอ็ดตะโร มีอะไรไม่ถูกใจก็จะเงียบ ให้เขารู้ว่าเราไม่ถูกใจแล้วนะ ให้ความเงียบบอกเอง ดีกว่าจะไปโฉ่งฉ่างเอ็ดตะโร และที่สำคัญการให้อภัยกันสำคัญที่สุด มีอะไรที่ชอบไม่ชอบก็พูดกันตอนอารมณ์ดีๆทั้งสองคน"

       "จุดอ่อนของผู้ชายน่ะ คือกลัวความเงียบอยู่แล้ว" คุณตาว่ามั่ง "ไปทำผิดมา เห็นเมียเขาเงียบก็ใจเสียเสียแล้ว ทั้งที่รู้ว่าเขารู้ ยิ่งเขาไม่พูดอะไร แถมก็ยังปรนนิบัติจัดหากับข้าว ดูแลทุกอย่างดีเป็นปกติ คราวนี้ละฝ่ายจะอกแตกด้วยความทุกข์ความกังวลแถมความกลัวก็คือผู้ชาย"คุณตาหยุดถอนหายใจ แล้วพูดต่อ "แต่ถ้าฝ่ายเมียโวยวาย คาดคั้น จะเอาชนะคะคาน เอาเป็นเอาตาย แบบนี่ได้เรื่องเลย" คุณตาหยุดมองหน้าคุณยายแล้วยิ้มแบบเอาใจ "ผู้ชายน่ะถ้าไปทำผิดมาก็หมายความว่ามีความกล้าชน กล้าปะทะอยู่หลายเปอร์เซ็นต์แล้ว พอได้จังหวะที่ฝ่ายหญิงเอะอะโวยวายคาดคั้น ก็เข้าทางเลย พังเป็นพังกันละงานนี้ เข้าทำนองน้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย ดังโบราณเขาว่าจริงๆ"

          "เอาความสงบ สงบความเคลื่อนไหว "คุณยายกล่าวลอยๆ "เงินทองก็ไม่ใช่ของสำคัญนะคุณ เงินทองซื้อได้แต่ตัว ซื้อหัวใจรักไม่ได้ ความรักต้องแลกกันด้วยความรัก ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ"

         คุณตายิ้มอย่างอิ่มเอมก่อนกล่าว"ความรัก ความเข้าใจ ความห่วงหาอาทร ระหว่างกันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด จะจางหายไม่ได้ มีมาแต่ต้นอย่างไร ต้องคงเส้นคงวา เคยดูแลกันมาอย่างไร ต้องเสมอเส้นเสมอวา จับมือกันเดินให้มั่น ใครซวดเซ ฉุดกันเอาไว้ ไม่ใช่ปล่อยให้ล้ม แล้วตัวเองเดินหนี อย่างนั้นไม่ใช่"

       คุณยายค่อยๆจัดเรียงมะม่วงที่ปอกแล้ววางบนจานอย่างสวยงามเป็นระเบียบ

        "หากผัวก็เก่ง เมียก็เก่ง แล้วมาเก่งใส่กัน แบบนี้ยายไม่เห็นรอดสักราย หย่าร้างกัน ทิ้งกันไป ไปมีผัวใหม่ เมียใหม่ โดยไม่ทิ้งนิสัยเดิม ไปมีกันใหม่อีกกี่สิบครั้ง กี่สิบคน มันก็เหมือนเดิม ก็ยังดิ้นรนกันมีใหม่ คิดว่าตัวเองถูกอยู่คนเดียว แล้วก็ไปโทษเวรเก่า โทษกรรมเก่า มันต้องดูตัวเอง แก้ที่ตัวเอง ถึงจะถูก" คุณยายกล่าวพร้อมเชิญให้คุณตาและผมชิมมะม่วง

          "สิ่งหนึ่งที่ตาจะฝากไว้ให้คุณ  ร้อยคนรักไม่เท่าหนึ่งคนรู้ใจ และถ้าคนรักเป็นคนรู้ใจเราด้วย ก็ใช่เลย ยกให้ทั้งชีวิต"คุณตากล่าวเสริม "ของตาโชคดีจริงๆที่มีคนรักที่เป็นทั้งคนรู้ใจ ก็ยายนี่ไง้ แฮ่ะ แฮ่ะ ร้อยชู้หรือจะสู้เนื้อเมียตน"

       "เอา เอา พอละมั้งเรื่องนี้" คุณตาว่า" กินมะม่วงกันดีกว่า เดี๋ยวยายเขามูนข้าวเหนียวเสร็จ จะให้เด็กเอาไปให้คุณชิม"

         มะม่วงที่ปอกโดยฝีมือคุณยายวันนั้นผมรู้สึกได้ว่าหวานเป็นพิเศษ และคนที่น่าจะรับรสหวานพิเศษนั้นได้อย่างชุ่มชื่นและสุขใจไปตลอดกาลคือคุณตา

         บ่ายคล้อยแล้ว ผมลาคุณตาคุณยายกลับ ด้วยคำขอว่าโอกาสหน้าผมจะมาคุยและขอรับการถ่ายทอดสิ่งดีๆจากท่านอีก และขออนุญาตนำสิ่งที่ได้รับในวันนี้ไปบอกเล่าต่อ 

             ครับ ......" เงินทองทรัพย์สมบัติ ซื้อได้แต่ตัว ซื้อหัวใจรักไม่ได้ รักต้องแลกด้วยรัก" คำพูดของคุณยายก้องอยู่ในหูผม มิรู้ลืม เป็นคำพูดที่มีความหมาย ทรงอานุภาพในตัว อย่างที่ผมมิเคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยิน....ขอบคุณครับ คุณยาย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่