เจ้าของบริษัทเป็นผู้หญิง แล้วดีกับเรามากๆเลยค่ะ ตอนเราป่วยเขาก็เป็นคนเดียวที่ไปเยี่ยมเราที่รพ. ถามไถ่ชีวิตตลอด เวลาทำบุญเขาก็จะนึกถึงเรา ให้เราอนุโมทนาบุญกับทุกบุญที่เขาทำ งานไหนที่เราไม่ได้ เขาก็จะให้คำปรึกษาและสอนเราเอง พวกชุดทำงานต่างๆ ที่พนักงานต้องซื้อ เขาก็จัดการซื้อให้เราคนเดียว และเขายังเป็นเจ้าภาพบวชให้กับแฟนเราอีกด้วย
แต่ที่เราอยากลาออก เพราะ 1) ที่ทำงานไกลจากบ้าน ประมาณ 40 กม. แล้วเราต้องตื่นแต่เช้าขับรถไปทำงาน มันทำให้เหนื่อยมากๆ
2) งานที่ทำค่อนข้างกินเวลาชีวิตเรามากๆ ต้องไปถึงที่ทำงานก่อน 7:30 เลิกงาน 16:30 บางวันก็เลิกช้าเพราะมีประชุม ซึ่งก็ได้เงินเดือนเท่าเดิม
3) เงินเดือนที่ได้ไม่พอใช้เลย ทั้งๆที่เราไม่มีหนี้อะไร แต่เงินเดือนที่ได้หลักหมื่นนิดๆ ไม่พอใช้จ่ายในชีวิตและค่าน้ำมัน พอกินแต่ไม่พอเก็บ
4) เพื่อนร่วมงานแต่ละคนอายุห่างกับเรามาก แต่ละคนขี้หงุดหงิด ขี้บ่น บางทีก็บึ้งตึงใส่เรา ถามงานอะไรก็ไม่ค่อยจะตอบ
5) งานค่อนข้างหนัก เงินเดือนน้อย
ใจอยากลาออกทุกวัน แต่ไปขอลาออกแล้วครั้งหนึ่ง เจ้าของบริษัทบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมให้ลาออกสักที เราอยากออกมาดูแลสุขภาพตัวเอง เพราะตั้งแต่ทำงานสุขภาพก็แย่ลงเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ
สัปดาห์หน้า เราจะไปขอลาออกอีกรอบ จึงอยากขอคำแนะนำจากทุกคน ว่าควรพูดประมาณไหนดี ถึงจะรักษาน้ำใจและมิตรภาพที่ดีไว้
อยากลาออกจากที่ทำงาน แต่เกรงใจเจ้าของบริษัทที่ดีกับเรามาตลอด
แต่ที่เราอยากลาออก เพราะ 1) ที่ทำงานไกลจากบ้าน ประมาณ 40 กม. แล้วเราต้องตื่นแต่เช้าขับรถไปทำงาน มันทำให้เหนื่อยมากๆ
2) งานที่ทำค่อนข้างกินเวลาชีวิตเรามากๆ ต้องไปถึงที่ทำงานก่อน 7:30 เลิกงาน 16:30 บางวันก็เลิกช้าเพราะมีประชุม ซึ่งก็ได้เงินเดือนเท่าเดิม
3) เงินเดือนที่ได้ไม่พอใช้เลย ทั้งๆที่เราไม่มีหนี้อะไร แต่เงินเดือนที่ได้หลักหมื่นนิดๆ ไม่พอใช้จ่ายในชีวิตและค่าน้ำมัน พอกินแต่ไม่พอเก็บ
4) เพื่อนร่วมงานแต่ละคนอายุห่างกับเรามาก แต่ละคนขี้หงุดหงิด ขี้บ่น บางทีก็บึ้งตึงใส่เรา ถามงานอะไรก็ไม่ค่อยจะตอบ
5) งานค่อนข้างหนัก เงินเดือนน้อย
ใจอยากลาออกทุกวัน แต่ไปขอลาออกแล้วครั้งหนึ่ง เจ้าของบริษัทบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมให้ลาออกสักที เราอยากออกมาดูแลสุขภาพตัวเอง เพราะตั้งแต่ทำงานสุขภาพก็แย่ลงเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ
สัปดาห์หน้า เราจะไปขอลาออกอีกรอบ จึงอยากขอคำแนะนำจากทุกคน ว่าควรพูดประมาณไหนดี ถึงจะรักษาน้ำใจและมิตรภาพที่ดีไว้