ข่าวคราวในช่วงนี้ล้วนแล้วแต่เกี่ยวกับเด็กหรือเยาวชนที่ทำร้ายคนอื่น ทำร้ายพ่อแม่ หรือทำร้ายตัวเอง โดยที่พ่อแม่หรือครู ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับลูกหลานหรือลูกศิษย์ของพวกเขา บ้างก็ให้ข้อสรุปว่าเกิดจากสังคมที่เปลี่ยนไป ผู้คนที่โหดร้ายขึ้น หรือสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ที่ทำให้เส้นทางการเติบโตของเด็กเด็กไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เราเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อแม่ เพราะเคยประสบกับปัญหาที่พ่อแม่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่เช่นกัน
ตั้งแต่ลุกเกิดจนอายุได้ 10 ขวบ เรามีแต่ความทุกข์ทรมาน ลูกเรามีปัญหาสุขภาพแต่กำเนิด และมีปัญหาในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ในขณะที่เรามีชีวิตและสุขภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง ทำกิจกรรม เล่นกีฬาหลากหลาย มีพ่อแม่ที่เลี้ยงเรามาอย่างดี มีการศึกษาที่ดี มีหน้าที่การงานมั่นคง
แต่ตอนนั้น เราเครียด เป็นทุกข์ในขณะที่ลูกอยู่ในโรงพยาบาลนานนับเดือน เสียงในใจเราคือ ทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นกับเรา? “เราสงสารตัวเอง” เราไปเยี่ยมลูกที่โรงพยาบาล อุ้มลูกไว้กับอก ร้องไห้ไปเรื่อย ๆ บางคนที่รู้เรื่องของลูกเรา ก็บอกเราว่า มันเป็นเวรกรรม ให้ไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ สวดมนต์วันละครึ่งชั่วโมง ใส่บาตรทุกวัน ซึ่งเราก็พยายามทำเพราะเรากลัวลูกตาย แต่เราเหนื่อยมาก เพราะต้องปั๊มนมทุก 3 ชั่วโมง และหิ้วเอาไปให้พยาบาลที่โรงพยาบาลเป็นเดือน ๆ จนกระทั่งลูกผ่าตัดสำเร็จ ออกจากโรงพยาบาลได้ โดยยังมีปัญหาร่างกายที่เราต้องดูแล อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องสามีด้วย เพราะเค้าไม่มาเยี่ยมหรือดูแลเราและลูกที่อยู่ในโรงพยาบาลเลย ตลอดช่วงเวลาที่ลูกอยู่โรงพยาบาล เค้ามาเยี่ยมสองครั้ง และได้หายไปจากชีวิตของเราสองแม่ลูก ซึ่งเราไม่มีแรงกายแรงใจที่จะเรียกร้องให้เค้ากลับมารับผิดชอบใด ๆ คิดแต่ว่า จะดูแลลูกให้ดีที่สุด
เมื่อลูกโตขึ้น เข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาลได้สักพัก ครูใหญ่บอกเราว่า ลูกมีปัญหาและให้พาไปพบจิตแพทย์ เพื่อจะได้มียามากิน... แพทย์แจ้งว่า ลูกเราปกติดี
ครูใหญ่ยังคงบ่นว่าลูกเรามีพฤติกรรมไม่ดี งอแง ทำให้ครูสอนยาก ... ซึ่งในตอนนั้น เราไม่เคยถามครูเลย ว่าทำไมลูกถึงงอแง และไม่ถามลูกด้วย ... เพราะว่าเราจมอยู่กับความทุกข์ของตัวเองไง
เราไม่เคยสนใจว่า เกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียน ลูกรู้สึกยังไง แต่เรากลับคิดตลอดว่า “ลูกเราก่อปัญหาตลอด” “ทำไมถึงทำตัวดี ๆ ไม่ได้”
ลูกเราก็เรียนต่อจนจบเตรียมอนุบาล แล้วเราก็หาโรงเรียนอนุบาลใหม่ให้ ตอนไปคุยกับครูใหญ่ครั้งแรก รู้สึกดีมาก เพราะครูมีบุคคลิก การพูดที่อบอุ่น ปลอบโยน เข้าใจ พร้อมช่วยเหลือ มีความเป็นครูฉายออกมาและสื่อได้ว่าเป็นครูจากใจจริง ๆ ... เราเลยย้ายลูกมาเรียนที่นี่
ช่วงเวลาที่ลูกเรียนอนุบาล 1 - 3 ครูใหญ่ไม่เคยเรียกพบผู้ปกครองเลย มีบ้างที่ครูประจำชั้นแจ้งว่าลูกมีปัญหากับเพื่อน แต่ครูก็จัดการแก้ไขได้
ช่วงใกล้จะถึงวันพ่อ ทางโรงเรียนเตรียมจัดการแสดง ลูกเราซ้อมเต้น เราก็แอบไปดูลูกซ้อมโดยหวังว่า จะได้เห็นลูกแสดงบนเวที
อย่างที่เราพูดตอนต้น เราเป็นคนทำกิจกรรมตั้งแต่เด็ก ทำเยอะ ทำได้ดี โดดเด่น ออกทีวี เรามีความสุขกับชีวิตแบบนั้น และเชื่อว่า สิ่งนั้น ทำให้เรามีความสุข เด่น ภูมิใจ และมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ
เมื่อถึงงานวันพ่อ ลูกเราเป็นเด็กคนเดียวในโรงเรียน ที่ไม่ยอมขึ้นเต้นบนเวที... เราโกรธและผิดหวังมาก เราพาลูกกลับบ้านก่อนที่งานจะเลิก
ปีสุดท้ายของการเรียน ครูใหญ่บอกให้เรากับลูก ขึ้นวางพานพุ่มและถวายความเคารพต่อพระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสวันแม่ เราก็ถามครูว่า จะดีหรือคะ? ครูบอกว่า เค้าทำได้นะคะ ลูกคุณแม่เก่งนะคะ พอถึงวันจริง ลูกเราทำได้อย่างเรียบร้อย เราก็งงไปอีกครั้ง
พอลูกใกล้จะเรียนจบ ทางโรงเรียนก็จัดให้ถ่ายรูปชุดครุย และครูโทรมาบอกเราว่า ลูกเราไม่ยอมถ่ายรูปและร้องไห้หนักมาก เราก็เลยไปที่โรงเรียน ซึ่งพอเราบอกลูกว่า ให้ถ่ายรูปนะ เค้าก็ยอมถ่ายด้วยดี (สองเรื่องนี้ ก็มีคำอธิบายภายหลังนะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น)
พอจบอนุบาล เราก็เลือกโรงเรียนเอกชนที่เน้นวิชาการ และคิดว่าลูกจะเรียนที่โรงเรียนนี้ได้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ เราจ่ายค่าเทอม ซื้อชุด อุปกรณ์การเรียน และส่งลูกไปโรงเรียน ... ผ่านไปได้ 3 วัน ครูประจำชั้นเชิญผู้ปกครอง!!!!!
ครูบอกว่า ลูกเราไม่เรียน งอแง ทำให้ครูสอนเด็กคนอื่นลำบาก... ซึ่งเราก็ไม่ได้ถามครูและลูกเลย ว่าเกิดอะไรขึ้น เราได้แต่ก้มหน้า ขอโทษครู และพาลูกกลับบ้าน แล้วก็พูดจากประชดประชัน ทิ่มแทงลูก โดยหวังว่าลูกจะรู้สึกผิด รู้สึกแย่กับพฤติกรรมของตัวเค้าเอง และรู้สึกสงสารเห็นใจแม่คนนี้บ้าง
ความทุกข์ที่สะสมมาตั้งแต่ลูกเกิด เข้ามาท่วมท้นใจเราไปหมด คำถามเดิม ๆ คือ “ทำไมลูกถึงเป็นแบบนี้?” “ทำไมเราต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ??”
1 สัปดาห์ผ่านไป ครูเรียกพบเราและยืนยันให้เราหาโรงเรียนใหม่ให้ลูก เพราะโรงเรียนนี้เน้นวิชาการ เค้าโฟกัสที่เด็กที่ตั้งใจเรียน ไม่พร้อมจะแก้ปัญหาให้เด็กที่ไม่พร้อม
เราเดินลงไปนั่งร้องไห้อยู่ชั้นล่าง หวังให้ลูกรู้สึกผิดและปรับปรุงตัว เราไม่สนใจความรู้สึกลูก แต่โฟกัสที่ความไม่ได้เรื่องของลูก เราคิดว่าเราทำทุกอย่างครบสมบูรณ์แล้ว ตอนลูกป่วย ก็ดูแลอย่างดี เสื้อผ้าหน้าผม อาหารการกิน ชีวิตความเป็นอยู่ แต่ลูกเรา แค่ไปโรงเรียน เรียนหนังสือ มีเพื่อน เล่นกับเพื่อน เป็นเด็กดีของครู แค่นี้ ทำไมทำไม่ได้
หลังจากนั้น เราก็พาลูกกลับไปหาครูใหญ่โรงเรียนอนุบาล และถามว่า ทำไมตอนลูกเราเรียนที่นี่ ไม่มีปัญหาอะไรเลย ครูใหญ่บอกว่า เค้ารู้จักลูกเราและป้องกันปัญหา เช่นรู้ว่าลูกเราไม่ถูกกับเพื่อนคนไหน ก็คอยระวังไม่ให้ปะทะกัน ลูกชอบเล่นกับเพื่อนคนไหน มีรูปแบบการเรียนยังไง เค้าก็สนับสนุนให้มันเป็นไปด้วยดี ลูกเราสามารถอ่านหนังสือได้คล่อง เค้าก็จัดให้ลูกเรายืนอ่านหนังสือนิทานให้เพื่อนและน้อง ๆ อนุบาลฟัง ซึ่งลูกเราชอบมาก
เรารู้สึกสำนึกในบุญคุณที่เค้ามีเมตตาทั้งกับลูกและเรา เค้าทำให้เรามี 3 ปีที่สงบสุข ลูกเราอ่านออกเขียนได้คล่อง ให้ขึ้นเวทีในงานวันแม่ เรารู้ว่า ครูใหญ่ที่แตกต่างกัน ทำให้ครูผู้น้อยแตกต่างกัน ลูกเราไม่ได้เลวร้ายแต่โรงเรียน มีส่วนว่าจะช่วยเด็กไหม และช่วยอย่างไร
ในที่สุด เราก็ได้โรงเรียนใหม่ให้ลูก เป็นโรงเรียนเอกชนที่เราเคยเรียนวันที่เราเข้าไปที่โรงเรียน คุณครูหลายท่านจำเราได้ เราไม่ได้เรียนเก่งมากมาย แต่มักจะเป็นลูกศิษย์คนโปรดของบรรดาคุณครู ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่ามันดีต่อใจ พ่อแม่เราก็คงรู้สึกดีที่มีลูกเป็นที่รัก ให้ทำอะไรก็ทำ ให้เรียนอะไรก็เรียน แล้วดูลูกเราสิ ตรงข้ามกับเราทุกอย่าง ไม่เคยทำให้เรารู้สึกดี หรือภูมิใจในตัวเขาได้เลย เกิดมาก็มีแต่ปัญหา.... นี่คือสิ่งที่อยู่ในใจเรา และเราก็พาลูกไปพบจิตแพทย์คนใหม่ ณ โรงพยาบาลแห่งใหม่ แต่ผลออกมาคือลูกเราปกติ ซึ่งมันก็ทำให้เราค้างคาใจตลอด เพราะถ้าหมอบอกว่าลูกเราเป็นสมาธิสั้น เราจะได้มีคำตอบให้ตัวเองและให้ครูได้ แต่พอผลว่าปกติ เราอยากได้คำตอบ อยากแก้ปัญหา อยากหลุดจากสถานการณ์ที่ทำให้เราทุกข์ทรมานนี้
พอเข้า ป.1 โรงเรียนใหม่ เราก็เดินเข้าไปส่งลูกในโรงเรียน มีแม่ ๆ ดักรอเราแล้วบอกว่า ลูกเราแกล้งเอาน้ำไปหยดใส่หัวลูกเค้า ถึงจะไม่รุนแรง แต่ก็ไม่ควรทำ เราก็ขอโทษไป แล้วก็กลับมาบ่นลูก เวลามีคนมาบอกว่าลูกเราไม่ดี เราไม่ถามลูกเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วตำหนิลูกเราเสมอ เราเชื่อว่าแม่ที่ไม่ยอมมองเห็นความผิดของลูก เป็นแม่ที่โง่ ไม่ทันลูก เราไม่อยากเป็นแม่อย่างในข่าว ที่พอลูกไปทำผิด แล้วมาให้สัมภาษณ์ว่าลูกฉันเป็นคนดี ดูแลแม่ กตัญญู
พอจบ ป.1 ครูใหญ่ขอให้เราพาลูกไปเรียนที่อื่น ครูใหญ่บอกแต่ว่าลูกเรามีปัญหา แต่ไม่อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เรารู้แต่ว่าเราทุกข์มาก กลุ้มใจ เสียใจ ท้อแท้ เหนื่อยหน่าย เบื่อลูกมาก ๆ แล้วจะทำยังไงล่ะ หมอก็บอกว่าลูกเราไม่มีปัญหา....แล้วปัญหาอยู่ตรงไหน มันต้องมี และต้องแก้ให้ได้ !!!
ช่วงนี้เอง เป็นช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ในชีวิตเรา เป็นช่วงของการค้นพบสิ่งที่เราแสวงหา เรากำลังจะได้คำตอบทุกอย่างในชีวิต
เราหาโรงเรียนประถมใหม่ให้ลูกได้ ... ช่วงนั้น เพื่อนเราก็มาชวนเราให้ไปเรียนคอร์สอะไรสักอย่าง เราก็ไปแบบมึน ๆ จนกระทั่งได้เข้าห้องเรียน พอประตูเปิด มีคนเรียนหลายพันคนเลย
วิทยากรก็เดินขึ้นเวที พูดๆๆ อะไรสักอย่างที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เราฟังอย่างตั้งใจและประหลาดใจ เหมือนเปิดโลกใหม่ เปิดกะลาออกสู่โลกกว้าง......
เราได้เข้าสู่กระบวนการบำบัดทางจิต ที่ได้ย้อนไปเห็นภาพตัวเราเองกับพ่อ... ซึ่งเป็นต้นทางแห่งทุกข์ เหตุการณ์ต้นเหตุที่เป็น “ปม” ในชีวิตเรา เราร้องไห้หนักมาก เจ็บช้ำ เสียใจ น้อยใจเมื่อโดนพ่อทำโทษ (ซึ่งไม่ได้หนักหนานะ แต่ด้วยความเป็นเด็กที่ตั้งใจทำดีแต่พลาด เราจึงเสียใจมาก) แล้วก็ยังไปเจอเรื่องที่เราในวัยเด็ก (สักสามขวบ) รู้สึกว่าไร้ค่า ต่ำต้อย เพราะพ่อแม่ไปรับช้ามาก ๆ เราซึ่งอายุแค่ 4 ขวบ ต้องรออยู่ในบ้านของเจ้าของโรงเรียนอนุบาลที่เค้าเอง ก็คงไม่ได้อยากดูแลเด็กคนหนึ่งจนถึงสองทุ่มทุกวัน แต่พ่อแม่ก็มารับเราช้ามาก เราก็นั่งอยู่อย่างนั้น... อย่างไร้ค่า
เราได้เรียนรู้ว่า ตัวเรา คือ “ต้นเหตุของปัญหาทุกประการในชีวิต” ไม่ใช่ “ใคร” หรือ “อะไร” ซึ่งเกิดจาก จิตสำนึก จิตใต้สำนึก และพลังอำนาจของมัน
ในระหว่างที่ทำกระบวนการทางจิตนั้น เรายังได้คำตอบขึ้นมาชัด ๆ เลยว่าที่ผ่านมา เราเห็นลูก “เป็นภาระ” มาตลอด และในกระบวนการนี้ มันมีการทำความเข้าใจสถานการณ์ใหม่ มีความเข้าใจใหม่เกิดขึ้นกับเรา สิ่งนั้นคือ “ลูกไม่ใช่ภาระ แต่ลูกคือของขวัญที่มาถึงเราต่างหาก” เราตกตะลึงกับสิ่งที่ค้นพบนี้มาก เรา ซึ่งคิดว่าตัวเองเป็นแม่ที่ดีมาก ทำทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แต่สิ่งที่มันบิดเบี้ยวไป คือความรู้สึกที่เรามีต่อลูกนี่เอง แล้วลูกที่แม่รู้สึกตลอดเวลาว่าเค้าเป็นภาระ มันจะเป็นยังไงล่ะ
เราเรียนคอร์สนั้น 3 วัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ตั้งแต่ 9.00-23.00 น. และไม่ได้เจอหน้าลูกเลยระหว่างสามวันนั้น
พอวันจันทร์ เราก็ไปส่งลูกที่โรงเรียน ตอนเย็นก็ไปรับกลับ ซึ่งปกติที่ผ่านมา เมื่อลูกขึ้นรถ เราก็จะถามลูกตามที่นักจิตวิทยาเค้าบอกกันว่า ควรจะถามลูกว่า วันนี้เป็นยังไงบ้าง เรียนเป็นยังไง กินข้าวกับอะไร ...แต่สิ่งที่ลูกเราตอบประจำคือ “จำไม่ได้แม่” ตอบแบบนี้มาเป็นปีละ
แต่พอถึงวันจันทร์ ตอนเย็น ลูกเปิดประตูรถขึ้นมา พอปิดประตู เค้าก็พูดๆๆ เรื่องที่เค้าไปห้องวิทยาศาสตร์ มีหลอดทดลองเยอะแยะ เค้าได้ทำการทดลอง เค้าชอบมาก .... ในระหว่างที่ลูกพูด ๆๆ เราก็คิดว่า.. นี่มันเกิดอะไรขึ้น??? ลูกกำลังเล่าเรื่อง !!!!
คำตอบก็ลอยเข้ามาว่า เมื่อวานที่ไปเรียน เราได้ทำความเข้าใจเรื่องราวใหม่ในระดับจิตใต้สำนึก ว่าลูกคือของขวัญ ไม่ใช่ภาระ และเมื่อเราสื่อสาร/คุยกับตัวเองใหม่ และจิตใต้สำนึกมีพลังมหาศาล เรากับลูกมีสายสะดือที่มองไม่เห็นเชื่อมอยู่ เราเปลี่ยน ลูกก็เปลี่ยน เราตื่นเต้นมาก ๆ ดีใจ รู้แล้ว เข้าใจแล้ว ว่าการที่จะเปลี่ยนอะไรใด ๆ ต้องเริ่มเปลี่ยนที่ตัวเราเอง
หลังจากนั้น ลูกอารมณ์ดีขึ้น บางวันเค้าเล่าว่า เค้าไม่ใช่เด็กมีปัญหานะ ตอนที่เค้าไม่ยอมขึ้นแสดงบนเวที ก็เพราะว่านั่นคืองานวันพ่อ แต่เค้าไม่มีพ่อ ส่วนงานวันแม่ เค้าตั้งใจและทำได้ดี แม่เห็นใช่ไหม ???
แม่เห็นแล้ว โดยที่แม่ไม่รู้เลยว่าลูกมีความคิดแบบนี้ ในวันที่เค้าไม่ยอมเต้นบนเวที เราจูงแขนเค้า เค้าร้องไห้ เราเลยสะบัดมือเค้าทิ้ง มือเค้าไปโดนปากตัวเอง ปากแตกด้วย โอย ความรู้สึกผิดกระแทกเข้ามา เรานี่ช่างเป็นแม่ที่เลวร้ายจริง ๆ แล้วยังเรื่องการใส่ชุดครุยอีก เราก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ แต่วันหนึ่ง ลูกก็เล่าว่า ที่ตอนอยู่อนุบาลแล้วเค้าไม่ยอมใส่ชุดครุย เพราะมันเหมือนกระโปรง เค้าเป็นผู้ชาย เค้าไม่อยากใส่กระโปรง...
เราได้แต่อึ้ง เพราะคิดตลอดว่าลูกไม่ได้เรื่อง ไม่มีความคิดความอ่าน แต่สิ่งที่ลูกเล่า คือเค้าคิดได้มากกว่าที่เรารู้จักเค้า เค้าไม่ได้โง่ มีแต่แม่นี่แหละ โง่เง่า เลวร้าย... เรารู้สึกแบบนั้น
นี่คือบทเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเรา หลังจากนั้น ยังมีความเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ อีกมากมาย ล้วนแล้วแต่ดีเลิศสำหรับการเกิดมาเป็นมนุษย์คนหนึ่งเลยเชียว... รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
เราเคยมีลูกที่มีแต่ปัญหา แต่ตอนนี้ รู้วิธีเลี้ยงลูกให้รอดแล้ว รอดทั้งแม่และลูกเลย
เราเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อแม่ เพราะเคยประสบกับปัญหาที่พ่อแม่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่เช่นกัน
ตั้งแต่ลุกเกิดจนอายุได้ 10 ขวบ เรามีแต่ความทุกข์ทรมาน ลูกเรามีปัญหาสุขภาพแต่กำเนิด และมีปัญหาในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ในขณะที่เรามีชีวิตและสุขภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง ทำกิจกรรม เล่นกีฬาหลากหลาย มีพ่อแม่ที่เลี้ยงเรามาอย่างดี มีการศึกษาที่ดี มีหน้าที่การงานมั่นคง
แต่ตอนนั้น เราเครียด เป็นทุกข์ในขณะที่ลูกอยู่ในโรงพยาบาลนานนับเดือน เสียงในใจเราคือ ทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นกับเรา? “เราสงสารตัวเอง” เราไปเยี่ยมลูกที่โรงพยาบาล อุ้มลูกไว้กับอก ร้องไห้ไปเรื่อย ๆ บางคนที่รู้เรื่องของลูกเรา ก็บอกเราว่า มันเป็นเวรกรรม ให้ไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ สวดมนต์วันละครึ่งชั่วโมง ใส่บาตรทุกวัน ซึ่งเราก็พยายามทำเพราะเรากลัวลูกตาย แต่เราเหนื่อยมาก เพราะต้องปั๊มนมทุก 3 ชั่วโมง และหิ้วเอาไปให้พยาบาลที่โรงพยาบาลเป็นเดือน ๆ จนกระทั่งลูกผ่าตัดสำเร็จ ออกจากโรงพยาบาลได้ โดยยังมีปัญหาร่างกายที่เราต้องดูแล อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องสามีด้วย เพราะเค้าไม่มาเยี่ยมหรือดูแลเราและลูกที่อยู่ในโรงพยาบาลเลย ตลอดช่วงเวลาที่ลูกอยู่โรงพยาบาล เค้ามาเยี่ยมสองครั้ง และได้หายไปจากชีวิตของเราสองแม่ลูก ซึ่งเราไม่มีแรงกายแรงใจที่จะเรียกร้องให้เค้ากลับมารับผิดชอบใด ๆ คิดแต่ว่า จะดูแลลูกให้ดีที่สุด
เมื่อลูกโตขึ้น เข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาลได้สักพัก ครูใหญ่บอกเราว่า ลูกมีปัญหาและให้พาไปพบจิตแพทย์ เพื่อจะได้มียามากิน... แพทย์แจ้งว่า ลูกเราปกติดี
ครูใหญ่ยังคงบ่นว่าลูกเรามีพฤติกรรมไม่ดี งอแง ทำให้ครูสอนยาก ... ซึ่งในตอนนั้น เราไม่เคยถามครูเลย ว่าทำไมลูกถึงงอแง และไม่ถามลูกด้วย ... เพราะว่าเราจมอยู่กับความทุกข์ของตัวเองไง
เราไม่เคยสนใจว่า เกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียน ลูกรู้สึกยังไง แต่เรากลับคิดตลอดว่า “ลูกเราก่อปัญหาตลอด” “ทำไมถึงทำตัวดี ๆ ไม่ได้”
ลูกเราก็เรียนต่อจนจบเตรียมอนุบาล แล้วเราก็หาโรงเรียนอนุบาลใหม่ให้ ตอนไปคุยกับครูใหญ่ครั้งแรก รู้สึกดีมาก เพราะครูมีบุคคลิก การพูดที่อบอุ่น ปลอบโยน เข้าใจ พร้อมช่วยเหลือ มีความเป็นครูฉายออกมาและสื่อได้ว่าเป็นครูจากใจจริง ๆ ... เราเลยย้ายลูกมาเรียนที่นี่
ช่วงเวลาที่ลูกเรียนอนุบาล 1 - 3 ครูใหญ่ไม่เคยเรียกพบผู้ปกครองเลย มีบ้างที่ครูประจำชั้นแจ้งว่าลูกมีปัญหากับเพื่อน แต่ครูก็จัดการแก้ไขได้
ช่วงใกล้จะถึงวันพ่อ ทางโรงเรียนเตรียมจัดการแสดง ลูกเราซ้อมเต้น เราก็แอบไปดูลูกซ้อมโดยหวังว่า จะได้เห็นลูกแสดงบนเวที
อย่างที่เราพูดตอนต้น เราเป็นคนทำกิจกรรมตั้งแต่เด็ก ทำเยอะ ทำได้ดี โดดเด่น ออกทีวี เรามีความสุขกับชีวิตแบบนั้น และเชื่อว่า สิ่งนั้น ทำให้เรามีความสุข เด่น ภูมิใจ และมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ
เมื่อถึงงานวันพ่อ ลูกเราเป็นเด็กคนเดียวในโรงเรียน ที่ไม่ยอมขึ้นเต้นบนเวที... เราโกรธและผิดหวังมาก เราพาลูกกลับบ้านก่อนที่งานจะเลิก
ปีสุดท้ายของการเรียน ครูใหญ่บอกให้เรากับลูก ขึ้นวางพานพุ่มและถวายความเคารพต่อพระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสวันแม่ เราก็ถามครูว่า จะดีหรือคะ? ครูบอกว่า เค้าทำได้นะคะ ลูกคุณแม่เก่งนะคะ พอถึงวันจริง ลูกเราทำได้อย่างเรียบร้อย เราก็งงไปอีกครั้ง
พอลูกใกล้จะเรียนจบ ทางโรงเรียนก็จัดให้ถ่ายรูปชุดครุย และครูโทรมาบอกเราว่า ลูกเราไม่ยอมถ่ายรูปและร้องไห้หนักมาก เราก็เลยไปที่โรงเรียน ซึ่งพอเราบอกลูกว่า ให้ถ่ายรูปนะ เค้าก็ยอมถ่ายด้วยดี (สองเรื่องนี้ ก็มีคำอธิบายภายหลังนะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น)
พอจบอนุบาล เราก็เลือกโรงเรียนเอกชนที่เน้นวิชาการ และคิดว่าลูกจะเรียนที่โรงเรียนนี้ได้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ เราจ่ายค่าเทอม ซื้อชุด อุปกรณ์การเรียน และส่งลูกไปโรงเรียน ... ผ่านไปได้ 3 วัน ครูประจำชั้นเชิญผู้ปกครอง!!!!!
ครูบอกว่า ลูกเราไม่เรียน งอแง ทำให้ครูสอนเด็กคนอื่นลำบาก... ซึ่งเราก็ไม่ได้ถามครูและลูกเลย ว่าเกิดอะไรขึ้น เราได้แต่ก้มหน้า ขอโทษครู และพาลูกกลับบ้าน แล้วก็พูดจากประชดประชัน ทิ่มแทงลูก โดยหวังว่าลูกจะรู้สึกผิด รู้สึกแย่กับพฤติกรรมของตัวเค้าเอง และรู้สึกสงสารเห็นใจแม่คนนี้บ้าง
ความทุกข์ที่สะสมมาตั้งแต่ลูกเกิด เข้ามาท่วมท้นใจเราไปหมด คำถามเดิม ๆ คือ “ทำไมลูกถึงเป็นแบบนี้?” “ทำไมเราต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ??”
1 สัปดาห์ผ่านไป ครูเรียกพบเราและยืนยันให้เราหาโรงเรียนใหม่ให้ลูก เพราะโรงเรียนนี้เน้นวิชาการ เค้าโฟกัสที่เด็กที่ตั้งใจเรียน ไม่พร้อมจะแก้ปัญหาให้เด็กที่ไม่พร้อม
เราเดินลงไปนั่งร้องไห้อยู่ชั้นล่าง หวังให้ลูกรู้สึกผิดและปรับปรุงตัว เราไม่สนใจความรู้สึกลูก แต่โฟกัสที่ความไม่ได้เรื่องของลูก เราคิดว่าเราทำทุกอย่างครบสมบูรณ์แล้ว ตอนลูกป่วย ก็ดูแลอย่างดี เสื้อผ้าหน้าผม อาหารการกิน ชีวิตความเป็นอยู่ แต่ลูกเรา แค่ไปโรงเรียน เรียนหนังสือ มีเพื่อน เล่นกับเพื่อน เป็นเด็กดีของครู แค่นี้ ทำไมทำไม่ได้
หลังจากนั้น เราก็พาลูกกลับไปหาครูใหญ่โรงเรียนอนุบาล และถามว่า ทำไมตอนลูกเราเรียนที่นี่ ไม่มีปัญหาอะไรเลย ครูใหญ่บอกว่า เค้ารู้จักลูกเราและป้องกันปัญหา เช่นรู้ว่าลูกเราไม่ถูกกับเพื่อนคนไหน ก็คอยระวังไม่ให้ปะทะกัน ลูกชอบเล่นกับเพื่อนคนไหน มีรูปแบบการเรียนยังไง เค้าก็สนับสนุนให้มันเป็นไปด้วยดี ลูกเราสามารถอ่านหนังสือได้คล่อง เค้าก็จัดให้ลูกเรายืนอ่านหนังสือนิทานให้เพื่อนและน้อง ๆ อนุบาลฟัง ซึ่งลูกเราชอบมาก
เรารู้สึกสำนึกในบุญคุณที่เค้ามีเมตตาทั้งกับลูกและเรา เค้าทำให้เรามี 3 ปีที่สงบสุข ลูกเราอ่านออกเขียนได้คล่อง ให้ขึ้นเวทีในงานวันแม่ เรารู้ว่า ครูใหญ่ที่แตกต่างกัน ทำให้ครูผู้น้อยแตกต่างกัน ลูกเราไม่ได้เลวร้ายแต่โรงเรียน มีส่วนว่าจะช่วยเด็กไหม และช่วยอย่างไร
ในที่สุด เราก็ได้โรงเรียนใหม่ให้ลูก เป็นโรงเรียนเอกชนที่เราเคยเรียนวันที่เราเข้าไปที่โรงเรียน คุณครูหลายท่านจำเราได้ เราไม่ได้เรียนเก่งมากมาย แต่มักจะเป็นลูกศิษย์คนโปรดของบรรดาคุณครู ซึ่งทำให้เรารู้สึกว่ามันดีต่อใจ พ่อแม่เราก็คงรู้สึกดีที่มีลูกเป็นที่รัก ให้ทำอะไรก็ทำ ให้เรียนอะไรก็เรียน แล้วดูลูกเราสิ ตรงข้ามกับเราทุกอย่าง ไม่เคยทำให้เรารู้สึกดี หรือภูมิใจในตัวเขาได้เลย เกิดมาก็มีแต่ปัญหา.... นี่คือสิ่งที่อยู่ในใจเรา และเราก็พาลูกไปพบจิตแพทย์คนใหม่ ณ โรงพยาบาลแห่งใหม่ แต่ผลออกมาคือลูกเราปกติ ซึ่งมันก็ทำให้เราค้างคาใจตลอด เพราะถ้าหมอบอกว่าลูกเราเป็นสมาธิสั้น เราจะได้มีคำตอบให้ตัวเองและให้ครูได้ แต่พอผลว่าปกติ เราอยากได้คำตอบ อยากแก้ปัญหา อยากหลุดจากสถานการณ์ที่ทำให้เราทุกข์ทรมานนี้
พอเข้า ป.1 โรงเรียนใหม่ เราก็เดินเข้าไปส่งลูกในโรงเรียน มีแม่ ๆ ดักรอเราแล้วบอกว่า ลูกเราแกล้งเอาน้ำไปหยดใส่หัวลูกเค้า ถึงจะไม่รุนแรง แต่ก็ไม่ควรทำ เราก็ขอโทษไป แล้วก็กลับมาบ่นลูก เวลามีคนมาบอกว่าลูกเราไม่ดี เราไม่ถามลูกเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วตำหนิลูกเราเสมอ เราเชื่อว่าแม่ที่ไม่ยอมมองเห็นความผิดของลูก เป็นแม่ที่โง่ ไม่ทันลูก เราไม่อยากเป็นแม่อย่างในข่าว ที่พอลูกไปทำผิด แล้วมาให้สัมภาษณ์ว่าลูกฉันเป็นคนดี ดูแลแม่ กตัญญู
พอจบ ป.1 ครูใหญ่ขอให้เราพาลูกไปเรียนที่อื่น ครูใหญ่บอกแต่ว่าลูกเรามีปัญหา แต่ไม่อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เรารู้แต่ว่าเราทุกข์มาก กลุ้มใจ เสียใจ ท้อแท้ เหนื่อยหน่าย เบื่อลูกมาก ๆ แล้วจะทำยังไงล่ะ หมอก็บอกว่าลูกเราไม่มีปัญหา....แล้วปัญหาอยู่ตรงไหน มันต้องมี และต้องแก้ให้ได้ !!!
ช่วงนี้เอง เป็นช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ในชีวิตเรา เป็นช่วงของการค้นพบสิ่งที่เราแสวงหา เรากำลังจะได้คำตอบทุกอย่างในชีวิต
เราหาโรงเรียนประถมใหม่ให้ลูกได้ ... ช่วงนั้น เพื่อนเราก็มาชวนเราให้ไปเรียนคอร์สอะไรสักอย่าง เราก็ไปแบบมึน ๆ จนกระทั่งได้เข้าห้องเรียน พอประตูเปิด มีคนเรียนหลายพันคนเลย
วิทยากรก็เดินขึ้นเวที พูดๆๆ อะไรสักอย่างที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เราฟังอย่างตั้งใจและประหลาดใจ เหมือนเปิดโลกใหม่ เปิดกะลาออกสู่โลกกว้าง......
เราได้เข้าสู่กระบวนการบำบัดทางจิต ที่ได้ย้อนไปเห็นภาพตัวเราเองกับพ่อ... ซึ่งเป็นต้นทางแห่งทุกข์ เหตุการณ์ต้นเหตุที่เป็น “ปม” ในชีวิตเรา เราร้องไห้หนักมาก เจ็บช้ำ เสียใจ น้อยใจเมื่อโดนพ่อทำโทษ (ซึ่งไม่ได้หนักหนานะ แต่ด้วยความเป็นเด็กที่ตั้งใจทำดีแต่พลาด เราจึงเสียใจมาก) แล้วก็ยังไปเจอเรื่องที่เราในวัยเด็ก (สักสามขวบ) รู้สึกว่าไร้ค่า ต่ำต้อย เพราะพ่อแม่ไปรับช้ามาก ๆ เราซึ่งอายุแค่ 4 ขวบ ต้องรออยู่ในบ้านของเจ้าของโรงเรียนอนุบาลที่เค้าเอง ก็คงไม่ได้อยากดูแลเด็กคนหนึ่งจนถึงสองทุ่มทุกวัน แต่พ่อแม่ก็มารับเราช้ามาก เราก็นั่งอยู่อย่างนั้น... อย่างไร้ค่า
เราได้เรียนรู้ว่า ตัวเรา คือ “ต้นเหตุของปัญหาทุกประการในชีวิต” ไม่ใช่ “ใคร” หรือ “อะไร” ซึ่งเกิดจาก จิตสำนึก จิตใต้สำนึก และพลังอำนาจของมัน
ในระหว่างที่ทำกระบวนการทางจิตนั้น เรายังได้คำตอบขึ้นมาชัด ๆ เลยว่าที่ผ่านมา เราเห็นลูก “เป็นภาระ” มาตลอด และในกระบวนการนี้ มันมีการทำความเข้าใจสถานการณ์ใหม่ มีความเข้าใจใหม่เกิดขึ้นกับเรา สิ่งนั้นคือ “ลูกไม่ใช่ภาระ แต่ลูกคือของขวัญที่มาถึงเราต่างหาก” เราตกตะลึงกับสิ่งที่ค้นพบนี้มาก เรา ซึ่งคิดว่าตัวเองเป็นแม่ที่ดีมาก ทำทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แต่สิ่งที่มันบิดเบี้ยวไป คือความรู้สึกที่เรามีต่อลูกนี่เอง แล้วลูกที่แม่รู้สึกตลอดเวลาว่าเค้าเป็นภาระ มันจะเป็นยังไงล่ะ
เราเรียนคอร์สนั้น 3 วัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ตั้งแต่ 9.00-23.00 น. และไม่ได้เจอหน้าลูกเลยระหว่างสามวันนั้น
พอวันจันทร์ เราก็ไปส่งลูกที่โรงเรียน ตอนเย็นก็ไปรับกลับ ซึ่งปกติที่ผ่านมา เมื่อลูกขึ้นรถ เราก็จะถามลูกตามที่นักจิตวิทยาเค้าบอกกันว่า ควรจะถามลูกว่า วันนี้เป็นยังไงบ้าง เรียนเป็นยังไง กินข้าวกับอะไร ...แต่สิ่งที่ลูกเราตอบประจำคือ “จำไม่ได้แม่” ตอบแบบนี้มาเป็นปีละ
แต่พอถึงวันจันทร์ ตอนเย็น ลูกเปิดประตูรถขึ้นมา พอปิดประตู เค้าก็พูดๆๆ เรื่องที่เค้าไปห้องวิทยาศาสตร์ มีหลอดทดลองเยอะแยะ เค้าได้ทำการทดลอง เค้าชอบมาก .... ในระหว่างที่ลูกพูด ๆๆ เราก็คิดว่า.. นี่มันเกิดอะไรขึ้น??? ลูกกำลังเล่าเรื่อง !!!!
คำตอบก็ลอยเข้ามาว่า เมื่อวานที่ไปเรียน เราได้ทำความเข้าใจเรื่องราวใหม่ในระดับจิตใต้สำนึก ว่าลูกคือของขวัญ ไม่ใช่ภาระ และเมื่อเราสื่อสาร/คุยกับตัวเองใหม่ และจิตใต้สำนึกมีพลังมหาศาล เรากับลูกมีสายสะดือที่มองไม่เห็นเชื่อมอยู่ เราเปลี่ยน ลูกก็เปลี่ยน เราตื่นเต้นมาก ๆ ดีใจ รู้แล้ว เข้าใจแล้ว ว่าการที่จะเปลี่ยนอะไรใด ๆ ต้องเริ่มเปลี่ยนที่ตัวเราเอง
หลังจากนั้น ลูกอารมณ์ดีขึ้น บางวันเค้าเล่าว่า เค้าไม่ใช่เด็กมีปัญหานะ ตอนที่เค้าไม่ยอมขึ้นแสดงบนเวที ก็เพราะว่านั่นคืองานวันพ่อ แต่เค้าไม่มีพ่อ ส่วนงานวันแม่ เค้าตั้งใจและทำได้ดี แม่เห็นใช่ไหม ???
แม่เห็นแล้ว โดยที่แม่ไม่รู้เลยว่าลูกมีความคิดแบบนี้ ในวันที่เค้าไม่ยอมเต้นบนเวที เราจูงแขนเค้า เค้าร้องไห้ เราเลยสะบัดมือเค้าทิ้ง มือเค้าไปโดนปากตัวเอง ปากแตกด้วย โอย ความรู้สึกผิดกระแทกเข้ามา เรานี่ช่างเป็นแม่ที่เลวร้ายจริง ๆ แล้วยังเรื่องการใส่ชุดครุยอีก เราก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ แต่วันหนึ่ง ลูกก็เล่าว่า ที่ตอนอยู่อนุบาลแล้วเค้าไม่ยอมใส่ชุดครุย เพราะมันเหมือนกระโปรง เค้าเป็นผู้ชาย เค้าไม่อยากใส่กระโปรง...
เราได้แต่อึ้ง เพราะคิดตลอดว่าลูกไม่ได้เรื่อง ไม่มีความคิดความอ่าน แต่สิ่งที่ลูกเล่า คือเค้าคิดได้มากกว่าที่เรารู้จักเค้า เค้าไม่ได้โง่ มีแต่แม่นี่แหละ โง่เง่า เลวร้าย... เรารู้สึกแบบนั้น
นี่คือบทเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเรา หลังจากนั้น ยังมีความเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ อีกมากมาย ล้วนแล้วแต่ดีเลิศสำหรับการเกิดมาเป็นมนุษย์คนหนึ่งเลยเชียว... รอติดตามตอนต่อไปนะคะ