เห็นนิมิต เห็นอดีต เห็นอนาคต เห็นกฎแห่งกรรม ภาค 24

กระทู้นี้เราขอเล่าเรื่องราว นิมิต ที่เราคิดว่าค่อนข้างจะออกไปไกลนอกโลกหน่อยนะคะ แต่สำหรับเราแล้วเราคิดว่ามันไม่ค่อยไกลเท่าไหร่และเห็นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะธรรมดาสำหรับเราไปแล้ว

แต่สำหรับคนอื่นๆ เราอยากให้ใช้วิจารณญาณ ใช้การคิด วิเคราะห์ พิจารณาให้มากๆ ในทุกๆเรื่องที่เราเล่า รวมทั้งเรื่องราวในการดำเนินชีวิตของตัวคุณเองด้วย ว่าทุกๆอย่าง มันมีความน่าจะเป็นเป็นได้มากน้อยแค่ไหน ตามหลักการและเหตุผล

ช่วงก่อนปีใหม่ที่ผ่านมา เราเกิดอาการที่อยู่ในสภาวะจิตอย่างนึง และเราก็ได้ติดต่อไปหาพระอาจารย์ที่ศูนย์ที่เราเคยฝึกปฎิบัติธรรมกรรมฐานที่นั่น เพื่อบอกเล่าอาการของเราเพื่อขอให้ท่านช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ

ซึ่งท่านยังไม่ได้ตอบอะไรหรือแนะนำอะไรเรากลับมาเลย แต่เราไปได้คำตอบด้วยตัวเองจากการไปดูคลิปวีดีโอบรรยายธรรมของท่านจากในเฟสบุ๊คของทางศูนย์ และคำตอบที่ได้ก็คือ คำตอบที่เรารู้อยู่แล้วและเห็นมาตลอดรู้มาตลอดและปฎิบัติมาตลอด

คือมันเป็นแค่สภาวะนึง ที่เหมือนๆกับสภาวะอื่นๆที่เราเคยเจอ เมื่อมันเกิดขึ้น มันก็ตั้งอยู่ขณะนึง แล้วมันก็ดับไปเองในที่สุด เราทำได้ก็แค่ตามดู ตามรู้ ตามสภาวะที่มันเกิดขึ้นเท่านั้นเอง

ซึ่งตอนที่เราได้ตามดู ตามรู้มันนี่แหละที่ทำให้เราเกือบจะเป็นบ้า สติแตก ไปให้ได้ใน ณ ตอนนั้น ซึ่งสภาวะที่เกิดขึ้นกับเรามันก็ไม่ใช่อะไรใหม่ มันก็เคยเกิดขึ้นกับเรามาก่อนแล้วในตอนที่เรานั่งสมาธิฝึกปฎิบัติธรรมกรรมฐานอยู่ที่ศูนย์มาตลอดทุกครั้ง

และตอนที่เรามาเริ่มเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนการกระทำ ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ตามดูตามรู้อาการ อารมณ์ของเราให้ทันในปัจจุบันเช่นเดียวกัน ซึ่งสภาวะจิตที่เกิดขึ้นกับเรามาตลอดคือ เราได้รู้ ได้เห็น เหตุปัจจัยการเกิดขึ้น การเป็นไป ของสิ่งต่างๆ

ที่ในบางเรื่องมันเป็นแค่เรื่องที่เล็กมาก ใกล้ตัวเรามาก และเราประสบพบเจออยู่เป็นประจำทุกวัน ทุกเวลา ที่เราดำเนินชีวิตอยู่ในทุกๆวัน แต่เราไม่เคยสังเกต ไม่เคยสนใจ ไม่เคยให้ความสำคัญ แต่เรากลับได้รู้ ได้เห็น เพิ่งจะสังเกตเห็นและเข้าถึงสิ่งเหล่านั้น เข้าถึงว่ามัน ใช่ มันเป็นจริงตามนั้น

แต่ก่อนหน้านั้นสิ่งที่เราได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจ ได้เข้าถึง และได้สังเกตเห็นว่ามันเป็นจริงตามนั้น เราจะค่อยๆรู้ ค่อยเห็นๆ ค่อยๆเข้าถึง ค่อยๆสังเกตเห็นไปทีละเรื่อง ทีละอย่าง และค่อยๆคิดตามได้ว่า มันเป็นจริงตามนั้นและยอมรับความจริงตรงนั้นได้เอง

ซึ่งสภาวะจิตที่เกิดขึ้นกับเราในตอนนั้นก็เหมือนๆกัน แต่ต่างกันที่ว่า แทนที่เราจะค่อยๆรู้ ค่อยๆเห็น ค่อยๆสังเกต ค่อยๆเข้าถึง และค่อยๆยอมรับความจริงของสิ่งเหล่านั้นได้ไปทีละเรื่อง ทีละอย่าง

มันกลับกลายเป็นว่า หลายๆเรื่องหลายๆอย่างหลายๆสิ่ง มันเข้ามาให้เราได้ตามรู้ ได้ตามเห็น ตามสังเกตและทำให้เราเข้าถึงความจริงเกี่ยวกับสิ่งต่างๆเหล่านั้น ทำให้เราต้องตั้งสติ สังเกต และต้องยอมรับความจริงให้ได้ในหลายๆเรื่องพร้อมกันในเวลาเดียวกัน

ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นกับเรามาก่อนเลย นั่นทำให้เราเกือบเป็นบ้า สติแตก กับช่วงเวลานั้นที่เกิดขึ้น มันเป็นเหมือนกับว่า จิตเราเป็นเหมือนคลังความรู้ขนาดใหญ่เทียบได้กับเขื่อนที่มีน้ำอยู่เต็มเปี่ยม

และน้ำที่เราเอาออกมาใช้ดื่ม ใช้กิน ใช้อาบ ใช้ประโยชน์ต่างๆในการดำเนินชีวิตของแต่ละคนมันมากน้อยไม่เท่ากัน บางคนได้รับน้ำเอามาใช้ประโยชน์แค่จากรูรั่วเล็กๆของเขื่อนเท่านั้น และคิดว่าพอเพียงแล้วในการดำเนินชีวิต

แต่บางคนที่สังเกตเห็นน้ำที่ออกมาจากเขื่อนก็คิดหาวิธีที่จะทำให้ได้น้ำจากเขื่อนออกมาใช้ประโยชน์ไห้มากขึ้น ก็พยายามทำให้รูรั่วเล็กๆนั้นกว้างขึ้น ทำให้น้ำไหลแรงขึ้น 

แต่ยิ่งรูรั่วมันกว้างขึ้นเท่าไร น้ำก็ยิ่งไหลแรงขึ้นเท่านั้น เพราะแรงดันน้ำก็มากขึ้นเช่นกัน สิ่งที่คนนอกเขื่อนอย่างเราต้องเตรียมรับมือก็คือ ต้องหาภาชนะมารองรับน้ำที่ใหญ่ขึ้น มากขึ้น เยอะขึ้น และต้องแข็งแรงพอที่จะไม่แตก ไม่หักง่ายเมื่อต้องรับแรงดันจากน้ำที่เพิ่มขึ้น

และอาการสภาวะจิตตอนนั้นของเรา ก็เหมือนกับอาการเขื่อนแตก ที่จู่ๆเราต้องรับแรงดันของน้ำที่อยู่ในนั้นทีเดียวทั้งหมด พร้อมกัน สติเราก็เปรียบเสมือนภาชนะที่คอยรับน้ำและแรงดันจากน้ำ ที่มาจากเขื่อนที่แตกในตอนนั้น

เราคิดว่าการฝึกสติ คือการฝึกให้จิตของเราเข้มแข็ง มั่นคง และแข็งแรงพอที่จะรองรับกับน้ำในเขื่อนที่เปรียบเสมือนความจริง ที่มาที่ไปและความเป็นไปได้ของสิ่งต่างๆที่ถูกธรรมชาติเก็บซ่อนไว้เพื่อคงไว้ซึ่งความสมดุล

เหมือนกับธรรมชาติ ไม่ได้สรรสร้างให้เด็กเล็กๆที่ยังไม่โตพอ ที่ไม่มีความรู้ ไม่แข็งแรงพอที่จะต้องมารับภาระ มาทำงาน มารับอารมณ์ มารับความเครียด และต้องรับผิดชอบ รับรู้อะไรต่อมีอะไร ที่ยิ่งใหญ่เหมือนผู้ใหญ่อย่างเราๆ

เพราะคุณลองคิดดูถ้ามันเกิดอะไรแบบนั้นขึ้นมา มันจะเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และที่แน่ๆ การดำเนินชีวิตเปลี่ยนไป โลกก็จะเสียสมดุล เพราะธรรมชาติของเด็กไม่สามารถถือของที่หนักได้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่