เป็นแค่การบอกกล่าวปนระบาย แล้วก็อยากลองฟังความเห็นจากทุกคนเลย นี่คือสิ่งที่อยู่ในหัวตลอดเวลาครับ ตัวผมเองไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหานะ เคยไปพบจิตแพทย์ หรือ นักจิตวิทยา ได้ไปมาแล้วเขามองว่า ไม่ได้แย่แค่ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการคิดสักนิดนึง แค่มันเป็นระบบความคิดที่มีความเอกลักษณ์กว่าคนปกติไปหน่อย ลองอ่านกันดูครับถ้าว่างๆ
คือเป็นคนที่คิดตลอดเวลาอยู่ในโลกในหัวตลอดเวลาครับ ต่อให้ตัวจะอยู่สถานที่ไหน จะมีโลกส่วนตัวที่ทุกคนเข้าใจกันเสมอ ไม่ใช่การเก็บตัวแบบที่ทุกคนคิดเช่นว่า โลกส่วนตัวสูงต้องอยู่ห้องไม่เห็นตัว ไม่ใช่ๆต่อให้ที่ไหนจะมีคนเป็นร้อยก็จะมีโลกใบนี้ติดตัวเสมอ เป็นเหมือนห้องประชุมในหัวครับแล้วจะมีหลายนิสัยหลายแบบทำงานร่วมกันแยกกันแบบชัดเจนเกินไปหน่อย เวลาเดียวที่จะไม่คุมจริงๆคือ เมาวาร์ป คุมไหวกันด้วยหรอ นอกนั้นจะวิ่งเข้าวิ่งออกแบบรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อคำถามหรือสิ่งรอบๆ ผู้คนแบบทันที ไม่ได้แบบนิ่งเงียบไม่รู้ ๆ ๆ ๆ ๆ
ปัญหาคือพอมันชิน เรียกว่า ส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว แล้วการไม่ต้องคิดสิ มันเป็นไปไม่ได้ ได้แต่เพียงแค่ทำความเข้าใจแล้วปรับปรุงให้มันถูกต้อง มันเลยมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือหัวไว มีหลักการ มีเหตุผล ค่อนข้างจะคิดแล้วมีแผนจัดการอะไรได้รวดเร็ว เรื่องซับซ้อนยุ่งยากจะไม่ยากถ้ามันอธิบายชัดเจน ข้อเสียคือ ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของคนปกติเท่าไหร่ เป็นคำถามในหัวตลอดว่า "ต้องรู้สึกยังไง ถามตัวเองโง่ๆแบบนี้แหละ" ตอนที่เหตุการ์ณบางอย่างมันเกิดขึ้นทันที หลายๆคนจะมองว่าเป็น "คอมพิวเตอร์เวอร์ชั่นมนุษย์แหละ" อันนี้ไม่เถียง เป็นงั้นจริงๆ ไม่เข้าใจ คือ ไม่เข้าใจ ถ้าไม่ใช่หลักการและเหตุผลที่ลองนั่งฟังแล้ว อ้อ เอ้อใช่แหละ แต่ถ้าให้รู้สึกอินร่วม ถ้าบรรยากาศไม่ได้ก็จะไม่รู้สึก แต่ฟังจากประโยคจะรู้ว่า อันไหนซีเรียส หรือ ไม่ซีเรียส ไม่แน่ใจจะถามโง่ๆเหมือนเดิมว่า อันนี้ซีเรียสปะ ก็ใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด
ตอนแรกเข้าใจว่ามันคือ "ปัญหา" มันทำให้เราไม่ค่อยเข้าใจบางอย่างซึ่งกลัวว่ามันกระทบการงานที่สุด เพราะถ้าเราไม่มีงานดีๆทำ มีเงินดีๆ เราก็จะตกต่ำเครียดยิ่งกว่านี้ จึงเริ่มทำความเข้าใจตัวเองด้วยการไม่ทำอะไรแล้วคิดแล้วจับทุกสิ่งอย่างมาจัดการมันสะเกือบทุกวันและทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่เสมอ ถึงไม่มีอะไรให้จัดก็จะจัด เพื่อให้ควบคุมมันได้แบบเยอะที่สุด จนกระทั่งเมื่อจับต้องมันได้กลายเป็นว่า เป็นคนมีเหตุผลสูงปี๊ด แต่ความรู้สึกมันบางมาก บางเกินปุยมุ้ย แต่ก็แสดงออกไม่ได้ เพราะคนรอบตัวส่วนใหญ่จะเป็นคนปกติแหละที่ กินข้าวกินอะไรแล้วว้าวอร่อย เห็นวิวทะเลสวยๆแล้วว้าว อันนี้สวยอะแบบสวยดูสีสิมันแบบช่ำมากนั่นนี่ คือ อืมมมม เอาเลย ให้นั่งดูคลิปแมวกระโดดวืดล่วงโซฟาอาจจะยังขำสะมากกว่าอีก อารมณ์ขันมันรู้สึกได้ง่ายกว่าจริงๆ นอกนั้นแทบจะไม่รู้สึกแบบที่เขารู้สึก มันคืออะไรถามไปก็ใช่ว่าจะรู้สึกแบบเดียวกับเขา นอกนั้นคืออารมณ์โกรธและโมโหมันก็เป็นอีกสิ่งที่ทำได้ง่าย แต่ก็อันตรายเช่นกัน เพราะมันมีหลายเรื่องที่ทำให้เราหงุดหงิดได้ง่ายๆ ดังนั้นก็จะเป็นคนอารมณ์ร้อนง่ายหายไว ถ้าไม่รู้จักตัวเองดีพอ ไม่งั้นจะควบคุมอะไรพวกนี้ไม่ได้เลยเทียบกับสมัยก่อนที่ไม่เข้าใจตัวเองว่าเป็นอะไร มันเหวี่ยงมันมั่วไปหมด แต่สุดท้ายทำได้จริง เอ้าไม่มีปัญหากับการงาน
แต่ไปมีปัญหาเวลาออกไปไหน มันไม่ปกติเมื่อมีโลกใบนี้ที่สร้างมาเองไปด้วย จะคุยกับใคร ไปเดท หรือ กับเพื่อน ยากมาก เพราะเราไม่รู้จะคุยอะไรไม่พอ แล้วไม่รู้ด้วยว่าบรรยากาศมันน่าคุยขนาดไหน แต่ก็อยากคุยมีหลายเรื่องชอบเล่า เล่าได้ถ้ายังฟัง แต่ไม่แน่ใจว่าจะอยากฟังเรื่องเดียวกับเราไหม เพราะเราจะไม่พูดถ้าเขาไม่ได้เปิดหัวข้อที่สนใจ หรือ ไม่มีอะไรจะคอมเม้น แล้วมันจะรู้สึกว่าเวลาไปไหนกับใครเหมือนเราต้องคิดพยายามทำอะไรสักอย่าง แม้แต่ตอนที่ออกมาเดินตามห้างเราก็คิดแล้วว่า มาทำไรวะ ต้องได้อะไรไหมนะ กินไรดี ยังไงดี คือความรู้สึกตอนนั้นมันไม่มีอะไรโดดออกมาเลย มันว่างเปล่า ไม่ใช่ทั้งโกรธ เศร้า เหงา สุข มันไม่มีเลย มีแต่ความสงใสว่าแบบนี้ควรจะทำอะไร แค่เดินเล่นโง่ๆมันคงไม่ใช่หลอก เพราะเคยทำมาแล้วคนอื่นมันก็ถามกลับไม่เอาอะไรบ้างหรอมาเดินทั้งที คือมันไม่มีไงเพื่อน คนไปด้วยก็อึดอัดอะเพราะมันก็ไม่รู้ว่าเราจะไปไหนอยากได้อะไร เพราะคำตอบเรามีแต่แรกแล้วตอบไปแล้วว่า "ไม่มี" นอกจากเดินจนเมื่อยตีนอันนี้รู้สึกได้ เอาฟิลลิ่งหรอก็ไม่ใช่นะเพราะเราก็ไม่รู้สึก แต่กับคนที่เดินด้วยมันไม่ใช่ไงเหมือนเขารู้สึกปกติ มันก็น่ารำคาญในแบบของมัน แต่ไม่ได้แสดงออกมาเป็นอาการอะไรชัดเจนเพราะ เพราะจะมีอีกความคิดหนึ่งเอาไว้เตือนเสมอเวลาเจออะไรพวกนี้คือ ก็แค่เดินตามเงียบๆ ทำอะไรตามปกติ เสนอนั่นนี่ไปก่อนขำๆ เพื่อไม่ให้ไอ้สิ่งที่คิดไว้เต็มหัวมันแสดงออกมาเป็นการกระทำ มันคงตลกน่าดูอะถ้าเราทำทุกสิ่งที่เราคิดได้ ณ เวลานั้น มันเหมือนคนบ้า ขนาดตัวเองยังรู้ดีเลยว่า อืมจริง ไม่เถียง
แล้วมันทำให้ เราก็ไม่ได้อยากไปไหนขนาดนั้นเลย ไม่มีสถานที่อะไรที่จะกระตุกความรู้สึกเราได้ขนาดนั้น ต่อให้เป็นธรรมชาติ น้ำตกแบบ เอื้อม อากาศเย็นนนน เย็น กลิ่นทะเล เหยียบทราย แล้วยังไงต่อ หันมองซ้ายขวาหาสักคนแล้วดูแล้วว่ามันเป็นยังไง มีคนสอนมาว่าอยากรู้ว่าคนอื่นเป็นไงก็ไปดูสะให้เห็นด้วยตา ก็เห็นคนแบบฮึ้ย ถ่ายรูปเล่นน้ำ สนุก ๆ ก็มองแล้วก็ อืมใช่มันคือความสนุกไงแต่เราเฉยๆ แล้วเราก็ไม่ใช่คนชอบถ่ายรูปสะด้วยสิ แถมถ่ายไม่เป็นอีกต่างหาก เฮ้อมมมม ดีแค่ไหนไม่เดินกลับไปหาเพื่อนแล้วตบเพี๊ยะ นี่ไงมาแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว้อย จุดนี้ก็อยู่ยากดีนะ แต่ดีว่ามีความคิดนิสัยดีก็เลยไม่ทำอะไรแค่เงียบๆแล้วเดินออกมา
ยิ่งโสด จะมีเวลาว่างเยอะครับ ไม่มีอะไรต้องกังวลมีอีกคนให้คิดถึงเสมอ จะมีเวลาทำความเข้าใจตัวเองเรื่อยๆ ซึ่งจุดนี้ได้เล่าไปแล้ว แต่ลองให้เราไปทำความเข้าใจคนอื่นเพื่อหาคนคบหาสิ หนังคนละม้วน เพราะไม่มีความรู้สึกด้านอื่น มีแค่รู้สึกว่าอยากลองเปิดใจเริ่มก่อน ลองก่อนถอดสมอง ไม่ใช่ความรู้สึกตกหลุมรักชอบหลงรักและรู้ว่ามันเป็นไงแต่มันก็นานมากแล้ว แต่มันบางและเกือบจะจางหายจากตัวไปแบบไม่รู้ตัวแล้ว ดังนั้นการเข้าหาใครไม่ใช่เพราะว่ารักหรือชอบ มองแล้วคิดเลยด้วยเหตุผลว่า คนนี้น่าจะได้ แต่ปัญหาคือเมื่อต้องเอาใจใส่ แล้วการเอาใจใส่มันต้องใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจ เช่น ถ้าเป็นเขา เขาจะรู้สึกอยากได้อะไร เอ้า!! ก็เราไม่รู้สึกนี่เว้ยเฮ้ย ดังนั้นทางออกที่ง่ายที่สุดคือ ใช้โลกส่วนตัวและระบบสมองคิดทันที เป็นเราตัดความรู้สึกออกไป สิ่งที่เราควรจะได้หรือจะเจอในเดทแรกนั่นนู่นนี่ นั่น เขาต้องชอบแบบนี้ ไถสตอรี่ส่องนั่นนี่สต็อกเกอร์หน่อยๆแล้วหละจังหวะนี้ ชอบใส่ชุดแบบนี้สีนี้ แต่งหน้าโทนนี้ สถานที่ชอบไป แต่ละอย่างมันจะมี ลักษณะเฉพาะของเขาว่า น่าจะต้องที่นี้ แบบนี้หละโง่ๆสไตล์เรา ก็เลยแบบ ปะร้านอาหารสไตล์เกาหลี ราคาดีๆ สักร้านก่อนเลิศ แล้วค่อยด้นสดทดลองสังเกตุดูว่าเดินต็อกแต๊กผ่านบูธอาหาร นั่นนู่นนี่ หรือ ร้านค้าเสื้อผ้า แล้วเราค่อยเก็บข้อมูลหน้างานอีกทีว่า เวลาเขาไปแล้วมันหยุด สะดุด หรือมอง เราจะอ้อทันที แล้วเราก็จะรู้ทันทีว่า แบบไหนเหมาะสีไหนเหมาะ ความรู้สึกอยู่ไหนไม่มีมันสมองล้วนๆ แต่เหนื่อยไหมเหนื่อยแต่ไม่มากขนาดนั้น
ไม่ใช่ว่าเราไม่ใช่คนไม่เอาใจใส่ แต่การใส่ใจของเรามัน มีเหตุผลมากก่อนเป็นพื้นฐาน แล้วการตัดสินใจอะไรต่อให้เราไม่รู้สึกว่าทำไมต้องทำ แต่เราจะใช้เหตุผลและตอบในฐานะคนคบหาที่ดีควรจะทำอะไร แล้วเราก็แค่ต้องทำมันบ้าง ไม่ใช่ไม่ทำมันเลย ไม่งั้นมันก็แค่คนสิเสียคนนึงเองแค่นั้น อยากได้คนดีๆก็ควรทำตัวดีๆ เหมือนกัน อยากได้แบบไหนก็ทำตัวเองให้ดีเท่าแบบที่เราอยากได้
แต่เวลาเดทหรือเจอใครที่ทำตัวขัดแย้งกับเหตุผลของเรา แล้วเอาความรู้สึกล้วนมาเป็นน้ำหนัก มันไม่อินก็เพราะว่าเราไม่รู้สึกแบบเดียวกับเขา เพราะการกระทำสำคัญกว่า แล้วมันขัดแย้งกับเหตุผลที่เขาอยากได้ เมื่อเราเดท พูดกับเราว่าอยากเจอคนดูแลเราได้ ดูแลดีที่ว่ามันแบบไหน ก็แบบพาไปนั่นนี่ได้กินนั่นนี่ได้ไรงี้ ฟังแล้วอ้อ ให้พาไปไหนแล้วเปย์ได้นั่นแหละ ไม่ได้ซับซ้อน ง่ายๆความปราถนาทั่วไป แล้วทีนี้เมื่อมีความคิดว่าถ้าเขาอยากได้แบบนั้นจากเราแล้วถ้าเป็นเราอยากได้แบบนั้นจากเขาหละ ถ้าเราแฟร์ๆคิดแบบนี้ไม่ผิดเลยนี่นา เขาซื้อให้เราไม่ไหวแล้วเพราะฐานะรายได้เขาไม่พอ สมมุติว่าเขาอยากได้เสื้อผ้า 2-3 พัน แล้วถ้าเป็นเราขอบ้าง ขอของเล่น 2-3 พัน ยังต้องคิดแทนให้ก่อนเลยว่าเขาสามารถทำให้เราได้ไหมโดยไม่ลำบากตัวเขา ซึ่งมองด้วยตัวเลขก็รู้เลยว่า ถ้าเงินเดือน 18K สมมุตินะ ให้เขาซื้อ 3 พัน ฮู้ยยยยย สะเทือนครับแล้วถ้าเขาขอทุกเดือน แค่เดือนเว้นเดือนหละ หนักเลยจริงไหม แล้วต้องทำไง ต้องใจดีหรอแบบว่าให้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร โลกสวย ความคิดไม่ได้สวยแบบนั้น ที่จะให้กันได้โดยไม่คิดถ้าไม่รักกันจริง ถ้าเอ่ยปากอยากได้เมื่อไหร่แปลว่า เราสามารถขุดความรู้สึกที่มันบางๆออกมาได้ว่าเราอยากได้มันจริงๆ เพราะเราแทบไม่มีความรู้สึกอะไรเลยในชีวิต มันเลยสำคัญมาก แล้วการที่เขาทำไม่ได้มันจะแตกต่างอะไรกับการที่เราก็ทำให้เขาไม่ได้ ต่อให้มองข้ามความรู้สึกไปเลย ในฐานะแฟนที่ดี เขาก็บกพร่อง เพราะเราตอบด้วยความรู้สึกแบบเขาไม่ได้อยู่แล้ว
ดังนั้น จะไม่อินอย่างมากถ้าเขาปราถนาอยากได้อะไร แต่ก็เขาทำสิ่งนั้นให้ตัวเราไม่ได้เหมือนกัน มันไม่แฟร์เลย ถ้าความรักนิยามคือการให้ซึ่งกันและกัน แล้วการที่เขาให้ไม่ได้ มันถูกต้องยังไง ได้ความรักความห่วงใยแต่คนรักกันมันต้องมอบให้กันเสมอไม่ใช่หรอถึงจะไม่ได้สิ่งของ ให้ตอบด้วยความรู้สึกสวยหรูยังจะรู้สึกเฟลหน่อยๆเลยไม่รึถ้าไม่ได้ แค่ตอบด้วยเหตุผลล้วนๆก็มองว่ามันไม่น่าจะโอเครแล้ว แปลว่าเขาอาจจะไม่เหมาะแล้ว ไม่ใช่ว่านิสัยเขาไม่ดี เขาไม่ผิดอะไรเลย แต่เป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่นิสัย ที่ใช้เหตุผลเราก็ตอบได้แล้ว แต่บางทีเราก็ต้องตอบด้วยความคิดแบบเหมือนจะเห็นใจว่า อาจจะผิดที่เราเองก็ได้ ถ้าคิดให้รอบด้านแล้วเราไม่ดียังไงก็พยายามหาเหตุผลตอบของเราเอง
ไม่ใช่ว่าไม่มีหัวใจ แต่รู้จักว่าจะใช้มันยังไงเพื่อไม่ให้มันโดนทำร้าย โดนเอาเปรียบ โดนย่ำยี แล้วเอามาแสวงหาผลประโยชน์ เราผ่านมาแล้วรู้จักมันดีว่ามันเป็นยังไงการเป็นผู้ถูกกระทำ "ไม่โง่น๊า" ฉลาดพอที่จะแยกแยกสิ่งต่างๆออกด้วยเหตุผล แต่ถ้าตอบด้วยความรู้สึกคงตอบไม่ได้ ในโลกด้านนอกจากที่เราได้เจอหลายๆอย่างอัดเข้ามา แล้วส่วนมากก็มีแต่อารมณ์ล้วนๆแหละ เหตุผลฟังขึ้นยากมาก คนที่จะดูมีเหตุผลไม่กี่คนจะเข้าใจว่า มันก็แค่ความคิดแบบหนึ่งที่มันก็ไม่ได้แย่ถ้าจะคิดแบบนั้น แต่ก็คิดแบบนี้ได้เหมือนกัน คนแบบนี้รู้สึกว่าน่าคบหาด้วยกว่ามากเลย แต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่ใช่คนที่ตามหาจริงๆ เพราะเขาขาดพื้นฐานข้ออื่นไปเยอะเลย
ซึ่งข้อดีจริงๆ มองว่ามันทำให้เรา ปรับตัวทัน พร้อมรับมือกับคนหลายแบบ โดยที่ไม่สะเทือนจิตใจเรา คิดได้หลากหลายแบบ เข้าใจอะไรง่ายๆถ้ามันมีหลักการและเหตุผลรองรับ มันเหมาะกับชีวิตบางแบบ งานบางแบบ เหมาะกับการตัดสินใจสิ่งสำคัญบางอย่าง อยู่กับแรงกดดันได้ง่ายๆ อนาคตจึงสร้างไม่ยากเลยถ้ารู้หลักการเพราะเราเก่งเรื่องหาความรู้มาประกอบความคิด แล้วได้แผนชีวิตออกมาแต่ละแบบ
ข้อเสียเราจะเริ่มรู้สึกว่าเราแปลกแยก แตกต่างเรื่อยๆ เริ่มเมินผู้คน พูดน้อยลง รู้ดีว่าคนส่วนมากไม่ใช่แบบเรา คิดแบบเราทำแบบเรา จะมีแต่เพียงเราแล้วเราเท่านั้นที่รู้ตัวดีแล้วได้แต่ปรับตัวให้เหมาะสมกับคนอื่น แล้วเราจะเบื่อขึ้นมากๆเมื่อเราเห็นคนคิดแค่นั้น ทำแค่นั้น แล้วมีปัญหาซึ่ง ไม่ได้ซีเรียสอะไรเพราะไม่ได้รู้สึกอินร่วมอยู่แล้ว แค่เบื่อ ก็คิดแบบนั้นทำแบบนั้นไงก็ได้แบบนั้น ฟังแล้วดูแรง แต่สำหรับเรามันเฉยๆมาก เพราะต่อให้คิดผิด ก็ยอมรับแล้วก็แก้ไขโดยไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ ก็เป็นไปได้ว่าเราคิดผิดจริงก็แค่ลองคิดใหม่
ปล.เป็นแค่ส่วนหนึ่งครับ ยังไม่ได้เล่าถึงทำยังไงถึงจัดการความคิดได้นะมันยาวกว่านี้มาก แล้วเพื่อนๆคิดว่าไงกันบ้างครับ 555 อ่านมาถึงจุดนี้หลุดความเป็นปกติไปไกลเกินกลับแล้วครับ
คนปกติไม่น่าคิดแบบผม มีใครคิดว่าเป็นอะไรคล้ายๆ กันบ้าง
คือเป็นคนที่คิดตลอดเวลาอยู่ในโลกในหัวตลอดเวลาครับ ต่อให้ตัวจะอยู่สถานที่ไหน จะมีโลกส่วนตัวที่ทุกคนเข้าใจกันเสมอ ไม่ใช่การเก็บตัวแบบที่ทุกคนคิดเช่นว่า โลกส่วนตัวสูงต้องอยู่ห้องไม่เห็นตัว ไม่ใช่ๆต่อให้ที่ไหนจะมีคนเป็นร้อยก็จะมีโลกใบนี้ติดตัวเสมอ เป็นเหมือนห้องประชุมในหัวครับแล้วจะมีหลายนิสัยหลายแบบทำงานร่วมกันแยกกันแบบชัดเจนเกินไปหน่อย เวลาเดียวที่จะไม่คุมจริงๆคือ เมาวาร์ป คุมไหวกันด้วยหรอ นอกนั้นจะวิ่งเข้าวิ่งออกแบบรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อคำถามหรือสิ่งรอบๆ ผู้คนแบบทันที ไม่ได้แบบนิ่งเงียบไม่รู้ ๆ ๆ ๆ ๆ
ปัญหาคือพอมันชิน เรียกว่า ส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว แล้วการไม่ต้องคิดสิ มันเป็นไปไม่ได้ ได้แต่เพียงแค่ทำความเข้าใจแล้วปรับปรุงให้มันถูกต้อง มันเลยมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือหัวไว มีหลักการ มีเหตุผล ค่อนข้างจะคิดแล้วมีแผนจัดการอะไรได้รวดเร็ว เรื่องซับซ้อนยุ่งยากจะไม่ยากถ้ามันอธิบายชัดเจน ข้อเสียคือ ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของคนปกติเท่าไหร่ เป็นคำถามในหัวตลอดว่า "ต้องรู้สึกยังไง ถามตัวเองโง่ๆแบบนี้แหละ" ตอนที่เหตุการ์ณบางอย่างมันเกิดขึ้นทันที หลายๆคนจะมองว่าเป็น "คอมพิวเตอร์เวอร์ชั่นมนุษย์แหละ" อันนี้ไม่เถียง เป็นงั้นจริงๆ ไม่เข้าใจ คือ ไม่เข้าใจ ถ้าไม่ใช่หลักการและเหตุผลที่ลองนั่งฟังแล้ว อ้อ เอ้อใช่แหละ แต่ถ้าให้รู้สึกอินร่วม ถ้าบรรยากาศไม่ได้ก็จะไม่รู้สึก แต่ฟังจากประโยคจะรู้ว่า อันไหนซีเรียส หรือ ไม่ซีเรียส ไม่แน่ใจจะถามโง่ๆเหมือนเดิมว่า อันนี้ซีเรียสปะ ก็ใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด
ตอนแรกเข้าใจว่ามันคือ "ปัญหา" มันทำให้เราไม่ค่อยเข้าใจบางอย่างซึ่งกลัวว่ามันกระทบการงานที่สุด เพราะถ้าเราไม่มีงานดีๆทำ มีเงินดีๆ เราก็จะตกต่ำเครียดยิ่งกว่านี้ จึงเริ่มทำความเข้าใจตัวเองด้วยการไม่ทำอะไรแล้วคิดแล้วจับทุกสิ่งอย่างมาจัดการมันสะเกือบทุกวันและทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่เสมอ ถึงไม่มีอะไรให้จัดก็จะจัด เพื่อให้ควบคุมมันได้แบบเยอะที่สุด จนกระทั่งเมื่อจับต้องมันได้กลายเป็นว่า เป็นคนมีเหตุผลสูงปี๊ด แต่ความรู้สึกมันบางมาก บางเกินปุยมุ้ย แต่ก็แสดงออกไม่ได้ เพราะคนรอบตัวส่วนใหญ่จะเป็นคนปกติแหละที่ กินข้าวกินอะไรแล้วว้าวอร่อย เห็นวิวทะเลสวยๆแล้วว้าว อันนี้สวยอะแบบสวยดูสีสิมันแบบช่ำมากนั่นนี่ คือ อืมมมม เอาเลย ให้นั่งดูคลิปแมวกระโดดวืดล่วงโซฟาอาจจะยังขำสะมากกว่าอีก อารมณ์ขันมันรู้สึกได้ง่ายกว่าจริงๆ นอกนั้นแทบจะไม่รู้สึกแบบที่เขารู้สึก มันคืออะไรถามไปก็ใช่ว่าจะรู้สึกแบบเดียวกับเขา นอกนั้นคืออารมณ์โกรธและโมโหมันก็เป็นอีกสิ่งที่ทำได้ง่าย แต่ก็อันตรายเช่นกัน เพราะมันมีหลายเรื่องที่ทำให้เราหงุดหงิดได้ง่ายๆ ดังนั้นก็จะเป็นคนอารมณ์ร้อนง่ายหายไว ถ้าไม่รู้จักตัวเองดีพอ ไม่งั้นจะควบคุมอะไรพวกนี้ไม่ได้เลยเทียบกับสมัยก่อนที่ไม่เข้าใจตัวเองว่าเป็นอะไร มันเหวี่ยงมันมั่วไปหมด แต่สุดท้ายทำได้จริง เอ้าไม่มีปัญหากับการงาน
แต่ไปมีปัญหาเวลาออกไปไหน มันไม่ปกติเมื่อมีโลกใบนี้ที่สร้างมาเองไปด้วย จะคุยกับใคร ไปเดท หรือ กับเพื่อน ยากมาก เพราะเราไม่รู้จะคุยอะไรไม่พอ แล้วไม่รู้ด้วยว่าบรรยากาศมันน่าคุยขนาดไหน แต่ก็อยากคุยมีหลายเรื่องชอบเล่า เล่าได้ถ้ายังฟัง แต่ไม่แน่ใจว่าจะอยากฟังเรื่องเดียวกับเราไหม เพราะเราจะไม่พูดถ้าเขาไม่ได้เปิดหัวข้อที่สนใจ หรือ ไม่มีอะไรจะคอมเม้น แล้วมันจะรู้สึกว่าเวลาไปไหนกับใครเหมือนเราต้องคิดพยายามทำอะไรสักอย่าง แม้แต่ตอนที่ออกมาเดินตามห้างเราก็คิดแล้วว่า มาทำไรวะ ต้องได้อะไรไหมนะ กินไรดี ยังไงดี คือความรู้สึกตอนนั้นมันไม่มีอะไรโดดออกมาเลย มันว่างเปล่า ไม่ใช่ทั้งโกรธ เศร้า เหงา สุข มันไม่มีเลย มีแต่ความสงใสว่าแบบนี้ควรจะทำอะไร แค่เดินเล่นโง่ๆมันคงไม่ใช่หลอก เพราะเคยทำมาแล้วคนอื่นมันก็ถามกลับไม่เอาอะไรบ้างหรอมาเดินทั้งที คือมันไม่มีไงเพื่อน คนไปด้วยก็อึดอัดอะเพราะมันก็ไม่รู้ว่าเราจะไปไหนอยากได้อะไร เพราะคำตอบเรามีแต่แรกแล้วตอบไปแล้วว่า "ไม่มี" นอกจากเดินจนเมื่อยตีนอันนี้รู้สึกได้ เอาฟิลลิ่งหรอก็ไม่ใช่นะเพราะเราก็ไม่รู้สึก แต่กับคนที่เดินด้วยมันไม่ใช่ไงเหมือนเขารู้สึกปกติ มันก็น่ารำคาญในแบบของมัน แต่ไม่ได้แสดงออกมาเป็นอาการอะไรชัดเจนเพราะ เพราะจะมีอีกความคิดหนึ่งเอาไว้เตือนเสมอเวลาเจออะไรพวกนี้คือ ก็แค่เดินตามเงียบๆ ทำอะไรตามปกติ เสนอนั่นนี่ไปก่อนขำๆ เพื่อไม่ให้ไอ้สิ่งที่คิดไว้เต็มหัวมันแสดงออกมาเป็นการกระทำ มันคงตลกน่าดูอะถ้าเราทำทุกสิ่งที่เราคิดได้ ณ เวลานั้น มันเหมือนคนบ้า ขนาดตัวเองยังรู้ดีเลยว่า อืมจริง ไม่เถียง
แล้วมันทำให้ เราก็ไม่ได้อยากไปไหนขนาดนั้นเลย ไม่มีสถานที่อะไรที่จะกระตุกความรู้สึกเราได้ขนาดนั้น ต่อให้เป็นธรรมชาติ น้ำตกแบบ เอื้อม อากาศเย็นนนน เย็น กลิ่นทะเล เหยียบทราย แล้วยังไงต่อ หันมองซ้ายขวาหาสักคนแล้วดูแล้วว่ามันเป็นยังไง มีคนสอนมาว่าอยากรู้ว่าคนอื่นเป็นไงก็ไปดูสะให้เห็นด้วยตา ก็เห็นคนแบบฮึ้ย ถ่ายรูปเล่นน้ำ สนุก ๆ ก็มองแล้วก็ อืมใช่มันคือความสนุกไงแต่เราเฉยๆ แล้วเราก็ไม่ใช่คนชอบถ่ายรูปสะด้วยสิ แถมถ่ายไม่เป็นอีกต่างหาก เฮ้อมมมม ดีแค่ไหนไม่เดินกลับไปหาเพื่อนแล้วตบเพี๊ยะ นี่ไงมาแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว้อย จุดนี้ก็อยู่ยากดีนะ แต่ดีว่ามีความคิดนิสัยดีก็เลยไม่ทำอะไรแค่เงียบๆแล้วเดินออกมา
ยิ่งโสด จะมีเวลาว่างเยอะครับ ไม่มีอะไรต้องกังวลมีอีกคนให้คิดถึงเสมอ จะมีเวลาทำความเข้าใจตัวเองเรื่อยๆ ซึ่งจุดนี้ได้เล่าไปแล้ว แต่ลองให้เราไปทำความเข้าใจคนอื่นเพื่อหาคนคบหาสิ หนังคนละม้วน เพราะไม่มีความรู้สึกด้านอื่น มีแค่รู้สึกว่าอยากลองเปิดใจเริ่มก่อน ลองก่อนถอดสมอง ไม่ใช่ความรู้สึกตกหลุมรักชอบหลงรักและรู้ว่ามันเป็นไงแต่มันก็นานมากแล้ว แต่มันบางและเกือบจะจางหายจากตัวไปแบบไม่รู้ตัวแล้ว ดังนั้นการเข้าหาใครไม่ใช่เพราะว่ารักหรือชอบ มองแล้วคิดเลยด้วยเหตุผลว่า คนนี้น่าจะได้ แต่ปัญหาคือเมื่อต้องเอาใจใส่ แล้วการเอาใจใส่มันต้องใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจ เช่น ถ้าเป็นเขา เขาจะรู้สึกอยากได้อะไร เอ้า!! ก็เราไม่รู้สึกนี่เว้ยเฮ้ย ดังนั้นทางออกที่ง่ายที่สุดคือ ใช้โลกส่วนตัวและระบบสมองคิดทันที เป็นเราตัดความรู้สึกออกไป สิ่งที่เราควรจะได้หรือจะเจอในเดทแรกนั่นนู่นนี่ นั่น เขาต้องชอบแบบนี้ ไถสตอรี่ส่องนั่นนี่สต็อกเกอร์หน่อยๆแล้วหละจังหวะนี้ ชอบใส่ชุดแบบนี้สีนี้ แต่งหน้าโทนนี้ สถานที่ชอบไป แต่ละอย่างมันจะมี ลักษณะเฉพาะของเขาว่า น่าจะต้องที่นี้ แบบนี้หละโง่ๆสไตล์เรา ก็เลยแบบ ปะร้านอาหารสไตล์เกาหลี ราคาดีๆ สักร้านก่อนเลิศ แล้วค่อยด้นสดทดลองสังเกตุดูว่าเดินต็อกแต๊กผ่านบูธอาหาร นั่นนู่นนี่ หรือ ร้านค้าเสื้อผ้า แล้วเราค่อยเก็บข้อมูลหน้างานอีกทีว่า เวลาเขาไปแล้วมันหยุด สะดุด หรือมอง เราจะอ้อทันที แล้วเราก็จะรู้ทันทีว่า แบบไหนเหมาะสีไหนเหมาะ ความรู้สึกอยู่ไหนไม่มีมันสมองล้วนๆ แต่เหนื่อยไหมเหนื่อยแต่ไม่มากขนาดนั้น
ไม่ใช่ว่าเราไม่ใช่คนไม่เอาใจใส่ แต่การใส่ใจของเรามัน มีเหตุผลมากก่อนเป็นพื้นฐาน แล้วการตัดสินใจอะไรต่อให้เราไม่รู้สึกว่าทำไมต้องทำ แต่เราจะใช้เหตุผลและตอบในฐานะคนคบหาที่ดีควรจะทำอะไร แล้วเราก็แค่ต้องทำมันบ้าง ไม่ใช่ไม่ทำมันเลย ไม่งั้นมันก็แค่คนสิเสียคนนึงเองแค่นั้น อยากได้คนดีๆก็ควรทำตัวดีๆ เหมือนกัน อยากได้แบบไหนก็ทำตัวเองให้ดีเท่าแบบที่เราอยากได้
แต่เวลาเดทหรือเจอใครที่ทำตัวขัดแย้งกับเหตุผลของเรา แล้วเอาความรู้สึกล้วนมาเป็นน้ำหนัก มันไม่อินก็เพราะว่าเราไม่รู้สึกแบบเดียวกับเขา เพราะการกระทำสำคัญกว่า แล้วมันขัดแย้งกับเหตุผลที่เขาอยากได้ เมื่อเราเดท พูดกับเราว่าอยากเจอคนดูแลเราได้ ดูแลดีที่ว่ามันแบบไหน ก็แบบพาไปนั่นนี่ได้กินนั่นนี่ได้ไรงี้ ฟังแล้วอ้อ ให้พาไปไหนแล้วเปย์ได้นั่นแหละ ไม่ได้ซับซ้อน ง่ายๆความปราถนาทั่วไป แล้วทีนี้เมื่อมีความคิดว่าถ้าเขาอยากได้แบบนั้นจากเราแล้วถ้าเป็นเราอยากได้แบบนั้นจากเขาหละ ถ้าเราแฟร์ๆคิดแบบนี้ไม่ผิดเลยนี่นา เขาซื้อให้เราไม่ไหวแล้วเพราะฐานะรายได้เขาไม่พอ สมมุติว่าเขาอยากได้เสื้อผ้า 2-3 พัน แล้วถ้าเป็นเราขอบ้าง ขอของเล่น 2-3 พัน ยังต้องคิดแทนให้ก่อนเลยว่าเขาสามารถทำให้เราได้ไหมโดยไม่ลำบากตัวเขา ซึ่งมองด้วยตัวเลขก็รู้เลยว่า ถ้าเงินเดือน 18K สมมุตินะ ให้เขาซื้อ 3 พัน ฮู้ยยยยย สะเทือนครับแล้วถ้าเขาขอทุกเดือน แค่เดือนเว้นเดือนหละ หนักเลยจริงไหม แล้วต้องทำไง ต้องใจดีหรอแบบว่าให้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร โลกสวย ความคิดไม่ได้สวยแบบนั้น ที่จะให้กันได้โดยไม่คิดถ้าไม่รักกันจริง ถ้าเอ่ยปากอยากได้เมื่อไหร่แปลว่า เราสามารถขุดความรู้สึกที่มันบางๆออกมาได้ว่าเราอยากได้มันจริงๆ เพราะเราแทบไม่มีความรู้สึกอะไรเลยในชีวิต มันเลยสำคัญมาก แล้วการที่เขาทำไม่ได้มันจะแตกต่างอะไรกับการที่เราก็ทำให้เขาไม่ได้ ต่อให้มองข้ามความรู้สึกไปเลย ในฐานะแฟนที่ดี เขาก็บกพร่อง เพราะเราตอบด้วยความรู้สึกแบบเขาไม่ได้อยู่แล้ว
ดังนั้น จะไม่อินอย่างมากถ้าเขาปราถนาอยากได้อะไร แต่ก็เขาทำสิ่งนั้นให้ตัวเราไม่ได้เหมือนกัน มันไม่แฟร์เลย ถ้าความรักนิยามคือการให้ซึ่งกันและกัน แล้วการที่เขาให้ไม่ได้ มันถูกต้องยังไง ได้ความรักความห่วงใยแต่คนรักกันมันต้องมอบให้กันเสมอไม่ใช่หรอถึงจะไม่ได้สิ่งของ ให้ตอบด้วยความรู้สึกสวยหรูยังจะรู้สึกเฟลหน่อยๆเลยไม่รึถ้าไม่ได้ แค่ตอบด้วยเหตุผลล้วนๆก็มองว่ามันไม่น่าจะโอเครแล้ว แปลว่าเขาอาจจะไม่เหมาะแล้ว ไม่ใช่ว่านิสัยเขาไม่ดี เขาไม่ผิดอะไรเลย แต่เป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่นิสัย ที่ใช้เหตุผลเราก็ตอบได้แล้ว แต่บางทีเราก็ต้องตอบด้วยความคิดแบบเหมือนจะเห็นใจว่า อาจจะผิดที่เราเองก็ได้ ถ้าคิดให้รอบด้านแล้วเราไม่ดียังไงก็พยายามหาเหตุผลตอบของเราเอง
ไม่ใช่ว่าไม่มีหัวใจ แต่รู้จักว่าจะใช้มันยังไงเพื่อไม่ให้มันโดนทำร้าย โดนเอาเปรียบ โดนย่ำยี แล้วเอามาแสวงหาผลประโยชน์ เราผ่านมาแล้วรู้จักมันดีว่ามันเป็นยังไงการเป็นผู้ถูกกระทำ "ไม่โง่น๊า" ฉลาดพอที่จะแยกแยกสิ่งต่างๆออกด้วยเหตุผล แต่ถ้าตอบด้วยความรู้สึกคงตอบไม่ได้ ในโลกด้านนอกจากที่เราได้เจอหลายๆอย่างอัดเข้ามา แล้วส่วนมากก็มีแต่อารมณ์ล้วนๆแหละ เหตุผลฟังขึ้นยากมาก คนที่จะดูมีเหตุผลไม่กี่คนจะเข้าใจว่า มันก็แค่ความคิดแบบหนึ่งที่มันก็ไม่ได้แย่ถ้าจะคิดแบบนั้น แต่ก็คิดแบบนี้ได้เหมือนกัน คนแบบนี้รู้สึกว่าน่าคบหาด้วยกว่ามากเลย แต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่ใช่คนที่ตามหาจริงๆ เพราะเขาขาดพื้นฐานข้ออื่นไปเยอะเลย
ซึ่งข้อดีจริงๆ มองว่ามันทำให้เรา ปรับตัวทัน พร้อมรับมือกับคนหลายแบบ โดยที่ไม่สะเทือนจิตใจเรา คิดได้หลากหลายแบบ เข้าใจอะไรง่ายๆถ้ามันมีหลักการและเหตุผลรองรับ มันเหมาะกับชีวิตบางแบบ งานบางแบบ เหมาะกับการตัดสินใจสิ่งสำคัญบางอย่าง อยู่กับแรงกดดันได้ง่ายๆ อนาคตจึงสร้างไม่ยากเลยถ้ารู้หลักการเพราะเราเก่งเรื่องหาความรู้มาประกอบความคิด แล้วได้แผนชีวิตออกมาแต่ละแบบ
ข้อเสียเราจะเริ่มรู้สึกว่าเราแปลกแยก แตกต่างเรื่อยๆ เริ่มเมินผู้คน พูดน้อยลง รู้ดีว่าคนส่วนมากไม่ใช่แบบเรา คิดแบบเราทำแบบเรา จะมีแต่เพียงเราแล้วเราเท่านั้นที่รู้ตัวดีแล้วได้แต่ปรับตัวให้เหมาะสมกับคนอื่น แล้วเราจะเบื่อขึ้นมากๆเมื่อเราเห็นคนคิดแค่นั้น ทำแค่นั้น แล้วมีปัญหาซึ่ง ไม่ได้ซีเรียสอะไรเพราะไม่ได้รู้สึกอินร่วมอยู่แล้ว แค่เบื่อ ก็คิดแบบนั้นทำแบบนั้นไงก็ได้แบบนั้น ฟังแล้วดูแรง แต่สำหรับเรามันเฉยๆมาก เพราะต่อให้คิดผิด ก็ยอมรับแล้วก็แก้ไขโดยไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ ก็เป็นไปได้ว่าเราคิดผิดจริงก็แค่ลองคิดใหม่
ปล.เป็นแค่ส่วนหนึ่งครับ ยังไม่ได้เล่าถึงทำยังไงถึงจัดการความคิดได้นะมันยาวกว่านี้มาก แล้วเพื่อนๆคิดว่าไงกันบ้างครับ 555 อ่านมาถึงจุดนี้หลุดความเป็นปกติไปไกลเกินกลับแล้วครับ