สวัสดีครับ เพื่อนๆผู้สนใจการลงทุน TFEX CLUB ทุกๆท่านครับ วันนี้จะมีข่าวคราวอะไรทีน่าสนใจบ้างเราไปติดตามกันเลยครับ
เจาะชีวิต ‘เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์’ ผู้ปกครองอาณาจักรลักชัวรี ‘LVMH’ ที่กลายเป็นบุคคลผู้ร่ำรวยที่สุดของโลกคนใหม่แทนที่ อีลอน มัสก์
HIGHLIGHTS
เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของกลุ่ม Moët Hennessy Louis Vuitton หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘LVMH’ เจ้าของแบรนด์สินค้าระดับลักชัวรีมากมาย กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกคนใหม่แทนที่อีลอน มัสก์
จุดเริ่มต้นการลงทุนในแวดวงแฟชั่นเกิดจากเหตุผลอยู่ 2 อย่างคือ อย่างแรก Christian Dior คือน้ำหอมที่แม่ของเขาชอบ และอีกข้อคือ นี่เป็นแบรนด์ตัวแทนของฝรั่งเศสที่โลกรู้จักโดยไม่จำเป็นต้องแนะนำตัว
ว่ากันว่าในแต่ละวันเขามักจะเดินทางไปตรวจสอบตามร้านค้าทั้งที่อยู่ในเครือของ LVMH และสอดส่องร้านค้าของคู่แข่งด้วยตัวเอง ในแต่ละวันอาจจะมากถึง 25 แห่งเลยทีเดียว ก็เพื่อจะได้รู้รอบอยู่เสมอว่าตอนนี้สถานการณ์ในตลาดเป็นอย่างไร
สิ่งที่อาร์โนลต์เรียนรู้จากจ็อบส์นั้นเขาเปิดเผยในบทสัมภาษณ์ว่า “ความสำเร็จของสตีฟ จ็อบส์ มาจากการผสมผสานระหว่างความคิดสร้างสรรค์ และการสัมผัสได้ถึงวิธีการจัดการเพื่อการเติบโต”
ความวายวอดของ อีลอน มัสก์ ซีอีโอแห่ง Tesla, SpaceX และ Twitter ซึ่งกลายเป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์ที่สูญเสียทรัพย์สินรวมไปมากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ในระยะเวลาแค่ไม่นาน ได้กลายเป็นการเปิดทางให้แก่มหาเศรษฐีคนใหม่ที่ก้าวขึ้นมาครองตำแหน่ง ‘คนรวยที่สุดในโลก’ แทน
บุคคลดังกล่าวคือ เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของกลุ่ม Moët Hennessy Louis Vuitton หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘LVMH’ เจ้าของแบรนด์สินค้าระดับลักชัวรีที่เป็นที่ปรารถนาของสาวกทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Louis Vuitton, Tiffany & Co., Christian Dior และอีกมากมายในหลายหลากประเภทสินค้ารวมแล้วกว่า 70 แบรนด์
นิตยสาร Forbes และ Bloomberg ได้ประกาศให้อาร์โนลด์ในวัย 73 ปี กลายเป็นบุคคลผู้รำ่รวยที่สุดของโลกคนใหม่เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยตามการประเมินจาก Forbes แล้ว ทรัพย์สินรวมของเขามีมูลค่าที่ราว 1.91 แสนล้านดอลลาร์ หรือกว่า 6.4 ล้านล้านบาท ในขณะที่ Bloomberg ประเมินไว้ที่ 1.72 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 5.73 ล้านล้านบาท ชายผู้เป็นเจ้าแห่งลัทธิความหรูหราคนนี้เป็นใครมาจากไหน บางทีเราก็ควรจะทำความรู้จักเรื่องราวของเขาเอาไว้เหมือนกัน
อ่านต่อได้ที่ : เจาะชีวิต ‘เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์’ ผู้ปกครองอาณาจักรลักชัวรี ‘LVMH’ ที่กลายเป็นบุคคลผู้ร่ำรวยที่สุดของโลกคนใหม่แทนที่ อีลอน มัสก์ – THE STANDARD
เปิดปีใหม่ไม่มีแผ่ว! ต่างชาติซื้อหุ้นไทย 11 วันรวด Aberdeen มองเป็น ‘Safe Haven’ และเชื่อว่า SET 1,800 จุด ไม่ไกลเกินเอื้อม
บรรยากาศการลงทุนหุ้นไทยหลังผ่านไป 11 วันทำการ (3-17 มกราคม) ของปี 2566 นักลงทุนต่างประเทศเป็นฝ่ายซื้อสุทธิติดต่อกัน 11 วันรวด คิดเป็นมูลค่า 1.9 หมื่นล้านบาท และเป็นการซื้อติดต่อกันเป็นวันที่ 14 นับแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2565 ส่วนนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนทั่วไปในประเทศที่ขายสุทธิ 9.5 พันล้านบาท
แรงซื้อของต่างชาติช่วยหนุนให้ดัชนี SET เพิ่มขึ้นเกือบ 30 จุด ขณะที่หุ้นใหญ่ในกลุ่ม 30 อันดับแรกที่มีมูลค่าสูงสุด และราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ 16 มกราคม) ได้แก่ MAKRO +8.75%, PTTGC +6.35%, BBL +6.08%, KBANK +5.08%, SCB +4.67%, MINT +4.65%, ADVANC +3.59%, SCC +3.51%, BDMS +3.45% และ BAY +3.25%
ในอดีตที่ผ่านมา ครั้งสุดท้ายและครั้งเดียวที่ดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทยเคยวิ่งขึ้นไปยืนเหนือ 1,800 จุด คือระหว่างเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ปี 2561 หลังจากนั้นหุ้นไทยดิ่งลงอย่างหนักพร้อมๆ กับตลาดหุ้นโลกในช่วงวิกฤตโควิด ทำให้มูลค่าหายไปเกือบครึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาสู่ระดับ 1,600-1,700 จุด อีกครั้งในตอนนี้
เมื่อปีที่แล้วเรามักได้ยินว่า ‘หุ้นไทย Outperform’ หรือแปลง่ายๆ คือ ‘ทำได้ดีกว่าเพื่อน’ แต่การทำได้ดีกว่าก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นไทยพุ่งขึ้นโดดเด่นอะไร ปีก่อนดัชนี SET เพิ่มขึ้นเพียง 0.67% เท่านั้น แต่ก็ถือว่าดีกว่าหลายประเทศที่ดิ่งลง 10-30%
ข้ามมาสู่ปี 2566 สิ่งที่แวดวงเศรษฐกิจและการลงทุนพูดถึงกันมากที่สุดในตอนนี้คือ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือ Recession มีความเสี่ยงจะเกิดขึ้นภายใน 12 เดือนข้างหน้านี้ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว (Developed Market) เช่น ยุโรป สหรัฐฯ ทำให้ตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะให้ผลตอบแทนย่ำแย่ต่อเนื่องอีกปี หากเทียบกับประเทศที่ไม่ต้องเผชิญกับ Recession
ตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่หลายคนเชื่อว่าจะโดดเด่นได้อีกปี เพราะเศรษฐกิจที่กำลังอยู่ในขาของการฟื้นตัว สวนทางกับกระแส Recession และทำให้หุ้นไทยมีโอกาสที่จะยังคงเป็น ‘Safe Haven’ หรือ ‘หลุมหลบภัย’ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่กำลังหดตัว
ดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย Head of Equity – Thailand บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) มองว่า แม้หุ้นไทยจะ Outperform เมื่อปีก่อน แต่ถ้าดูผลตอบแทนสะสม (Cumulative Return) ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา หุ้นไทยเพิ่มขึ้นเพียง 10% ส่วนหุ้นสหรัฐฯ หรือไต้หวัน ที่ปีก่อนดิ่งลงประมาณ 20% แต่ 3 ปีที่ผ่านมายังให้ผลตอบแทนสะสมเป็นบวก 25-30%
“สาเหตุที่เรา (หุ้นไทย) Laggard เพราะผลกระทบจากโควิด เราไม่ได้มีหุ้นเทคฯ ที่ได้ประโยชน์ในช่วงล็อกดาวน์ แต่เมื่อตลาดกลับขากัน หุ้นไทยจะเป็น Safe Haven”
ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้หุ้นไทยโดดเด่นในปีนี้ ประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ
อ่านต่อได้ที่ : เปิดปีใหม่ไม่มีแผ่ว! ต่างชาติซื้อหุ้นไทย 11 วันรวด Aberdeen มองเป็น ‘Safe Haven’ (thestandard.co)
"Economic Moat" แนวคิดป้อมปราการธุรกิจของ วอร์เรน บัฟเฟตต์
ความได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจ ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้ธุรกิจนั้นเติบโต และประสบความสำเร็จ
ซึ่ง “วอร์เรน บัฟเฟตต์” นักลงทุนชื่อดังของโลก ได้กล่าวถึงความได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจว่า ต้องดูกันที่ธุรกิจมี “Economic Moat” หรือ “คูเมืองทางเศรษฐกิจ” แข็งแกร่งหรือไม่ ซึ่ง “วอร์เรน บัฟเฟตต์” นักลงทุนชื่อดังของโลก ได้กล่าวถึงความได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจว่า ต้องดูกันที่ธุรกิจมี “Economic Moat” หรือ “คูเมืองทางเศรษฐกิจ” แข็งแกร่งหรือไม่
แล้ว Economic Moat คืออะไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
Economic Moat เปรียบเหมือนปราการที่เป็นคูน้ำล้อมรอบปราสาท ทำหน้าที่ป้องกันปราสาท จากการบุกรุกของศัตรู เหมือนกับสิ่งที่ปกป้องธุรกิจจากคู่แข่ง ให้เข้ามาแข่งขันด้วยยาก
อ่านต่อได้ที่ : [ลงทุนแมน] “Economic Moat” แนวคิดป้อมปราการธุรกิจ ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ความได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจ ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้ธุรกิจนั้นเติบโต และประสบความสำเร็จ (blockdit.com)
ดูข่าวการลงทุนมาเยอะแล้ว มาดูคำแนะนำดีๆด้านการลงทุนกันนะครับ การลงทุนที่ดี ต้องลงทุนตอนเกิดวิกฤต
" การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นอาชีพที่น่าอิจฉา ? "
ถามป๊าว่าถ้าหากถอยเวลาไปสัก 40 ปี ป๊ายังจะยึดอาชีพเป็นนักลงทุนอีกไหม?
ก็คงต้องตอบว่า ใช่ครับ ...
แต่ถ้าไปถามคนที่เสียหายจากการลงทุน เขาคงสอนลูกหลาน ว่าอย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับตลาดหุ้นอีกเลย
มันไม่ใช่ง่ายๆเลยนะครับที่จะจับจังหวะการลงทุนได้ง่ายๆ
ตามที่ป๊าเคยสอน ว่าให้เข้าลงทุนตอน ”เกิดวิกฤติ”
อย่างเหตุการณ์ปัจจุบัน เกิดวิกฤติกับ BITCOIN ลงมาจาก 69,000 usd ลงมาถึง 15,600 usd หลายคนเสียหายมาก
ราคาBTC ป้วนเปี้ยนเเถว 16,000usd อยู่สักพัก ทั้งๆที่กราฟ month กำลังจะปรับตัวขึ้นป๊ามัวเเต่ ”ไหว้ครู“ BTC ขยับขึ้นมา 20,000 เหรียญแล้ว
กับตลาดหุ้นจีนก็เช่นกัน ป๊ารู้จักไม่กี่ตัว ที่รู้จักมากสุด คือหุ้นอาลีบาบา BABA ราคาลงมาจาก 320 เหรียญ พอรัฐบาลจีนเข้ามาแทรกแซง BABA ลงมาถึง62 เหรียญ ป๊าก็มัวแต่ ”ไหว้ครู” คิดว่าโควิดจะระบาดหนักหลังตรุษจีน
เพราะทุกคนจะกลับบ้าน ป๊าตั้งใจจะเข้าแน่ๆๆๆ รอจังหวะตอนนั้น
แต่สุดท้ายเหตุการณ์เปลี่ยน เพราะอยู่ดีๆจีนปล่อย ไม่เข้มงวดกับโควิด และให้เดินทางได้เสรีได้แล้ว
เท่านั้นแหละครับ หุ้น BABA เด้งจาก 62 เหรียญขึ้นมาถึง 115 เหรียญ ขึ้นมาร่วม 100% เลยนะครับ
แล้วจากนี้หลักการลงทุนขอเราจะจัดการยังไงดี ?
... จากนี้ป๊าคงต้องรอให้ตลาดปรับตัวก่อน เเล้วค่อยเข้า
... -บทเรียนทั้งสองเหตุการณ์ สอนให้เรารู้ว่า วิกฤติเป็นโอกาสจริงๆ
... ถ้าเป็นบ้านเรา เราคงมีส่วนร่วมในโอกาสนี้ ด้วยข่าวสาร ใกล้ชิด ติดตามได้
... เราไม่มีการเตรียมพร้อม พอโอกาสมาเราคว้าไม่ได้
ความโชคดี = โอกาส+การเตรียมพร้อม
เราต้องมีหาโอกาให้เจอ และเตรียมพร้อมตัวเราที่จะรับมือกับโอกาสนั้น
ป๊ายังคงเชื่อมั่นว่าอาชีพการลงทุน เป็นอาชีพที่ “AMAZING“ มากจริงๆ
แต่เราต้องรอและจับจังหวะให้ได้ ต้องมีความรู้ ต้องมีความหิวที่จะเรียนรู้ ไขว่คว้าตลอดเวลส (Stay Hungry)
Credit : การลงทุนที่ดี ต้องลงทุนตอนเกิดวิกฤต (stock2morrow.com)
มาต่อกันที่ข่าวราคาทองคำกันครับ ทองคําเคลื่อนไหวในกรอบแคบ คาดรอผลการประชุมเฟดกลางสัปดาห์
ราคาทองคําเช้าวันจันทร์ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ราคาทองยังคงได้รับแรงหนุนจากคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์นี้ ด้านทองคำในประเทศเปิดตลาดราคาไม่เปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่วันศุกร์
คืนวันนี้ ไม่มีรายงานเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ ส่วนสัปดาห์นี้มีไฮไลท์เศรษฐกิจสำคัญที่ให้ติดตามเข้มข้น ประกอบด้วย การประชุมคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน(FOMC) ของเฟด ตัวเลขการจ้างงานประจำเดือนม.ค. โดยเฉพาะ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร อัตราว่างงาน และรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง รวมทั้ง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ Conference Board เดือนม.ค. ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของสถาบัน ISM เดือนม.ค. การเปิดรับสมัครงานของ JOLTs เดือนม.ค. และ จำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ เป็นต้น
และนอกจากนี
อัพเดท ราคาหุ้น TFEX และทองคำ 30/01/2023
เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของกลุ่ม Moët Hennessy Louis Vuitton หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘LVMH’ เจ้าของแบรนด์สินค้าระดับลักชัวรีมากมาย กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกคนใหม่แทนที่อีลอน มัสก์
จุดเริ่มต้นการลงทุนในแวดวงแฟชั่นเกิดจากเหตุผลอยู่ 2 อย่างคือ อย่างแรก Christian Dior คือน้ำหอมที่แม่ของเขาชอบ และอีกข้อคือ นี่เป็นแบรนด์ตัวแทนของฝรั่งเศสที่โลกรู้จักโดยไม่จำเป็นต้องแนะนำตัว
ว่ากันว่าในแต่ละวันเขามักจะเดินทางไปตรวจสอบตามร้านค้าทั้งที่อยู่ในเครือของ LVMH และสอดส่องร้านค้าของคู่แข่งด้วยตัวเอง ในแต่ละวันอาจจะมากถึง 25 แห่งเลยทีเดียว ก็เพื่อจะได้รู้รอบอยู่เสมอว่าตอนนี้สถานการณ์ในตลาดเป็นอย่างไร
สิ่งที่อาร์โนลต์เรียนรู้จากจ็อบส์นั้นเขาเปิดเผยในบทสัมภาษณ์ว่า “ความสำเร็จของสตีฟ จ็อบส์ มาจากการผสมผสานระหว่างความคิดสร้างสรรค์ และการสัมผัสได้ถึงวิธีการจัดการเพื่อการเติบโต”
ความวายวอดของ อีลอน มัสก์ ซีอีโอแห่ง Tesla, SpaceX และ Twitter ซึ่งกลายเป็นบุคคลแรกในประวัติศาสตร์ที่สูญเสียทรัพย์สินรวมไปมากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ในระยะเวลาแค่ไม่นาน ได้กลายเป็นการเปิดทางให้แก่มหาเศรษฐีคนใหม่ที่ก้าวขึ้นมาครองตำแหน่ง ‘คนรวยที่สุดในโลก’ แทน
บุคคลดังกล่าวคือ เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของกลุ่ม Moët Hennessy Louis Vuitton หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘LVMH’ เจ้าของแบรนด์สินค้าระดับลักชัวรีที่เป็นที่ปรารถนาของสาวกทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Louis Vuitton, Tiffany & Co., Christian Dior และอีกมากมายในหลายหลากประเภทสินค้ารวมแล้วกว่า 70 แบรนด์
นิตยสาร Forbes และ Bloomberg ได้ประกาศให้อาร์โนลด์ในวัย 73 ปี กลายเป็นบุคคลผู้รำ่รวยที่สุดของโลกคนใหม่เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยตามการประเมินจาก Forbes แล้ว ทรัพย์สินรวมของเขามีมูลค่าที่ราว 1.91 แสนล้านดอลลาร์ หรือกว่า 6.4 ล้านล้านบาท ในขณะที่ Bloomberg ประเมินไว้ที่ 1.72 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 5.73 ล้านล้านบาท ชายผู้เป็นเจ้าแห่งลัทธิความหรูหราคนนี้เป็นใครมาจากไหน บางทีเราก็ควรจะทำความรู้จักเรื่องราวของเขาเอาไว้เหมือนกัน
อ่านต่อได้ที่ : เจาะชีวิต ‘เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์’ ผู้ปกครองอาณาจักรลักชัวรี ‘LVMH’ ที่กลายเป็นบุคคลผู้ร่ำรวยที่สุดของโลกคนใหม่แทนที่ อีลอน มัสก์ – THE STANDARD
แรงซื้อของต่างชาติช่วยหนุนให้ดัชนี SET เพิ่มขึ้นเกือบ 30 จุด ขณะที่หุ้นใหญ่ในกลุ่ม 30 อันดับแรกที่มีมูลค่าสูงสุด และราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ 16 มกราคม) ได้แก่ MAKRO +8.75%, PTTGC +6.35%, BBL +6.08%, KBANK +5.08%, SCB +4.67%, MINT +4.65%, ADVANC +3.59%, SCC +3.51%, BDMS +3.45% และ BAY +3.25%
ในอดีตที่ผ่านมา ครั้งสุดท้ายและครั้งเดียวที่ดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทยเคยวิ่งขึ้นไปยืนเหนือ 1,800 จุด คือระหว่างเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ปี 2561 หลังจากนั้นหุ้นไทยดิ่งลงอย่างหนักพร้อมๆ กับตลาดหุ้นโลกในช่วงวิกฤตโควิด ทำให้มูลค่าหายไปเกือบครึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาสู่ระดับ 1,600-1,700 จุด อีกครั้งในตอนนี้
เมื่อปีที่แล้วเรามักได้ยินว่า ‘หุ้นไทย Outperform’ หรือแปลง่ายๆ คือ ‘ทำได้ดีกว่าเพื่อน’ แต่การทำได้ดีกว่าก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นไทยพุ่งขึ้นโดดเด่นอะไร ปีก่อนดัชนี SET เพิ่มขึ้นเพียง 0.67% เท่านั้น แต่ก็ถือว่าดีกว่าหลายประเทศที่ดิ่งลง 10-30%
ข้ามมาสู่ปี 2566 สิ่งที่แวดวงเศรษฐกิจและการลงทุนพูดถึงกันมากที่สุดในตอนนี้คือ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือ Recession มีความเสี่ยงจะเกิดขึ้นภายใน 12 เดือนข้างหน้านี้ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว (Developed Market) เช่น ยุโรป สหรัฐฯ ทำให้ตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะให้ผลตอบแทนย่ำแย่ต่อเนื่องอีกปี หากเทียบกับประเทศที่ไม่ต้องเผชิญกับ Recession
ตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่หลายคนเชื่อว่าจะโดดเด่นได้อีกปี เพราะเศรษฐกิจที่กำลังอยู่ในขาของการฟื้นตัว สวนทางกับกระแส Recession และทำให้หุ้นไทยมีโอกาสที่จะยังคงเป็น ‘Safe Haven’ หรือ ‘หลุมหลบภัย’ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่กำลังหดตัว
ดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย Head of Equity – Thailand บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) มองว่า แม้หุ้นไทยจะ Outperform เมื่อปีก่อน แต่ถ้าดูผลตอบแทนสะสม (Cumulative Return) ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา หุ้นไทยเพิ่มขึ้นเพียง 10% ส่วนหุ้นสหรัฐฯ หรือไต้หวัน ที่ปีก่อนดิ่งลงประมาณ 20% แต่ 3 ปีที่ผ่านมายังให้ผลตอบแทนสะสมเป็นบวก 25-30%
“สาเหตุที่เรา (หุ้นไทย) Laggard เพราะผลกระทบจากโควิด เราไม่ได้มีหุ้นเทคฯ ที่ได้ประโยชน์ในช่วงล็อกดาวน์ แต่เมื่อตลาดกลับขากัน หุ้นไทยจะเป็น Safe Haven”
ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้หุ้นไทยโดดเด่นในปีนี้ ประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ
อ่านต่อได้ที่ : เปิดปีใหม่ไม่มีแผ่ว! ต่างชาติซื้อหุ้นไทย 11 วันรวด Aberdeen มองเป็น ‘Safe Haven’ (thestandard.co)
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ถามป๊าว่าถ้าหากถอยเวลาไปสัก 40 ปี ป๊ายังจะยึดอาชีพเป็นนักลงทุนอีกไหม?
ก็คงต้องตอบว่า ใช่ครับ ...
แต่ถ้าไปถามคนที่เสียหายจากการลงทุน เขาคงสอนลูกหลาน ว่าอย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับตลาดหุ้นอีกเลย
มันไม่ใช่ง่ายๆเลยนะครับที่จะจับจังหวะการลงทุนได้ง่ายๆ
ตามที่ป๊าเคยสอน ว่าให้เข้าลงทุนตอน ”เกิดวิกฤติ”
อย่างเหตุการณ์ปัจจุบัน เกิดวิกฤติกับ BITCOIN ลงมาจาก 69,000 usd ลงมาถึง 15,600 usd หลายคนเสียหายมาก
ราคาBTC ป้วนเปี้ยนเเถว 16,000usd อยู่สักพัก ทั้งๆที่กราฟ month กำลังจะปรับตัวขึ้นป๊ามัวเเต่ ”ไหว้ครู“ BTC ขยับขึ้นมา 20,000 เหรียญแล้ว
กับตลาดหุ้นจีนก็เช่นกัน ป๊ารู้จักไม่กี่ตัว ที่รู้จักมากสุด คือหุ้นอาลีบาบา BABA ราคาลงมาจาก 320 เหรียญ พอรัฐบาลจีนเข้ามาแทรกแซง BABA ลงมาถึง62 เหรียญ ป๊าก็มัวแต่ ”ไหว้ครู” คิดว่าโควิดจะระบาดหนักหลังตรุษจีน
เพราะทุกคนจะกลับบ้าน ป๊าตั้งใจจะเข้าแน่ๆๆๆ รอจังหวะตอนนั้น
แต่สุดท้ายเหตุการณ์เปลี่ยน เพราะอยู่ดีๆจีนปล่อย ไม่เข้มงวดกับโควิด และให้เดินทางได้เสรีได้แล้ว
เท่านั้นแหละครับ หุ้น BABA เด้งจาก 62 เหรียญขึ้นมาถึง 115 เหรียญ ขึ้นมาร่วม 100% เลยนะครับ
แล้วจากนี้หลักการลงทุนขอเราจะจัดการยังไงดี ?
... จากนี้ป๊าคงต้องรอให้ตลาดปรับตัวก่อน เเล้วค่อยเข้า
... -บทเรียนทั้งสองเหตุการณ์ สอนให้เรารู้ว่า วิกฤติเป็นโอกาสจริงๆ
... ถ้าเป็นบ้านเรา เราคงมีส่วนร่วมในโอกาสนี้ ด้วยข่าวสาร ใกล้ชิด ติดตามได้
... เราไม่มีการเตรียมพร้อม พอโอกาสมาเราคว้าไม่ได้
ความโชคดี = โอกาส+การเตรียมพร้อม
เราต้องมีหาโอกาให้เจอ และเตรียมพร้อมตัวเราที่จะรับมือกับโอกาสนั้น
ป๊ายังคงเชื่อมั่นว่าอาชีพการลงทุน เป็นอาชีพที่ “AMAZING“ มากจริงๆ
แต่เราต้องรอและจับจังหวะให้ได้ ต้องมีความรู้ ต้องมีความหิวที่จะเรียนรู้ ไขว่คว้าตลอดเวลส (Stay Hungry)
Credit : การลงทุนที่ดี ต้องลงทุนตอนเกิดวิกฤต (stock2morrow.com)
คืนวันนี้ ไม่มีรายงานเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ ส่วนสัปดาห์นี้มีไฮไลท์เศรษฐกิจสำคัญที่ให้ติดตามเข้มข้น ประกอบด้วย การประชุมคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน(FOMC) ของเฟด ตัวเลขการจ้างงานประจำเดือนม.ค. โดยเฉพาะ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร อัตราว่างงาน และรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง รวมทั้ง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ Conference Board เดือนม.ค. ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของสถาบัน ISM เดือนม.ค. การเปิดรับสมัครงานของ JOLTs เดือนม.ค. และ จำนวนผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ เป็นต้น
และนอกจากนี