https://etipitaka.com/read/thai/13/288/
๑. ฆฏิการสูตร
...
...
[๔๐๘] ดูกรอานนท์ เมื่อฆฏิการะช่างหม้อกล่าวอย่างนี้แล้ว โชติปาลมาณพได้กล่าวกะ
ฆฏิการะช่างหม้อว่า
"
อย่าเลยเพื่อนฆฏิการะ จะมีประโยชน์อะไรด้วยพระสมณะศีรษะโล้นนั้นที่เราเห็นแล้วเล่า? "
แม้ครั้งที่สอง ...
แม้ครั้งที่สาม ฆฏิการะช่างหม้อก็ได้เรียกโชติปาลมาณพมากล่าวว่า เพื่อนโชติปาละ
นี้ไม่ไกลพระอารามของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
มาเถิดเพื่อนโชติปาละ เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสป
ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าการที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้เป็น
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สมมติกันว่าเป็นความดี.
แม้ครั้งที่สามโชติปาลมาณพก็ได้กล่าวกะฆฏิการะช่างหม้อว่า
อย่าเลยเพื่อนฆฏิการะ จะมีประโยชน์อะไรด้วยพระสมณะศีรษะโล้นนั้นที่เราเห็นแล้วเล่า?
...
...
พระกัสสปพุทธเจ้าสรรเสริญช่างหม้อชื่อฆฏิการะ
[๔๑๗] มีอยู่ มหาบพิตร นิคมชื่อเวภฬิคะ ช่างหม้อชื่อฆฏิการะ อยู่ในนิคมนั้น
เขาเป็นอุปัฏฐากของอาตมภาพ นับเป็นอุปัฏฐากชั้นเลิศ
พระองค์แลทรงเสียพระทัยมีความโทมนัส ว่า พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่ทรงรับการอยู่จำพรรษา ในเมืองพาราณสีของเราเสียแล้ว
ความเสียใจและความโทมนัสนี้นั้น ย่อมไม่มี และจักไม่มีใน ช่างหม้อฆฏิการะ
ดูกรมหาบพิตร ช่างหม้อฆฏิการะแล
-
ถึงพระพุทธเจ้า...พระธรรม...พระสงฆ์ เป็นสรณะ
-
เว้นขาดจากปาณาติบาต
-
เว้นขาดจากอทินนาทาน
-
เว้นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร
- เ
ว้นขาดจากมุสาวาท
-
เว้นขาดจากน้ำเมาคือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
ดูกร มหาบพิตร ช่างหม้อฆฏิการะ
-
เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
ในพระธรรม
ในพระสงฆ์
-
ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่
ดูกรมหาบพิตร ช่างหม้อฆฏิการะ
-
เป็นผู้หมดสงสัยในทุกข์ ในทุกขสมุทัย ในทุกขนิโรธ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา(ละวิจิกิจฉา..แล้ว)
-
บริโภคภัตมื้อเดียว (วิกาลโภชนา เวรมณี)
-
ประพฤติพรหมจรรย์ (พฺรหฺมจารี)
-
มีศีล มีกัลยาณธรรม
-
ปล่อยวางแก้วมณีและทองคำ ปราศจาก การใช้ทองและเงิน
{...สรุปว่า..ท่านปฏิบัติเกือบจะเหมือนพระภิกษุแล้ว...}
ดูกรมหาบพิตร ช่างหม้อฆฏิการะแล
ไม่ขุดแผ่นดินด้วยสากและด้วยมือ ของตน นำมาแต่ดินตลิ่งพังหรือขุยหนูซึ่งมีอยู่ด้วยหาบ
ทำเป็นภาชนะแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ในภาชนะนี้ ผู้ใดต้องการ ผู้นั้นจงวางถุงใส่ข้าวสาร ถุงใส่ถั่วเขียว
หรือถุงใส่ถั่วดำไว้ แล้วนำ ภาชนะที่ต้องการนั้นไปเถิด
ดูกรมหาบพิตร ช่างหม้อฆฏิการะ
เลี้ยงมารดาบิดา ผู้ชรา ตาบอด
{ ฆฏิกาโร โข มหาราช กุมฺภกาโร อนฺเธ(บอด) ชิณฺเณ(แก่ชรา) มาตาปิตโร โปเสติ(เลี้ยงดู)
มหาราช! ฆฏิการะช่างหม้อ.. เลี้ยงดูมารดาบิดาชราตาบอด }
ช่างหม้อฆฏิการะ
เป็นอุปปาติกะ จะปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้าประการหมดสิ้นไป.
[๔๑๘] ดูกรมหาบพิตร ครั้งหนึ่ง อาตมภาพอยู่ที่นิคมชื่อเวภฬิคะนั้นเอง.
เวลาเช้า อาตมภาพนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปหามารดาบิดาของฆฏิการะช่างหม้อถึงที่อยู่
แล้วได้ถามว่า ดูเถิด นี่คนหาอาหารไปไหนเสียเล่า?
มารดาบิดาของฆฏิการะช่างหม้อตอบว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุปัฏฐากของพระองค์ออกไปเสียแล้ว
ขอพระองค์จงเอาข้าวสุกจากหม้อข้าวนี้ เอาแกงจากหม้อ แกงนี้เสวยเถิด.
ดูกรมหาบพิตร
ครั้งนั้น อาตมภาพได้เอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจาก หม้อแกงฉันแล้ว
ลุกจากอาสนะหลีกไป. ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อเข้าไปหามารดาบิดาถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า
ใครมาเอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจากหม้อแกงบริโภคแล้วลุกจากอาสนะ หลีกไป.
มารดาบิดาบอกว่า ดูกรพ่อ พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงเอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจากหม้อแกงเสวยแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป.
ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อมีความคิดเห็นว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่พระผู้มีพระภาค
ทรงพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงคุ้นเคยอย่างยิ่งเช่นนี้แก่เรา.
ดูกรมหาบพิตร
ครั้งนั้น ปีติและสุขไม่ละฆฏิการะช่างหม้อตลอดกึ่งเดือน ไม่ละมารดาบิดาตลอดเจ็ดวัน.
[๔๑๙] ดูกรมหาบพิตร ครั้งหนึ่ง อาตมภาพอยู่ที่เวภฬิคนิคมนั้นเอง.
ครั้งนั้นเวลาเช้า อาตมภาพนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปหามารดาบิดาของฆฏิการะช่างหม้อถึงที่อยู่
แล้วได้ถามว่า ดูเถิด นี่คนหาอาหารไปไหนเสียเล่า?
มารดาบิดาของฆฏิการะช่างหม้อตอบว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุปัฏฐากของพระองค์ออกไปเสียแล้ว
ขอพระองค์จงเอาขนมสดจากกระเช้านี้ เอาแกงจากหม้อแกง นี้เสวยเถิด.
ดูกรมหาบพิตร
ครั้งนั้น อาตมภาพได้เอาขนมสดจากกระเช้า เอาแกงจากหม้อแกง ฉันแล้ว
ลุกจากอาสนะหลีกไป. ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อเข้าไปหามารดาบิดาถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า
ใครมาเอาขนมสดจากกระเช้า เอาแกงจากหม้อแกงบริโภค แล้วลุกจากอาสนะหลีกไป.
มารดาบิดาบอกว่า ดูกรพ่อ พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรง เอาขนมสดจากกระเช้า เอาแกงจากหม้อแกงเสวยแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป.
ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อมีความคิดเห็นว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ
ที่พระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงคุ้นเคยอย่างยิ่งเช่นนี้แก่เรา.
ดูกรมหาบพิตร
ครั้งนั้น ปีติและสุขไม่ละฆฏิการะช่างหม้อตลอดกึ่งเดือน ไม่ละมารดาบิดาตลอดเจ็ดวัน.
[๔๒๐] ดูกรมหาบพิตร ครั้งหนึ่ง อาตมภาพอยู่ที่เวภฬิคนิคมนั้นเอง.
ก็สมัยนั้น กุฏิรั่ว. อาตมภาพจึงเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงพากันไปดูหญ้าที่นิเวศน์
ของฆฏิการะช่างหม้อ. เมื่ออาตมภาพกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้กล่าวกะอาตมภาพว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
หญ้าที่นิเวศน์ของฆฏิการะช่างหม้อไม่มี มีแต่หญ้าที่มุงหลังคาเรือนที่ฆฏิการะ ช่างหม้ออยู่เท่านั้น.
อาตมภาพได้สั่งภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงพากันไป รื้อหญ้าที่มุงหลังคาเรือน ที่ฆฏิการะช่างหม้ออยู่มาเถิด.
ดูกรมหาบพิตร ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้น ได้ไปรื้อหญ้าที่มุงหลังคาเรือนที่ฆฏิการะช่างหม้ออยู่มาแล้ว.
ลำดับนั้น
มารดาบิดาของฆฏิการะ ช่างหม้อได้กล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า ใครมารื้อหญ้ามุงหลังคาเรือนเล่า.
ภิกษุทั้งหลายตอบว่า
ดูกร น้องหญิง กุฎีของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า รั่ว
มารดาบิดา ฆฏิการะช่างหม้อได้กล่าวว่า
"
เอาไปเถิดเจ้าข้า เอาไปตามสะดวกเถิด ท่านผู้เจริญ."
ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อเข้าไปหามารดาบิดาถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า ใครมารื้อหญ้ามุงหลังคาเรือนเสียเล่า?
มารดาบิดาตอบว่า ดูกรพ่อ ภิกษุทั้งหลายบอกว่า
กุฎีของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสป อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า รั่ว.
ดูกรมหาบพิตร ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อมีความคิดเห็นว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ
ที่พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า ทรงคุ้นเคยอย่างยิ่งเช่นนี้แก่เรา.
ดูกรมหาบพิตร
ครั้งนั้น ปีติและสุขไม่ละฆฏิการะ ช่างหม้อตลอดกึ่งเดือน ไม่ละมารดาบิดาตลอดเจ็ดวัน.
และครั้งนั้น เรือนที่ฆฏิการะช่างหม้อ อยู่ทั้งหลังนั้น มีอากาศเป็นหลังคาอยู่ตลอดสามเดือน ถึงฝนตกก็ไม่รั่ว
ดูกรมหาบพิตร ฆฏิการะ ช่างหม้อมีคุณเห็นปานนี้.
กิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นลาภของฆฏิการะช่างหม้อแล้ว ฆฏิการะช่างหม้อได้ดีแล้ว
ที่พระผู้มีพระภาคทรงคุ้นเคยอย่างยิ่งเช่นนี้แก่เขา.
[๔๒๑] ดูกรอานนท์ ครั้งนั้น พระเจ้ากิกิกาสิราชได้ส่งเกวียนบรรทุกข้าวสารข้าวปัณฑุมุ ฑิกสาลี
ประมาณ ๕๐๐ เล่ม และเครื่องแกงอันสมควรแก่ข้าวสารนั้น ไปพระราชทานแก่ฆฏิการะ ช่างหม้อ.
ครั้งนั้น ราชบุรุษทั้งหลายเข้าไปหาฆฏิการะช่างหม้อแล้วได้กล่าวว่า
ดูกรท่านผู้เจริญ นี่ข้าวสารข้าวปัณฑุมุฑิกสาลีบรรทุกเกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม และเครื่องแกงอันสมควรแก่
ข้าวสารนั้น พระเจ้ากิกิกาสิราชส่งมาพระราชทานแก่ท่านแล้ว จงรับของพระราชทานเหล่านั้น ไว้เถิด.
ฆฏิการะช่างหม้อได้ตอบว่า พระราชามีพระราชกิจมาก มีราชกรณียะมาก ของที่พระ ราชทานมานี้
อย่าเป็นของข้าพเจ้าเลย จงเป็นของหลวงเถิด.
[๔๒๒]
ดูกรอานนท์ เธอจะพึงมีความคิดเห็นว่า สมัยนั้น คนอื่นได้เป็นโชติปาล มาณพแน่นอน
แต่ข้อนั้นเธอไม่ควรเห็นอย่างนั้น สมัยนั้นเราได้เป็นโชติปาลมาณพ.
{...พระผู้มีพระภาคของเรานั้น..ในอดีตก็คือ " โชติปาล มาณพ "..นั่นเอง...แล้วไม่เชื่อว่า
พระผู้มีพระภาคพระยามว่ากัสสปจะเป็นพระพุทธเจ้า...แต่เพราะฆฏิการะที่เป็นเพื่อนพาไปฟังธรรมจึงรู้ว่าเป็นพระพุทธ..}
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ยินดีชื่นชมพระภาษิตของ พระผู้มีพระภาคแล้ว ดังนี้แล.
จบ ฆฏิการสูตร ที่ ๑.
สัตว์:..ผู้อริยสาวก-ผู้อนาคามี..ตอนที่ 09 : พระผู้มีพระภาคนามว่า " กัสสป "..กล่าวถึง...ฆฏิการะผู้อนาคามี..ว่า
https://etipitaka.com/read/thai/13/288/
๑. ฆฏิการสูตร
...
...
[๔๐๘] ดูกรอานนท์ เมื่อฆฏิการะช่างหม้อกล่าวอย่างนี้แล้ว โชติปาลมาณพได้กล่าวกะ
ฆฏิการะช่างหม้อว่า
" อย่าเลยเพื่อนฆฏิการะ จะมีประโยชน์อะไรด้วยพระสมณะศีรษะโล้นนั้นที่เราเห็นแล้วเล่า? "
แม้ครั้งที่สอง ...
แม้ครั้งที่สาม ฆฏิการะช่างหม้อก็ได้เรียกโชติปาลมาณพมากล่าวว่า เพื่อนโชติปาละ
นี้ไม่ไกลพระอารามของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสป ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
มาเถิดเพื่อนโชติปาละ เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสป
ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าการที่เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้เป็น
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สมมติกันว่าเป็นความดี.
แม้ครั้งที่สามโชติปาลมาณพก็ได้กล่าวกะฆฏิการะช่างหม้อว่า
อย่าเลยเพื่อนฆฏิการะ จะมีประโยชน์อะไรด้วยพระสมณะศีรษะโล้นนั้นที่เราเห็นแล้วเล่า?
...
...
พระกัสสปพุทธเจ้าสรรเสริญช่างหม้อชื่อฆฏิการะ
[๔๑๗] มีอยู่ มหาบพิตร นิคมชื่อเวภฬิคะ ช่างหม้อชื่อฆฏิการะ อยู่ในนิคมนั้น
เขาเป็นอุปัฏฐากของอาตมภาพ นับเป็นอุปัฏฐากชั้นเลิศ
พระองค์แลทรงเสียพระทัยมีความโทมนัส ว่า พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่ทรงรับการอยู่จำพรรษา ในเมืองพาราณสีของเราเสียแล้ว
ความเสียใจและความโทมนัสนี้นั้น ย่อมไม่มี และจักไม่มีใน ช่างหม้อฆฏิการะ
ดูกรมหาบพิตร ช่างหม้อฆฏิการะแล
- ถึงพระพุทธเจ้า...พระธรรม...พระสงฆ์ เป็นสรณะ
- เว้นขาดจากปาณาติบาต
- เว้นขาดจากอทินนาทาน
- เว้นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร
- เว้นขาดจากมุสาวาท
- เว้นขาดจากน้ำเมาคือสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
ดูกร มหาบพิตร ช่างหม้อฆฏิการะ
- เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
ในพระธรรม
ในพระสงฆ์
- ประกอบด้วยศีลที่พระอริยเจ้าใคร่
ดูกรมหาบพิตร ช่างหม้อฆฏิการะ
- เป็นผู้หมดสงสัยในทุกข์ ในทุกขสมุทัย ในทุกขนิโรธ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา(ละวิจิกิจฉา..แล้ว)
- บริโภคภัตมื้อเดียว (วิกาลโภชนา เวรมณี)
- ประพฤติพรหมจรรย์ (พฺรหฺมจารี)
- มีศีล มีกัลยาณธรรม
- ปล่อยวางแก้วมณีและทองคำ ปราศจาก การใช้ทองและเงิน
{...สรุปว่า..ท่านปฏิบัติเกือบจะเหมือนพระภิกษุแล้ว...}
ดูกรมหาบพิตร ช่างหม้อฆฏิการะแล
ไม่ขุดแผ่นดินด้วยสากและด้วยมือ ของตน นำมาแต่ดินตลิ่งพังหรือขุยหนูซึ่งมีอยู่ด้วยหาบ
ทำเป็นภาชนะแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ในภาชนะนี้ ผู้ใดต้องการ ผู้นั้นจงวางถุงใส่ข้าวสาร ถุงใส่ถั่วเขียว
หรือถุงใส่ถั่วดำไว้ แล้วนำ ภาชนะที่ต้องการนั้นไปเถิด
ดูกรมหาบพิตร ช่างหม้อฆฏิการะ
เลี้ยงมารดาบิดา ผู้ชรา ตาบอด
{ ฆฏิกาโร โข มหาราช กุมฺภกาโร อนฺเธ(บอด) ชิณฺเณ(แก่ชรา) มาตาปิตโร โปเสติ(เลี้ยงดู)
มหาราช! ฆฏิการะช่างหม้อ.. เลี้ยงดูมารดาบิดาชราตาบอด }
ช่างหม้อฆฏิการะ
เป็นอุปปาติกะ จะปรินิพพานในภพนั้น มีการไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้าประการหมดสิ้นไป.
[๔๑๘] ดูกรมหาบพิตร ครั้งหนึ่ง อาตมภาพอยู่ที่นิคมชื่อเวภฬิคะนั้นเอง.
เวลาเช้า อาตมภาพนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปหามารดาบิดาของฆฏิการะช่างหม้อถึงที่อยู่
แล้วได้ถามว่า ดูเถิด นี่คนหาอาหารไปไหนเสียเล่า?
มารดาบิดาของฆฏิการะช่างหม้อตอบว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุปัฏฐากของพระองค์ออกไปเสียแล้ว
ขอพระองค์จงเอาข้าวสุกจากหม้อข้าวนี้ เอาแกงจากหม้อ แกงนี้เสวยเถิด.
ดูกรมหาบพิตร ครั้งนั้น อาตมภาพได้เอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจาก หม้อแกงฉันแล้ว
ลุกจากอาสนะหลีกไป. ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อเข้าไปหามารดาบิดาถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า
ใครมาเอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจากหม้อแกงบริโภคแล้วลุกจากอาสนะ หลีกไป.
มารดาบิดาบอกว่า ดูกรพ่อ พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงเอาข้าวสุกจากหม้อข้าว เอาแกงจากหม้อแกงเสวยแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป.
ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อมีความคิดเห็นว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่พระผู้มีพระภาค
ทรงพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงคุ้นเคยอย่างยิ่งเช่นนี้แก่เรา.
ดูกรมหาบพิตร ครั้งนั้น ปีติและสุขไม่ละฆฏิการะช่างหม้อตลอดกึ่งเดือน ไม่ละมารดาบิดาตลอดเจ็ดวัน.
[๔๑๙] ดูกรมหาบพิตร ครั้งหนึ่ง อาตมภาพอยู่ที่เวภฬิคนิคมนั้นเอง.
ครั้งนั้นเวลาเช้า อาตมภาพนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปหามารดาบิดาของฆฏิการะช่างหม้อถึงที่อยู่
แล้วได้ถามว่า ดูเถิด นี่คนหาอาหารไปไหนเสียเล่า?
มารดาบิดาของฆฏิการะช่างหม้อตอบว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุปัฏฐากของพระองค์ออกไปเสียแล้ว
ขอพระองค์จงเอาขนมสดจากกระเช้านี้ เอาแกงจากหม้อแกง นี้เสวยเถิด.
ดูกรมหาบพิตร ครั้งนั้น อาตมภาพได้เอาขนมสดจากกระเช้า เอาแกงจากหม้อแกง ฉันแล้ว
ลุกจากอาสนะหลีกไป. ลำดับนั้น ฆฏิการะช่างหม้อเข้าไปหามารดาบิดาถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า
ใครมาเอาขนมสดจากกระเช้า เอาแกงจากหม้อแกงบริโภค แล้วลุกจากอาสนะหลีกไป.
มารดาบิดาบอกว่า ดูกรพ่อ พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรง เอาขนมสดจากกระเช้า เอาแกงจากหม้อแกงเสวยแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป.
ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อมีความคิดเห็นว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ
ที่พระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงคุ้นเคยอย่างยิ่งเช่นนี้แก่เรา.
ดูกรมหาบพิตร ครั้งนั้น ปีติและสุขไม่ละฆฏิการะช่างหม้อตลอดกึ่งเดือน ไม่ละมารดาบิดาตลอดเจ็ดวัน.
[๔๒๐] ดูกรมหาบพิตร ครั้งหนึ่ง อาตมภาพอยู่ที่เวภฬิคนิคมนั้นเอง.
ก็สมัยนั้น กุฏิรั่ว. อาตมภาพจึงเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงพากันไปดูหญ้าที่นิเวศน์
ของฆฏิการะช่างหม้อ. เมื่ออาตมภาพกล่าวอย่างนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นได้กล่าวกะอาตมภาพว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
หญ้าที่นิเวศน์ของฆฏิการะช่างหม้อไม่มี มีแต่หญ้าที่มุงหลังคาเรือนที่ฆฏิการะ ช่างหม้ออยู่เท่านั้น.
อาตมภาพได้สั่งภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงพากันไป รื้อหญ้าที่มุงหลังคาเรือน ที่ฆฏิการะช่างหม้ออยู่มาเถิด.
ดูกรมหาบพิตร ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้น ได้ไปรื้อหญ้าที่มุงหลังคาเรือนที่ฆฏิการะช่างหม้ออยู่มาแล้ว.
ลำดับนั้น มารดาบิดาของฆฏิการะ ช่างหม้อได้กล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า ใครมารื้อหญ้ามุงหลังคาเรือนเล่า.
ภิกษุทั้งหลายตอบว่า ดูกร น้องหญิง กุฎีของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า รั่ว
มารดาบิดา ฆฏิการะช่างหม้อได้กล่าวว่า
" เอาไปเถิดเจ้าข้า เอาไปตามสะดวกเถิด ท่านผู้เจริญ."
ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อเข้าไปหามารดาบิดาถึงที่อยู่ แล้วได้ถามว่า ใครมารื้อหญ้ามุงหลังคาเรือนเสียเล่า?
มารดาบิดาตอบว่า ดูกรพ่อ ภิกษุทั้งหลายบอกว่า
กุฎีของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสป อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า รั่ว.
ดูกรมหาบพิตร ครั้งนั้น ฆฏิการะช่างหม้อมีความคิดเห็นว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ
ที่พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่ากัสสปอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า ทรงคุ้นเคยอย่างยิ่งเช่นนี้แก่เรา.
ดูกรมหาบพิตร ครั้งนั้น ปีติและสุขไม่ละฆฏิการะ ช่างหม้อตลอดกึ่งเดือน ไม่ละมารดาบิดาตลอดเจ็ดวัน.
และครั้งนั้น เรือนที่ฆฏิการะช่างหม้อ อยู่ทั้งหลังนั้น มีอากาศเป็นหลังคาอยู่ตลอดสามเดือน ถึงฝนตกก็ไม่รั่ว
ดูกรมหาบพิตร ฆฏิการะ ช่างหม้อมีคุณเห็นปานนี้.
กิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นลาภของฆฏิการะช่างหม้อแล้ว ฆฏิการะช่างหม้อได้ดีแล้ว
ที่พระผู้มีพระภาคทรงคุ้นเคยอย่างยิ่งเช่นนี้แก่เขา.
[๔๒๑] ดูกรอานนท์ ครั้งนั้น พระเจ้ากิกิกาสิราชได้ส่งเกวียนบรรทุกข้าวสารข้าวปัณฑุมุ ฑิกสาลี
ประมาณ ๕๐๐ เล่ม และเครื่องแกงอันสมควรแก่ข้าวสารนั้น ไปพระราชทานแก่ฆฏิการะ ช่างหม้อ.
ครั้งนั้น ราชบุรุษทั้งหลายเข้าไปหาฆฏิการะช่างหม้อแล้วได้กล่าวว่า
ดูกรท่านผู้เจริญ นี่ข้าวสารข้าวปัณฑุมุฑิกสาลีบรรทุกเกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม และเครื่องแกงอันสมควรแก่
ข้าวสารนั้น พระเจ้ากิกิกาสิราชส่งมาพระราชทานแก่ท่านแล้ว จงรับของพระราชทานเหล่านั้น ไว้เถิด.
ฆฏิการะช่างหม้อได้ตอบว่า พระราชามีพระราชกิจมาก มีราชกรณียะมาก ของที่พระ ราชทานมานี้
อย่าเป็นของข้าพเจ้าเลย จงเป็นของหลวงเถิด.
[๔๒๒] ดูกรอานนท์ เธอจะพึงมีความคิดเห็นว่า สมัยนั้น คนอื่นได้เป็นโชติปาล มาณพแน่นอน
แต่ข้อนั้นเธอไม่ควรเห็นอย่างนั้น สมัยนั้นเราได้เป็นโชติปาลมาณพ.
{...พระผู้มีพระภาคของเรานั้น..ในอดีตก็คือ " โชติปาล มาณพ "..นั่นเอง...แล้วไม่เชื่อว่า
พระผู้มีพระภาคพระยามว่ากัสสปจะเป็นพระพุทธเจ้า...แต่เพราะฆฏิการะที่เป็นเพื่อนพาไปฟังธรรมจึงรู้ว่าเป็นพระพุทธ..}
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ยินดีชื่นชมพระภาษิตของ พระผู้มีพระภาคแล้ว ดังนี้แล.
จบ ฆฏิการสูตร ที่ ๑.