สวัสดีครับ เชื่อว่าประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะเวียดนามเหนือ น่าจะเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางในฝันของนักท่องเที่ยวชาวไทย อาจจะด้วยของสภาพแวดล้อมที่ไม่ฉีกไปจากประเทศไทยมากนัก หรือแม้กระทั่งเรื่องของค่าเงิน/ค่าครองชีพที่ไม่สูงมากนัก ทำให้การเก็บเงินหรือบริหารค่าใช้จ่ายในการเที่ยวเวียดนามไม่ยากจนเกินไปสำหรับมนุษย์เงินเดือน นี่เป็นการเดินทางครั้งที่สองของผมแล้วที่ได้มาเอาตัวรอดแบบลุ่มดอนๆที่เวียดนามเหนือ แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ผมเดินทางมายังเวียดนามเหนือพร้อมกับน้องหมูผู้น่าฮัก ซึ่งขนาดก่อนหน้านี้พาไปลำบากตรากตรำกันมาหลายประเทศก็ยังไม่เข็ด(ฮาาาาาา) เลยจะขอมาเล่าประสบการณ์ที่ได้รับมาในทริปนี้ให้ผู้ที่หลงทางและหลวมตัวหลุดเข้ามาในกระทู้นี้ได้อ่านและร่วมบันเทิงไปด้วยกัน
หวังว่ากระทู้รีวิวนี้จะเป็นประโยชน์แก่ทุกท่านที่กำลังหาข้อมูลในการเดินทางไปเที่ยวเวียดนามเหนือด้วยตัวเองไม่น้อยก็น้อยมาก เอาเป็นว่าทำตรงข้ามกับกระทู้นี้แล้วรับรองรอดปลอดภัยตลอดการเดินทาง เอ๊า!!!!! หยอกๆๆ
เตรียมตัวก่อนเดินทาง
SIM Internet
จำเป็นอย่างยิ่งยวดประหนึ่งสิ่งของมงคลที่คู่ควรแก่การติดตัวไว้ ประเทศอื่นท่านอาจจะไปไถๆถามคนพื้นเมือง หรือเดินไปเรื่อยๆ อาศัยป้ายบอกทางเอาหน้างาน แต่สำหรับประเทศเวียดนามนั้น อย่าาาาาาาา เด็ดขาด ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญมากๆและทุกอย่างในประเทศนี้สามารถเปลี่ยนจากสวรรค์เป็นขุมนรกได้แบบไม่ส่งสัญญาณเตือนใดๆ ทั้งสิ้น และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับกรณีเรียกรถผ่าน Grab เพื่อตัดปัญหาการเล่นตุกติกของแท็กซี่และมอเตอร์ไซด์รับจ้าง อีกทั้งป้ายบอกทางต่างๆไม่เป็นมิตรกับชาวต่างชาติมากๆ และผมแนะนำให้โหลดแผนที่ Off line ติดเครื่องไว้กันเหนียวจะดีมาก
การเดินทางข้ามจังหวัด (ระหว่าง HANOI และ SAPA)
Sapa สถานที่สุดฮิตสำหรับคนไทยและน่าจะเป็นเป้าหมายหลักของผู้ที่เดินทางมายังเวียดนามเหนือนั้น อนิจจา การมาซาปาไม่สามารบินตรงจากเมืองไทยมาได้ จำเป็นจะต้องเดินทางด้วยยานพาหนะทางบกมาเท่านั้น
โดยการเดินทางระหว่างสองจังหวัด หลักๆ มีอยู่ด้วยกันสองวิธี คือ
2.1 รถไฟ
ข้อดี
- น่าจะ (ย้ำว่า น่าจะ) สะดวกสบายและมีความเป็นส่วนตัวมากกว่ารถบัส (อันนี้รอผู้มีประสบการณ์มาเล่าให้ฟังดีกว่าครับ เพราะตัวผมเดินทางมาสองครั้ง ไม่เคยนั่งรถไฟเลย)
ข้อเสีย
- มีราคาแพงกว่าเดินทางด้วยรถบัส (เกือบสองเท่า)
- สถานีรถไฟปลายทางอยู่ที่ใกล้ซาปาที่สุดอยู่ที่สถานี เลาไค ซึ่งต้องขึ้นรถต่อเข้ามาที่เมืองซาปาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง
2.2 รถบัส
รถบัสนอน VIP อีกหนึ่งทางเลือกหลักๆของนักเดินทาง และเป็นวิธีการเดินทางที่ผมเลือกในครั้งนี้
ข้อดี
-มีราคาถูกกว่ารถไฟครึ่งต่อครึ่ง
-มีตารางเวลาออกเดินทางต่อวันที่ค่อนข้างหลายรอบมากกว่า ยืดหยุ่นมากๆ
-มีรถบัสวิ่งข้ามคืน โดยรอบที่ดึกสุดอยู่ที่สามทุ่มครึ่งถึงสี่ทุ่ม และจะไปถึงซาปาตอนเเช้ามืดพอดี ลดค่าใช้จ่ายโรงแรมไปได้หนึ่งคืน
-เดินทางถึงตัวเมืองซาปาแบบจุ่มไปตรงกลาง ไม่ต้องต่อรถเหมือนอย่างรถไฟสามารถเที่ยวต่อได้เลย
-สามารถขึ้นรถบัสไปซาปาจากสนามบินนอยไบได้เลย
ข้อเสีย
-ข้างในจะนอนรวมเรียงกันเป็นตับๆแบบรถขนส่งกำลังพลทหาร ฉะนั้นตัดเรื่องความเป็นส่วนตัวไปได้เลย เหมือนย้อนเวลากลับไปเป็นทหารเกณฑ์
-ใครที่เคยดูรีวิวรถไฟนอนแบบไพรเวทแล้วคาดหวังว่า “บร๊ะ กับรถบัสไพรเวทมันคงไม่ต่างกันหรอกมั้ง โฮ่ๆๆ” คิดผิดแล้วล่ะไอ้หนุ่ม บัสไพรเวทคือกล่องเล็กๆที่ถูกยัดใส่ไปในรถบัสแบบแคบขั้นสุด
-ใครที่มีความสูงเกิน 180 cm (เช่นผม) มันคือหายนะ ผมไม่สามารถเหยียดขาบนเตียงได้เลย บ้าเอ๊ย ดันเกิดมามีความสูงเกินกว่าค่าเฉลี่ย นี่คนหรือปลาทูในเข่งเอาดีๆ
-หายนะทางกลิ่น ทุกคนที่ขึ้นรถบัสต้องถอดรองเท้าตัวเองใส่ถุงพลาสติกหิ้วขึ้นไปนอนกอดด้วย
มันคือความเท่าเทียมแห่งสากล ไม่ว่าคุณจะมาจากประเทศไหน หรือดูแลสุภาพเท้าคุณมาดีแค่ไหน แต่ถ้าเพื่อนร่วมรถมีนักฆ่าผู้เชี่ยวชาญด้านกลิ่นขึ้นมาด้วยล่ะก็คือหายนะร่วม!!!!!!
APP Klook
การจองรถบัสสามารถจองได้หลายช่องทาง เช่น เว็ปของบริษัททัวร์โดยตรงหรือผ่านผู้ให้บริการซึ่งเป็นตัวกลาง อย่างเคสนี้ผมใช้บริการของ APP Klook ซึ่งค่อนข้างจะใช้ง่ายและมีราคาใกล้เคียงกับจองตรงกับบริษัทแถมยังมีโค้ดส่วนลดที่ปล่อยออกมาเป็นช่วงๆ ผมได้จัดการจองรถบัสทั้งขาไปและขากลับฮานอย-ซาปา พร้อมจ่ายเงินโดยตัดผ่านบัตรเครดิตไปเรียบร้อยตั้งแต่อยู่ไทยสบายใจไปได้อีกหนึ่งเรื่อง เป็นคนรอบคอบก็อย่างงี้แหละ
.
.
.
.
และใช่ครับ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นผมก็ทำงานไปพลาง แอบวางแผนเที่ยวในเวลางานไปพลาง จนกระทั่งวันก่อนออกเดินทางหนึ่งวันผมเริ่มสังเกตุได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง
.
.
.
ทำไมใน APP Klook รถบัสขากลับมันยังขึ้นเป็นรอดำเนินการหว่า อ่า คงไม่มีอะไรมั้ง เดี๋ยวลองเมลล์ไปถามเพื่อยืนยันหน่อยละกัน
.
.
.
.
อ๋อ โอเคๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่รถขากลับแบบที่นอนไพรเวทมันเต็มนี่เอง โถ่ ใจหายใจคว่ำหมด
.
.
.
.
.
ไม่ใหญ่ก็บ้าแล้วไอ้หนุ่ม!!!! นี่ถ้าไม่เมลล์ไปถามพวกเจ้าก็จะไม่บอกอะไรปล่อยให้ไป Surprise MTFK เอาหน้างานเลยเรอะ!!!!!
.
.
.
และนี่ทำให้เวลาช่วงเช้าก่อนผมออกเดินทางแทนที่จะได้นอนตีพุงเตรียมออกเดินทางอย่างที่ได้วางแผนไว้ แต่กลับต้องมาทุ่มพลังงานชีวิตและพลังงานสมองทั้งหมดเพื่อที่จะจองรถบัสขากลับจาก SAPA มา HANOI ด้วยจิตวิญญาณทั้งหมดที่มี บ้าเอ๊ย
Trip Hanoi Sapa ninbinh
9 ธันวาคม 2565 - 14 ธันวาคม 2565 6 วัน 5 คืน
9/12/2565 THAI => HANOI
10/12/2565 HANOI
11/12/2565 SAPA
12/12/2565 SAPA
13/12/2565 NINBINH
14/12/2565 HANOI => THAI
วันที่ 1 (09/12/2565) กรุงเทพ == > Hanoi
การเดินทางของพวกเรา เลือกเที่ยวบินจากสนามบินดอนเมือง และไปถึงสนามบิน NOIBAI ( สายการบิน Air asia มีเที่ยวบินจากดอนเมืองไปฮานอย 2 เที่ยวต่อวัน เช้ากับกลางคืน) โดยเที่ยวบินที่ผมเลือกเป็นเที่ยวบินหัวค่ำ จะเดินทางมาถึงที่สนามบินนอยไบประมาณ 20.20 น. หลายๆคนอาจจะคิดว่าทำไมถึงเลือกเวลาเดินทางเวลานี้ แทนที่จะเดินทางตอนเช้าจะได้มีเวลาเที่ยวเล่นในเมืองก่อน และใช่ครับ เหตุผลนั้นได้ผ่านการไตร่ตรองมาแล้ว
สาเหตุ นั้นก็คือ ……………
มันถูกที่สุดยังไงล่ะ!!!!!
หลังจากผ่านตม.มาได้ผมกับน้องหมูวก็เดินจูงมือกันก้าวขาออกมาจากประตูสนามบินเพื่อเดินทางเข้าเมือง ประตูบานเลื่อนสนามบินได้เปิดออกเป็นสัญญาณในการเริ่มต้นการเดินทาง ณ บัดนี้ ผ่ามมมมม
“ซรึ่ม…”
ลมเย็นยะเยือกภายนอกสนามบินได้ปะทะเข้ากับร่างของผมจนหน้าสะบัด…………..
นี่มัน…..
หนาวจัดจั๊ด……..
หนาวเกินห้ามใจ……..
ย้อนกลับไปก่อนที่จะเริ่มเดินทาง
ผม : “ไม่ต้องห่วงนะน้องหมู ชั้นเคยไปเวียดนามเหนือมาแล้วเมื่อ 5 ปีก่อน คนมันมีประสบการณ์อะไอ้น้อง เชื่อพี่ เครื่องแต่งกายนี่เสื้อยืดเกงยีนส์รองเท้าแตะก็หวานเจี๊ยบ อยู่ได้ยันจบทริป เอาเสื้อกันหนาวไปเผื่อตัวนึงตอนอยู่บนซาปาก็พอ โหะๆ ”
แย่ละ ==
ชิบผาย แล้วพูดไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้ามั่นใจจัดๆ อยากจะนั่งไทม์แมชชีนย้อนไปตีปากตัวเอง
เข้มแข็งสิฟะ เท้าของฉัน ถึงจะมีแค่รองเท้าแตะทรงหุ้มข้อก็เถอะ
การเดินทางจากสนามบินไปยังตัวเมืองฮานอย
หลังจากที่เราเดินทางออกมาจาก ตม. ได้แล้ว ออกจากประตูสนามบินมาให้สังเกตุทางด้านซ้ายมือ ตามที่อ่านมาจะมีรถโดยบัสโดยสารเข้าเมืองหมายเลข 86 อยู่
ใช่ หมายเลข 86 ……………………….ไม่มีโง้ยยยยย
บะ บะ บ้าน่า แล้วโม้ไปซะเยอะว่าเคยมาก่อน "ฝากชีวิตไว้กับฉันได้เลยน้องหมู"
ท่ามกลางความเลิ่กลั่กและแค้นตัวเองในอดีตที่โม้ไว้แน่นจัดๆ นั้น
เสียงปริศนา : “bus to city!!!”
ผมหันหลังไปตามเสียงนั้น ก็พบกับรถบัสหนึ่งคันที่จอดรอไว้อยู่แต่ผมเข้าใจว่ายังไงก็ไม่ใช่คันนี้แน่ๆ หลังจากที่ผมยืนส่งสายตาที่มองมาตั้งแต่บนยอดเขา ก็รู้ว่าสิ้นหวังไปให้พนักงานที่ส่งเสียกเรียกมานั้น
พนักงานรถบัส : “bus number 86.”
เอาจิ๊งงงงง สรุปแล้วคันนี้มันใช่เบอร์ 86 รึเปล่าฟะเนี่ย
(จากตรงนี้ผมกลับมาอ่านทีหลังว่าเป็นรถบัสเข้าเมืองของสายการบินครับ แต่ถึงแม้เราจะไม่ได้บินกับสายการบินนั้นๆก็สามารถขึ้นรถบัสเข้าเมืองได้)
BUS
รถบัสที่เราจะฝากชีวิตและฝากศักดิ์ศรีที่โม้เอาไว้แน่นๆก่อนหน้า มีสนนราคาค่าโดยสารคนละ 50 kVND ใช้เวลาเดินทางจากตัวสนามบินไปจนถึงทะเลสาบหว่านเกี๋ยมประมาณ 45 - 50 นาที และคีย์หลักของการเดินทางเข้าเมืองในครั้งนี้คือการแจ้งคนขับว่าเราต้องการจะไปลงทีไ่หน อย่างเคสผมพนักงานจะเอาแผนที่กระดาษมาให้ดูและให้เราชี้ว่าเราพักอยู่โรงแรมไหน และพนักงานจะเป็นคนที่เรียกเราให้ลงณจุดที่ใกล้ที่สุดให้
ทางเลือกอื่นในการเดินทางเข้าเมืองด้วยรถเมลล์ท้องถิ่น
ทางเลือกในการเดินทางเข้าตัวเมืองยังมีอีกหลายวิธี เช่น นั่งรถเมลล์ท้องถิ่นซึ่งราคาถูกกว่ากันเป็นจำนวนหลักเท่าตัว เช่น รถเมลล์สาย 8 มีค่าโดยสารแค่ 8 kVND เท่านั้น แต่ ผมก็ไม่แนะนำให้นั่งรถเมล์ท้องถิ่นเข้าตัวเมืองอยู่ดีเพราะจำนวนป้ายที่จอดมีหลายป้ายมากๆ ตามข้อมูลที่อ่านจากเว็ปต่างชาติเวลานั้นต่างกันเยอะในระดับนึง ดูจะคุ้มค่ามากกว่าถ้ายอมจ่ายเพิ่มแต่ลดระยะเวลาในการเดินทางให้สั้นลง
การขับขี่บนถนนของประเทศเวียดนามจะขัดกับความเคยชินกับของคนไทย นั่นคือจะขับชิดขวาแทนที่จะขับชิดซ้าย (พวงมาลัยของรถจะอยู่ทางด้านซ้าย) ซึ่งตรงนี้เป็นอีกข้อควรระวังหนึ่งในการเช่ารถมอเตอไซด์หรือรถยนต์เที่ยวเอง และด้วยอาจเป็นเพราะในขณะที่ผมนั่งรถเข้าเมืองนั้นเวลาประมาณ 3ทุ่มกว่าแล้ว ทำให้เสียงแตรซึ่งเหมือนเป็นสัญลักษ์ของเวียดนามกลับเบาบางลงมากเมื่อเทียบกับห้าปีที่แล้ว แต่การขับซ้อกแซ้กลอดช่องน่าหวาดเสียวของมอเตอร์ไซด์นั้นยังเป็นระดับตำนาน และเมื่อถึงที่หมาย คนขับรถก็ได้ตะโกนเรียกพวกผมเพื่อลงรถและเดินต่อไปอีกนิดหน่อยก็จะถึงที่พักในคืนแรกกัน
[CR] แบกเป้เที่ยวเวียดนามเหนือ 6 วัน 5 คืน ฮานอย ซาปา นิงห์บิงห์ เดือนธันวาคม ในวันหนาวเจี๊ยบ
หวังว่ากระทู้รีวิวนี้จะเป็นประโยชน์แก่ทุกท่านที่กำลังหาข้อมูลในการเดินทางไปเที่ยวเวียดนามเหนือด้วยตัวเองไม่น้อยก็น้อยมาก เอาเป็นว่าทำตรงข้ามกับกระทู้นี้แล้วรับรองรอดปลอดภัยตลอดการเดินทาง เอ๊า!!!!! หยอกๆๆ
เตรียมตัวก่อนเดินทาง
SIM Internet
จำเป็นอย่างยิ่งยวดประหนึ่งสิ่งของมงคลที่คู่ควรแก่การติดตัวไว้ ประเทศอื่นท่านอาจจะไปไถๆถามคนพื้นเมือง หรือเดินไปเรื่อยๆ อาศัยป้ายบอกทางเอาหน้างาน แต่สำหรับประเทศเวียดนามนั้น อย่าาาาาาาา เด็ดขาด ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญมากๆและทุกอย่างในประเทศนี้สามารถเปลี่ยนจากสวรรค์เป็นขุมนรกได้แบบไม่ส่งสัญญาณเตือนใดๆ ทั้งสิ้น และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับกรณีเรียกรถผ่าน Grab เพื่อตัดปัญหาการเล่นตุกติกของแท็กซี่และมอเตอร์ไซด์รับจ้าง อีกทั้งป้ายบอกทางต่างๆไม่เป็นมิตรกับชาวต่างชาติมากๆ และผมแนะนำให้โหลดแผนที่ Off line ติดเครื่องไว้กันเหนียวจะดีมาก
การเดินทางข้ามจังหวัด (ระหว่าง HANOI และ SAPA)
Sapa สถานที่สุดฮิตสำหรับคนไทยและน่าจะเป็นเป้าหมายหลักของผู้ที่เดินทางมายังเวียดนามเหนือนั้น อนิจจา การมาซาปาไม่สามารบินตรงจากเมืองไทยมาได้ จำเป็นจะต้องเดินทางด้วยยานพาหนะทางบกมาเท่านั้น
โดยการเดินทางระหว่างสองจังหวัด หลักๆ มีอยู่ด้วยกันสองวิธี คือ
2.1 รถไฟ
ข้อดี
- น่าจะ (ย้ำว่า น่าจะ) สะดวกสบายและมีความเป็นส่วนตัวมากกว่ารถบัส (อันนี้รอผู้มีประสบการณ์มาเล่าให้ฟังดีกว่าครับ เพราะตัวผมเดินทางมาสองครั้ง ไม่เคยนั่งรถไฟเลย)
ข้อเสีย
- มีราคาแพงกว่าเดินทางด้วยรถบัส (เกือบสองเท่า)
- สถานีรถไฟปลายทางอยู่ที่ใกล้ซาปาที่สุดอยู่ที่สถานี เลาไค ซึ่งต้องขึ้นรถต่อเข้ามาที่เมืองซาปาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง
2.2 รถบัส
รถบัสนอน VIP อีกหนึ่งทางเลือกหลักๆของนักเดินทาง และเป็นวิธีการเดินทางที่ผมเลือกในครั้งนี้
ข้อดี
-มีราคาถูกกว่ารถไฟครึ่งต่อครึ่ง
-มีตารางเวลาออกเดินทางต่อวันที่ค่อนข้างหลายรอบมากกว่า ยืดหยุ่นมากๆ
-มีรถบัสวิ่งข้ามคืน โดยรอบที่ดึกสุดอยู่ที่สามทุ่มครึ่งถึงสี่ทุ่ม และจะไปถึงซาปาตอนเเช้ามืดพอดี ลดค่าใช้จ่ายโรงแรมไปได้หนึ่งคืน
-เดินทางถึงตัวเมืองซาปาแบบจุ่มไปตรงกลาง ไม่ต้องต่อรถเหมือนอย่างรถไฟสามารถเที่ยวต่อได้เลย
-สามารถขึ้นรถบัสไปซาปาจากสนามบินนอยไบได้เลย
ข้อเสีย
-ข้างในจะนอนรวมเรียงกันเป็นตับๆแบบรถขนส่งกำลังพลทหาร ฉะนั้นตัดเรื่องความเป็นส่วนตัวไปได้เลย เหมือนย้อนเวลากลับไปเป็นทหารเกณฑ์
-ใครที่เคยดูรีวิวรถไฟนอนแบบไพรเวทแล้วคาดหวังว่า “บร๊ะ กับรถบัสไพรเวทมันคงไม่ต่างกันหรอกมั้ง โฮ่ๆๆ” คิดผิดแล้วล่ะไอ้หนุ่ม บัสไพรเวทคือกล่องเล็กๆที่ถูกยัดใส่ไปในรถบัสแบบแคบขั้นสุด
-ใครที่มีความสูงเกิน 180 cm (เช่นผม) มันคือหายนะ ผมไม่สามารถเหยียดขาบนเตียงได้เลย บ้าเอ๊ย ดันเกิดมามีความสูงเกินกว่าค่าเฉลี่ย นี่คนหรือปลาทูในเข่งเอาดีๆ
-หายนะทางกลิ่น ทุกคนที่ขึ้นรถบัสต้องถอดรองเท้าตัวเองใส่ถุงพลาสติกหิ้วขึ้นไปนอนกอดด้วย
มันคือความเท่าเทียมแห่งสากล ไม่ว่าคุณจะมาจากประเทศไหน หรือดูแลสุภาพเท้าคุณมาดีแค่ไหน แต่ถ้าเพื่อนร่วมรถมีนักฆ่าผู้เชี่ยวชาญด้านกลิ่นขึ้นมาด้วยล่ะก็คือหายนะร่วม!!!!!!
.
.
.
.
และใช่ครับ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นผมก็ทำงานไปพลาง แอบวางแผนเที่ยวในเวลางานไปพลาง จนกระทั่งวันก่อนออกเดินทางหนึ่งวันผมเริ่มสังเกตุได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง
.
.
.
ทำไมใน APP Klook รถบัสขากลับมันยังขึ้นเป็นรอดำเนินการหว่า อ่า คงไม่มีอะไรมั้ง เดี๋ยวลองเมลล์ไปถามเพื่อยืนยันหน่อยละกัน
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ไม่ใหญ่ก็บ้าแล้วไอ้หนุ่ม!!!! นี่ถ้าไม่เมลล์ไปถามพวกเจ้าก็จะไม่บอกอะไรปล่อยให้ไป Surprise MTFK เอาหน้างานเลยเรอะ!!!!!
.
.
.
และนี่ทำให้เวลาช่วงเช้าก่อนผมออกเดินทางแทนที่จะได้นอนตีพุงเตรียมออกเดินทางอย่างที่ได้วางแผนไว้ แต่กลับต้องมาทุ่มพลังงานชีวิตและพลังงานสมองทั้งหมดเพื่อที่จะจองรถบัสขากลับจาก SAPA มา HANOI ด้วยจิตวิญญาณทั้งหมดที่มี บ้าเอ๊ย
Trip Hanoi Sapa ninbinh
9 ธันวาคม 2565 - 14 ธันวาคม 2565 6 วัน 5 คืน
9/12/2565 THAI => HANOI
10/12/2565 HANOI
11/12/2565 SAPA
12/12/2565 SAPA
13/12/2565 NINBINH
14/12/2565 HANOI => THAI
สาเหตุ นั้นก็คือ ……………
มันถูกที่สุดยังไงล่ะ!!!!!
หลังจากผ่านตม.มาได้ผมกับน้องหมูวก็เดินจูงมือกันก้าวขาออกมาจากประตูสนามบินเพื่อเดินทางเข้าเมือง ประตูบานเลื่อนสนามบินได้เปิดออกเป็นสัญญาณในการเริ่มต้นการเดินทาง ณ บัดนี้ ผ่ามมมมม
“ซรึ่ม…”
ลมเย็นยะเยือกภายนอกสนามบินได้ปะทะเข้ากับร่างของผมจนหน้าสะบัด…………..
นี่มัน…..
หนาวจัดจั๊ด……..
หนาวเกินห้ามใจ……..
ย้อนกลับไปก่อนที่จะเริ่มเดินทาง
ผม : “ไม่ต้องห่วงนะน้องหมู ชั้นเคยไปเวียดนามเหนือมาแล้วเมื่อ 5 ปีก่อน คนมันมีประสบการณ์อะไอ้น้อง เชื่อพี่ เครื่องแต่งกายนี่เสื้อยืดเกงยีนส์รองเท้าแตะก็หวานเจี๊ยบ อยู่ได้ยันจบทริป เอาเสื้อกันหนาวไปเผื่อตัวนึงตอนอยู่บนซาปาก็พอ โหะๆ ”
แย่ละ ==
ชิบผาย แล้วพูดไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้ามั่นใจจัดๆ อยากจะนั่งไทม์แมชชีนย้อนไปตีปากตัวเอง
เข้มแข็งสิฟะ เท้าของฉัน ถึงจะมีแค่รองเท้าแตะทรงหุ้มข้อก็เถอะ
ใช่ หมายเลข 86 ……………………….ไม่มีโง้ยยยยย
บะ บะ บ้าน่า แล้วโม้ไปซะเยอะว่าเคยมาก่อน "ฝากชีวิตไว้กับฉันได้เลยน้องหมู"
ท่ามกลางความเลิ่กลั่กและแค้นตัวเองในอดีตที่โม้ไว้แน่นจัดๆ นั้น
เสียงปริศนา : “bus to city!!!”
ผมหันหลังไปตามเสียงนั้น ก็พบกับรถบัสหนึ่งคันที่จอดรอไว้อยู่แต่ผมเข้าใจว่ายังไงก็ไม่ใช่คันนี้แน่ๆ หลังจากที่ผมยืนส่งสายตาที่มองมาตั้งแต่บนยอดเขา ก็รู้ว่าสิ้นหวังไปให้พนักงานที่ส่งเสียกเรียกมานั้น
พนักงานรถบัส : “bus number 86.”
เอาจิ๊งงงงง สรุปแล้วคันนี้มันใช่เบอร์ 86 รึเปล่าฟะเนี่ย
(จากตรงนี้ผมกลับมาอ่านทีหลังว่าเป็นรถบัสเข้าเมืองของสายการบินครับ แต่ถึงแม้เราจะไม่ได้บินกับสายการบินนั้นๆก็สามารถขึ้นรถบัสเข้าเมืองได้)
การขับขี่บนถนนของประเทศเวียดนามจะขัดกับความเคยชินกับของคนไทย นั่นคือจะขับชิดขวาแทนที่จะขับชิดซ้าย (พวงมาลัยของรถจะอยู่ทางด้านซ้าย) ซึ่งตรงนี้เป็นอีกข้อควรระวังหนึ่งในการเช่ารถมอเตอไซด์หรือรถยนต์เที่ยวเอง และด้วยอาจเป็นเพราะในขณะที่ผมนั่งรถเข้าเมืองนั้นเวลาประมาณ 3ทุ่มกว่าแล้ว ทำให้เสียงแตรซึ่งเหมือนเป็นสัญลักษ์ของเวียดนามกลับเบาบางลงมากเมื่อเทียบกับห้าปีที่แล้ว แต่การขับซ้อกแซ้กลอดช่องน่าหวาดเสียวของมอเตอร์ไซด์นั้นยังเป็นระดับตำนาน และเมื่อถึงที่หมาย คนขับรถก็ได้ตะโกนเรียกพวกผมเพื่อลงรถและเดินต่อไปอีกนิดหน่อยก็จะถึงที่พักในคืนแรกกัน
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้