
วันนี้นโยบายของก้าวไกลหล่นลงมาจากฝากฟ้า หล่นลงมาจากห้องแอร์ ไม่ว่าคุณจะเรียกชื่อมันว่าอะไร
.
วันนี้หนึ่งในนโยบายหาเสียงที่สำคัญที่สุดของพรรคก้าวไกลคือ เงินบำนาญของคนที่อายุเกิน 60 ปี ถ้วนหน้าเดือนละ 3,000 บาท หากนโยบายนี้สำเร็จ รัฐบาลจะมีรายจ่ายจากแปดหมื่นกว่าล้าน เป็นสามแสนล้านหกหมื่นล้านบาททันที
.
หากใช้นโยบายนี้ต่อไปอีก 10 ปี คนสูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะกลายเป็น 20 ล้านคน เราจะมีรายจ่ายประจำปีปีละ 6 แสนกว่าล้านบาท หรือเท่ากับประมาณ 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ประเทศไทยเตรียมรับความชิ่บหายได้เลยครับ
.
วันนี้ถ้าไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ ถ้าผมอยู่ในพรรค ผมจะทำอย่างไรได้ครับ นอกจากเวลาใครพูดถึงนโยบายนี้ก็เงียบๆ แล้วกระซิบกับเค้าว่า ผมไม่เห็นด้วยนะ
.
ที่ผ่านมาวัฒนธรรมของพรรคคือ ไม่เห็นด้วยอะไรก็คุยกันภายใน
.
เพราะถ้าผมพูด คนในพรรคก้าวไกลจำนวนมากที่ไม่สามารถแยกแยะได้ก็จะชี้หน้าคนที่คิดไม่เหมือนตนว่า ไม่มีอุดมการณ์ ไม่จงรักภักดีต่อพรรค
.
ผมคนหนึ่งที่คิดไม่เหมือนพรรคทั้งหมด จะมีทางไหนเป็นทางออกครับ
.
เมื่อระบบในพรรคเป็นแบบนี้ ผมซึ่งกำลังจะเสนอตัวลงเลือกตั้งในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกล จึงไม่สามารถจะเป็นเซลล์ขายนโยบายของพรรคได้จริงๆ เพราะเราเป็นนักการเมือง เรามีความเชื่อของเรา เราไม่ใช่นักขายที่ไม่ว่าของจะดีหรือไม่ดี ก็ต้องโกหกประชาชน
.
บางคนบอกผมว่า อดทนอีกเดียวเอง จะได้เป็นส.ส.แล้ว
.
ถ้าผมได้เป็นส.ส.แล้วผมต้องทรยศต่อตัวเอง ทรยศต่อประชาชน ผมไม่เป็นครับ
3. ผมไม่สามารถโกหกประชาชนได้
.
ครั้งนี้ผมจะลงเลือกตั้งรับสมัครเป็นส.ส.อีกครั้งหนึ่ง แต่ผมไม่สามารถลงเลือกตั้งกับพรรคก้าวไกลได้ เพราะถ้าผมชนะเลือกตั้ง มันก็เท่ากับผมโกหกประชาชน ผมพูดนโยบายที่ผมไม่เชื่อ ผมพูดถึงพรรคที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการจัดการ ผมจะพูดถึงพรรคได้เต็มปากได้อย่างไร
.
พรรคบอกว่า พรรคเป็นพรรคของประชาชน แต่ตอนนี้พรรคกำลังจะกลายเป็น “พรรคพวก” คนที่ได้ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จำนวนหนึ่งกำลังได้เป็นต่อในสมัยหน้า หาก “โปลิตบูโร” ถูกใจ ยังงั้นหรือ? หากพรรคจะเป็นพรรคของประชาชนจริงๆ พรรคต้องกล้าทำตามข้อเสนอ set zero ของอ.ปิยบุตร พรรคต้องกล้าเปิดให้สมาชิกโหวตผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อทางตรงอย่างโปร่งใส เพื่อพิสูจน์กับประชาชน ว่านี่คือพรรคการเมืองสมาชิก เป็นพรรคการเมืองของประชาชน ไม่ใช่พรรคการเมืองของโปลิตบูโร ไม่ใช่พรรคการเมืองของ “พรรคพวก”
.
ผมย้ำอีกครั้งว่า การที่ผมลาออกจากพรรคก้าวไกล ไม่ใช่เพราะผมโกรธ หรือ เกลียด หรือน้อยใจ แต่เป็นเพราะไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของพรรค ผมยังภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันประเด็นสังคมที่ผมเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประชาธิปไตย หรือ เรื่องการเปิดใบอนุญาตสุรา ให้มาถึงจุดจุดนี้
.
แต่การลาออกของผมจะมีคุณูปการใดๆต่อการบริหารงานของพรรค หากพรรคไม่ปรับการบริหาร แทนที่พรรคก้าวไกลจะใหญ่ขึ้น พรรคจะเล็กลงเรื่อย ๆ
https://www.facebook.com/photo/?fbid=224495333300220&set=a.194286572987763
พรรคก้าวไกล กลายเป็น “พรรคพวก” ไร้ประชาธิปไตย
วันนี้นโยบายของก้าวไกลหล่นลงมาจากฝากฟ้า หล่นลงมาจากห้องแอร์ ไม่ว่าคุณจะเรียกชื่อมันว่าอะไร
.
วันนี้หนึ่งในนโยบายหาเสียงที่สำคัญที่สุดของพรรคก้าวไกลคือ เงินบำนาญของคนที่อายุเกิน 60 ปี ถ้วนหน้าเดือนละ 3,000 บาท หากนโยบายนี้สำเร็จ รัฐบาลจะมีรายจ่ายจากแปดหมื่นกว่าล้าน เป็นสามแสนล้านหกหมื่นล้านบาททันที
.
หากใช้นโยบายนี้ต่อไปอีก 10 ปี คนสูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะกลายเป็น 20 ล้านคน เราจะมีรายจ่ายประจำปีปีละ 6 แสนกว่าล้านบาท หรือเท่ากับประมาณ 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ประเทศไทยเตรียมรับความชิ่บหายได้เลยครับ
.
วันนี้ถ้าไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ ถ้าผมอยู่ในพรรค ผมจะทำอย่างไรได้ครับ นอกจากเวลาใครพูดถึงนโยบายนี้ก็เงียบๆ แล้วกระซิบกับเค้าว่า ผมไม่เห็นด้วยนะ
.
ที่ผ่านมาวัฒนธรรมของพรรคคือ ไม่เห็นด้วยอะไรก็คุยกันภายใน
.
เพราะถ้าผมพูด คนในพรรคก้าวไกลจำนวนมากที่ไม่สามารถแยกแยะได้ก็จะชี้หน้าคนที่คิดไม่เหมือนตนว่า ไม่มีอุดมการณ์ ไม่จงรักภักดีต่อพรรค
.
ผมคนหนึ่งที่คิดไม่เหมือนพรรคทั้งหมด จะมีทางไหนเป็นทางออกครับ
.
เมื่อระบบในพรรคเป็นแบบนี้ ผมซึ่งกำลังจะเสนอตัวลงเลือกตั้งในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกล จึงไม่สามารถจะเป็นเซลล์ขายนโยบายของพรรคได้จริงๆ เพราะเราเป็นนักการเมือง เรามีความเชื่อของเรา เราไม่ใช่นักขายที่ไม่ว่าของจะดีหรือไม่ดี ก็ต้องโกหกประชาชน
.
บางคนบอกผมว่า อดทนอีกเดียวเอง จะได้เป็นส.ส.แล้ว
.
ถ้าผมได้เป็นส.ส.แล้วผมต้องทรยศต่อตัวเอง ทรยศต่อประชาชน ผมไม่เป็นครับ
3. ผมไม่สามารถโกหกประชาชนได้
.
ครั้งนี้ผมจะลงเลือกตั้งรับสมัครเป็นส.ส.อีกครั้งหนึ่ง แต่ผมไม่สามารถลงเลือกตั้งกับพรรคก้าวไกลได้ เพราะถ้าผมชนะเลือกตั้ง มันก็เท่ากับผมโกหกประชาชน ผมพูดนโยบายที่ผมไม่เชื่อ ผมพูดถึงพรรคที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการจัดการ ผมจะพูดถึงพรรคได้เต็มปากได้อย่างไร
.
พรรคบอกว่า พรรคเป็นพรรคของประชาชน แต่ตอนนี้พรรคกำลังจะกลายเป็น “พรรคพวก” คนที่ได้ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จำนวนหนึ่งกำลังได้เป็นต่อในสมัยหน้า หาก “โปลิตบูโร” ถูกใจ ยังงั้นหรือ? หากพรรคจะเป็นพรรคของประชาชนจริงๆ พรรคต้องกล้าทำตามข้อเสนอ set zero ของอ.ปิยบุตร พรรคต้องกล้าเปิดให้สมาชิกโหวตผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อทางตรงอย่างโปร่งใส เพื่อพิสูจน์กับประชาชน ว่านี่คือพรรคการเมืองสมาชิก เป็นพรรคการเมืองของประชาชน ไม่ใช่พรรคการเมืองของโปลิตบูโร ไม่ใช่พรรคการเมืองของ “พรรคพวก”
.
ผมย้ำอีกครั้งว่า การที่ผมลาออกจากพรรคก้าวไกล ไม่ใช่เพราะผมโกรธ หรือ เกลียด หรือน้อยใจ แต่เป็นเพราะไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของพรรค ผมยังภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันประเด็นสังคมที่ผมเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประชาธิปไตย หรือ เรื่องการเปิดใบอนุญาตสุรา ให้มาถึงจุดจุดนี้
.
แต่การลาออกของผมจะมีคุณูปการใดๆต่อการบริหารงานของพรรค หากพรรคไม่ปรับการบริหาร แทนที่พรรคก้าวไกลจะใหญ่ขึ้น พรรคจะเล็กลงเรื่อย ๆ
https://www.facebook.com/photo/?fbid=224495333300220&set=a.194286572987763