พระถังซัมจั๋งเป็นพระเถระคนสำคัญในประวัติศาสตร์จีน
มีชีวิตอยู่ในช่วง พ.ศ. 1143-1207
ปลายราชวงศ์สุยถึงต้นราชวงศ์ถังอันเป็นยุคทองของจีน
ได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน "สามนักแปลคัมภีร์พุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ของจีน"
ซึ่งได้แก่ พระกุมารชีพ (พ.ศ. 887-956) พระปรมรรถ (พ.ศ. 1042-1112) และพระถังซัมจั๋ง (พ.ศ. 1143-1207)
ท่านเป็นชาวเมืองลั่วหยาง มีนามฆาราวาสว่า เฉินฮุย เสียงแต้จิ๋วว่า ตั้งฮุย (หรือ ฮุย แซ่ตั้ง)
สนใจพุทธศาสนามาแต่เด็ก ผนวชเป็นสามเณรเมื่ออายุ 13 ปี ได้รับสมณฉายาว่า "เสวียนจั้ง"
ออกเสียงง่าย ๆ อย่างลิ้นคนไทยว่า สวนจั้ง หรือเสียนจั้ง ก็ได้
เสียงแต้จิ๋วว่า "เหี้ยนจัง" หมายถึง "รุ่งเรืองด้วยความลึกซึ้ง" ตรงกับภาษาบาลีว่า "คัมภีรวิโรจน์"
หลังจากบวชแล้วท่านศึกษาพุทธศาสตร์กับอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงทั่วจีน เห็นว่าคำอธิบายแตกต่างกัน
จึงตั้งปณิธานไปศึกษาที่อินเดีย แต่กฎหมายไม่อนุญาตให้คนจีนเดินทางออกนอกประเทศ
ท่านจึงต้องไปโดยไม่ขออนุญาตต่อทางการเมื่อ พ.ศ. 1172 (อายุ 29 ปี)
ผ่านอุปสรรคนานัปการแทบเอาชีวิตไม่รอด ผ่านทะเลทรายโกบีที่ร้อนระอุไร้ผู้คน
ปีนป่ายข้ามเทือกเขาฮินดูกูฏอันสูงสูงชันเพียงผู้เดียว จาริกผ่านแคว้นต่าง ๆ นอกแดนจีนและอินเดียนับร้อยแคว้น
ในที่สุดได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทา
ฝากตัวเป็นศิษย์พระศีลภัทรเถระ ศึกษาพุทธศาสนานิกายโยคาจารย์ วิชาตรรกศาสตร์ และอื่น ๆ
ทั้งยังออกจาริกไปทั่วอินเดียเพื่อศึกษาเพิ่มเติม และทัศนศึกษาพุทธศาสนสถานสำคัญ
ท่านแตกฉานภาษาสันสกฤตมากจนเจ้าของภาษายกย่องแต่งคัมภีร์เป็นภาษาสันสกฤตได้ดี
ที่สำคัญคือแตกฉานพุทธศาสตร์มาก
อุษา โลหะจรูญ ผู้เขียนหนังสือ "พระถังซัมจั๋ง : ชีวิตจริงไม่อิงนิยาย" กล่าวว่า
ด้วยความใฝ่ศึกษา "ท่านจึงเป็นพระภิกษุชาวจีนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอินเดียโบราณ
เป็นพระตรีปิฎกาจารย์ผู้มีความรู้แตกฉานทั้งในฝ่ายวิชาของฝ่ายมหายานและสาวกยาน
ได้รับคัดเลือกให้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยขึ้นโต้วาทีธรรม
สร้างชื่อเสียงเกียรติคุณให้แก่สถาบันและประเทศชาติอย่างสมภาคภูมิ
ได้รับสมญานามจากคณะสงฆ์ฝ่ายมหายานว่า มหายานเทวะ’ (Mahāyānadeva)
และ พระโมกษเทวะ (Moksadeva) จากฝ่ายสาวกยาน"
ส่วนสมญา "ตรีปิฎกาจารย์" นั้น หมายถึง "อาจารย์ผู้แตกฉานพระไตรปิฏก"
มหาวิทยาลัยนาลันทาถวายแด่ท่าน เป็นภิกษุต่างชาติรูปเดียวที่ได้รับเกียรตินี้
ต่อมามหาวิทยาลัยนาลันทา (นาลันทาใหม่ซึ่งสร้างแทนมหาวิทยาลัยนาลันทาเดิมที่เสื่อมสูญไป)
ได้ถวายตำแหน่ง "พระตรีปิฎกาจารย์" แก่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต ขณะดำรงสมณศักดิ์เป็นพระธรรมปิฎก)
เป็นภิกษุชาวต่างชาติรูปที่ 2 ที่ได้ รับเกียรติสูงสุดนี้
ด้วยเหตุนี้เมื่อพระภิกษุเสวียนจั้งกลับมาจีนแล้ว
คนนิยมยกย่องเรียกท่านว่า "ซันจั้งฝ่าซือ" เสียงจีนแต้จิ๋วว่า "ซำจั้งฮวยซือ"
ซำจั๋ง แปลว่า ไตรปิฎก ฮวยซือ แปลว่า ธรรมาจารย์ (อาจารย์ผู้สอนธรรม)
เป็นคำเรียกยกย่องพระภิกษุผุ้ทรงคุณวุฒิ สองคำรวมกัน หมายถึง พระธรรมาจารย์ตรีปิฎก
เป็นที่มาของคำว่า "ถังซัมจั๋ง" ซึ่งหมายถึง "พระตรีปิฎกาจารย์แห่งราชวงศ์ถัง" เป็นชื่อที่แพร่หลายในประเทศไทย.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.silpa-mag.com/history/article_1510
พระถังซัมจั๋ง ...ยุครุ่งเรืองของพุทธศาสนา..จากอินเดียสู่จีน [ตัวอย่างสารคดี]
ดูสารคดีได้ที่
https://www.youtube.com/playlist?list=PL85WQjF_YosqUimTFt2cuv1PU0Hk7dDy
พระถังซำจั๋ง คือ ใคร? / ยุครุ่งเรืองของพุทธในจีน [ตัวอย่างสารคดี]
มีชีวิตอยู่ในช่วง พ.ศ. 1143-1207
ปลายราชวงศ์สุยถึงต้นราชวงศ์ถังอันเป็นยุคทองของจีน
ได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน "สามนักแปลคัมภีร์พุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ของจีน"
ซึ่งได้แก่ พระกุมารชีพ (พ.ศ. 887-956) พระปรมรรถ (พ.ศ. 1042-1112) และพระถังซัมจั๋ง (พ.ศ. 1143-1207)
ท่านเป็นชาวเมืองลั่วหยาง มีนามฆาราวาสว่า เฉินฮุย เสียงแต้จิ๋วว่า ตั้งฮุย (หรือ ฮุย แซ่ตั้ง)
สนใจพุทธศาสนามาแต่เด็ก ผนวชเป็นสามเณรเมื่ออายุ 13 ปี ได้รับสมณฉายาว่า "เสวียนจั้ง"
ออกเสียงง่าย ๆ อย่างลิ้นคนไทยว่า สวนจั้ง หรือเสียนจั้ง ก็ได้
เสียงแต้จิ๋วว่า "เหี้ยนจัง" หมายถึง "รุ่งเรืองด้วยความลึกซึ้ง" ตรงกับภาษาบาลีว่า "คัมภีรวิโรจน์"
หลังจากบวชแล้วท่านศึกษาพุทธศาสตร์กับอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงทั่วจีน เห็นว่าคำอธิบายแตกต่างกัน
จึงตั้งปณิธานไปศึกษาที่อินเดีย แต่กฎหมายไม่อนุญาตให้คนจีนเดินทางออกนอกประเทศ
ท่านจึงต้องไปโดยไม่ขออนุญาตต่อทางการเมื่อ พ.ศ. 1172 (อายุ 29 ปี)
ผ่านอุปสรรคนานัปการแทบเอาชีวิตไม่รอด ผ่านทะเลทรายโกบีที่ร้อนระอุไร้ผู้คน
ปีนป่ายข้ามเทือกเขาฮินดูกูฏอันสูงสูงชันเพียงผู้เดียว จาริกผ่านแคว้นต่าง ๆ นอกแดนจีนและอินเดียนับร้อยแคว้น
ในที่สุดได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทา
ฝากตัวเป็นศิษย์พระศีลภัทรเถระ ศึกษาพุทธศาสนานิกายโยคาจารย์ วิชาตรรกศาสตร์ และอื่น ๆ
ทั้งยังออกจาริกไปทั่วอินเดียเพื่อศึกษาเพิ่มเติม และทัศนศึกษาพุทธศาสนสถานสำคัญ
ท่านแตกฉานภาษาสันสกฤตมากจนเจ้าของภาษายกย่องแต่งคัมภีร์เป็นภาษาสันสกฤตได้ดี
ที่สำคัญคือแตกฉานพุทธศาสตร์มาก
อุษา โลหะจรูญ ผู้เขียนหนังสือ "พระถังซัมจั๋ง : ชีวิตจริงไม่อิงนิยาย" กล่าวว่า
ด้วยความใฝ่ศึกษา "ท่านจึงเป็นพระภิกษุชาวจีนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอินเดียโบราณ
เป็นพระตรีปิฎกาจารย์ผู้มีความรู้แตกฉานทั้งในฝ่ายวิชาของฝ่ายมหายานและสาวกยาน
ได้รับคัดเลือกให้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยขึ้นโต้วาทีธรรม
สร้างชื่อเสียงเกียรติคุณให้แก่สถาบันและประเทศชาติอย่างสมภาคภูมิ
ได้รับสมญานามจากคณะสงฆ์ฝ่ายมหายานว่า มหายานเทวะ’ (Mahāyānadeva)
และ พระโมกษเทวะ (Moksadeva) จากฝ่ายสาวกยาน"
ส่วนสมญา "ตรีปิฎกาจารย์" นั้น หมายถึง "อาจารย์ผู้แตกฉานพระไตรปิฏก"
มหาวิทยาลัยนาลันทาถวายแด่ท่าน เป็นภิกษุต่างชาติรูปเดียวที่ได้รับเกียรตินี้
ต่อมามหาวิทยาลัยนาลันทา (นาลันทาใหม่ซึ่งสร้างแทนมหาวิทยาลัยนาลันทาเดิมที่เสื่อมสูญไป)
ได้ถวายตำแหน่ง "พระตรีปิฎกาจารย์" แก่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต ขณะดำรงสมณศักดิ์เป็นพระธรรมปิฎก)
เป็นภิกษุชาวต่างชาติรูปที่ 2 ที่ได้ รับเกียรติสูงสุดนี้
ด้วยเหตุนี้เมื่อพระภิกษุเสวียนจั้งกลับมาจีนแล้ว
คนนิยมยกย่องเรียกท่านว่า "ซันจั้งฝ่าซือ" เสียงจีนแต้จิ๋วว่า "ซำจั้งฮวยซือ"
ซำจั๋ง แปลว่า ไตรปิฎก ฮวยซือ แปลว่า ธรรมาจารย์ (อาจารย์ผู้สอนธรรม)
เป็นคำเรียกยกย่องพระภิกษุผุ้ทรงคุณวุฒิ สองคำรวมกัน หมายถึง พระธรรมาจารย์ตรีปิฎก
เป็นที่มาของคำว่า "ถังซัมจั๋ง" ซึ่งหมายถึง "พระตรีปิฎกาจารย์แห่งราชวงศ์ถัง" เป็นชื่อที่แพร่หลายในประเทศไทย.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.silpa-mag.com/history/article_1510
พระถังซัมจั๋ง ...ยุครุ่งเรืองของพุทธศาสนา..จากอินเดียสู่จีน [ตัวอย่างสารคดี]
ดูสารคดีได้ที่ https://www.youtube.com/playlist?list=PL85WQjF_YosqUimTFt2cuv1PU0Hk7dDy