ร้านเฉาก๊วยดังโคราช ขึ้นป้ายหนุนค่าแรง 600 ลั่นถ้า ศก.ดี 800 ก็ให้ ซัด รบ.แค่ 400 ยังทำไม่ได้
https://www.matichon.co.th/region/news_3718697
ร้านเฉาก๊วยดังโคราช ขึ้นป้ายหนุนค่าแรง 600 บาท ลั่นถ้า ศก.ดี 800 ก็ให้ได้ ซัด รบ.แค่ 400 ยังทำไม่ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่พรรคเพื่อไทยได้ประกาศนโยบายหาเสียง จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ วันละ 600 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี เริ่มต้นที่เดือนละ 25,000 บาท ซึ่งทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทยเป็นวงกว้างอยู่ในขณะนี้นั้น
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร้าน “
เจ๊อ้อย เฉาก๊วยโบราณ” ซึ่งเป็นร้านเฉาก๊วยชื่อดังของเมืองโคราช ตั้งอยู่ริมถนนยมราช ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา นำกระดาษมาเขียนข้อความสนับสนุนนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ติดบริเวณหน้าร้าน โดยมีข้อความว่า “
พร้อมที่จะสนับสนุนค่าแรง 600 บาท แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอปี 2570 ให้เขาบริหารให้เศรษฐกิจโตแล้วเราก็ต้องให้ ถ้าเราไม่ให้ คนงานก็ไปอยู่ที่อื่นหมด ถ้าเศรษฐกิจแย่แบบนี้ไม่ไหวแน่นอน…ขอบอก”
โดย นาง
แสนสุข เติมศรีสุข หรือเจ๊อ้อย อายุ 62 ปี เจ้าของร้านเจ๊อ้อย เฉาก๊วยโบราณ กล่าวว่า นโยบายดังกล่าวที่พรรคเพื่อไทยเสนอมานั้น เชื่อมั่นว่าเป็นไปได้แน่นอน จึงได้ทำป้ายมาติดที่หน้าร้านเพื่อสนับสนุนนโยบายของพรรคเพื่อไทย เพราะตอนนี้ค่าครองชีพกับรายได้ไม่สมดุลกันเลย
“
สมมุติคนเราต้องกินอาหารมื้อละ 100 บาท 1 วัน 3 มื้อ ก็หมดไปแล้ว 300 บาท ถ้าอยากกินอย่างอื่นอีกก็ไม่มีเงินซื้อแล้ว ดังนั้น การได้ค่าแรงวันละ 300 กว่าบาท อยู่ไม่ได้แน่นอน แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาล แล้วสามารถทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท ก็เหมาะสม อย่าว่าแต่ 600 บาทเลย ถ้าเศรษฐกิจดี ทำมาค้าขายดี ค่าแรงวันละ 800 บาทตนก็ให้ได้”
“
ที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้เคยหาเสียงไว้ว่าจะทำให้ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ยังทำไม่ได้เลย ดังนั้นเมื่อพรรคเพื่อไทยเสนอมา 600 บาท ก็ต้องให้การสนับสนุน เพราะพรรคเพื่อไทยเคยทำให้ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทได้แล้ว ครั้งนี้ก็เชื่อมั่นว่าจะทำได้ 100% แน่นอน”
อุ๊งอิ๊งปลื้ม ร้านบะหมี่ประกาศจ่ายค่าแรง 600 เศรษฐาลั่น แสนสิริพร้อม ร่วมสานหวังนี้
https://www.matichon.co.th/politics/news_3718945
อุ๊งอิ๊งปลื้ม ร้านบะหมี่ประกาศจ่ายค่าแรง 600 เศรษฐาลั่น พร้อมเป็นส่วนหนึ่ง สานหวังนี้
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ได้ทวีตรูปร้านบะหมี่เกี๊ยวเย่หลิว อยุธยา ที่ประกาศพร้อมจ่ายค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท ภายในปี 2570 หลังจากที่พรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายดังกล่าว พร้อมระบุข้อความว่า “
อมยิ้มแล้ว 1”
จากนั้น นาย
เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ทวีตข้อความ น.ส.แพทองธาร พร้อมระบุข้อความว่า “
คนเราอยู่ได้เพราะมีความหวัง หน้าที่ผู้นําคือสร้างแรงบันดาลใจที่มีความเป็นไปได้ให้เขาลุกขึ้นมาทำงานทุกวัน ค่าแรงขั้นต่ำที่สูงขึ้นเป็นหนึ่งในหลายๆ วิธีที่จะลดความเหลื่อมล้ำที่ถ่างขึ้นทุกๆ วัน ผมมีความหวังครับ และพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจ”
ทั้งนี้ ได้มีชาวทวิตเตอร์เข้ามาขอให้นาย
เศรษฐาขยายความประโยชน์ที่ว่า “
พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจ” ตามที่ทวีตข้อความ โดยนาย
เศรษฐาตอบว่า “
CEO แสนสิริ มีเครือข่ายเยอะครับ”
‘ยุทธพงศ์’ แฉปัญหาหนี้บีทีเอสซัด ‘บิ๊กตู่’ ปล่อยคาราคาซัง จี้ ‘ชัชชาติ’ อุทธรณ์คดี
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3718864
‘ยุทธพงศ์’ แฉปัญหาหนี้บีทีเอสซัด ‘บิ๊กตู่’ ปล่อยคาราคาซัง จี้ ‘ชัชชาติ’ อุทธรณ์คดี
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นาย
ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรค พท. แถลงข่าวชี้แจงที่มาปัญหาหนี้สินของกรุงเทพมหานคร (กทม.) กับรถไฟฟ้าบีทีเอส ว่า ประเด็นแรก กทม.ในยุคก่อนที่นาย
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จะเข้ารับตําแหน่ง ได้ให้บริษัทกรุงเทพธนาคมไปจ้างบีทีเอสไปตั้งระบบรถไฟฟ้าโดยไม่มีการประมูลทำให้เกิดหนี้ก้อนแรก 2 หมื่น 2 พันล้าน โดยไม่มีการเปรียบเทียบราคา แต่กทม.รู้ได้อย่างไรว่าราคาระบบรถไฟฟ้าอยู่ที่ 2 หมื่น 2 พันล้าน นี่คือปัญหา เพราะไม่มีใครกล้าจ่าย
ประเด็นที่สองคือ กทม. ปล่อยให้ประชาชนใช้บริการฟรี และไม่มีการเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยายที่สองมาตั้งแต่ปี 2561 แต่มีค่าวิ่งรถจนเกิดเป็นหนี้ส่วนที่สอง 1 หมื่น 4 พันล้านบาท
ประเด็นที่สาม กทม. หยุดจ่ายค่าจ้างเดินรถส่วนต่อขยายส่วนที่หนึ่ง ซึ่งดําเนินการจ่ายมาทุกปี แต่ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา พล.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นก็ใช้อํานาจตามมาตรา 44 สั่งเลิกจ่ายตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) สภา กทม.ก็ไม่เอาเรื่องนี้เข้ามาพิจารณา เพราะมองว่าเรื่องนี้อยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร
ทั้งหมดเหล่านี้ คือที่มาของหนี้ 4 หมื่นล้านที่กทม.มีต่อบีทีเอส เป็นที่มาว่ารัฐบาลของพล.อ.
ประยุทธ์ ล้มเหลว ปล่อยให้เกิดหนี้ 4 หมื่นล้านบาท และไม่แก้ปัญหาปล่อยให้คาราคาซัง
นาย
ยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า หนี้ 4 หมื่นล้านที่บอกว่าจ่ายไม่ได้ เพราะมีที่มาไม่โปร่งใสหลายอย่าง อาทิ
1. กทม.หนีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ร่วมลงทุน ไม่เปิดประมูล ทั้งที่ได้เงินหลายหมื่นล้าน
2. กทม.ทำสัญญากับบีทีเอส ขัดต่อ พ.ร.บ.ร่วมลงทุน
3. กทม.ไปให้บริษัทกรุงเทพธนาคมไปเดินรถส่วนต่อขยายที่สอง ซึ่งอยู่นอกอํานาจ
4. บริษัทกรุงเทพธนาคมจ้างบีทีเอสติดตั้งระบบ โดยที่ทรัพย์สินส่วนต่อขยายทุกวันนี้เป็นของกระทรวงคมนาคมอยู่
นาย
ยุทธพงศ์ กล่าวว่า ทั้งหมดนี้คือปัญหาที่พรรค พท.อภิปรายไม่ไว้วางใจและต่อสู่มาตลอด 3 ปี นาย
ชัชชาติและบริษัทกรุงเทพธนาคมต้องอุธรณ์สู้คดีในประเด็นที่ยังไม่มีการต่อสู้ในอดีต มิเช่นนั้นประชาชนชาวกรุงเทพจะต้องเสียค่าแกล้งโง่ 4 หมื่นล้าน พรรค พท.มีข้อเสนอแนะในการอุทธรณ์คดี ได้แก่
1. ต้องอุทธรณ์คดีว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนหรือไม่ หนีการประมูล ไม่ให้มีการเปรียบเทียบราคาหรือไม่
2. จ้างบีทีเอสวิ่งรถในราคาแพง ไม่มีการตรวจสอบ ไม่มีการเปรียบเทียบราคา จึงกลายเป็นหนี้มหาศาล
นาย
ยุทธพงศ์ ยังกล่าวว่า ในสัปดาห์หน้า พรรค พท. จะไปเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้บีทีเอส 4 หมื่นล้าน ต่อผู้บริหารกทม.และบริษัทกรุงเทพธนาคม โดยจะไปยื่นหนังสือถึงนาย
ชัชชาติ นาย
ธงทอง จันทรางศุ ประธานกรรมการ บริษัทกรุงเทพธนาคม และนาย
ประแสง มงคลศิริ กรรมการผู้อำนวยการบริษัท กรุงเทพธนาคม
‘พิธา’ นำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ สำรวจชุมชนแออัด ชงสร้างรัฐสวัสดิการ-กระจายที่ดิน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3718842
‘พิธา’ นำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ สำรวจชุมชนแออัด ชงสร้างรัฐสวัสดิการ-กระจายที่ดิน แก้ปัญหาระยะยาว
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ที่จ.เชียงใหม่ นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ พรรคก.ก. ประกอบด้วย น.ส.
เพชรรัตน์ ใหม่ชมภู เขต 1 , นาย
ณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล เขต 3 และ น.ส.
พุธิตา ชัยอนันต์ เขต 4 ร่วมสำรวจและรับฟังปัญหาชาวชุมชนริมคลองแม่ข่า หลังวัดโลกโมฬี อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในชุมชนแออัดที่อยู่ในพื้นที่ของเทศบาลนครเชียงใหม่ และกำลังได้รับผลกระทบจากแผนพัฒนาแม่บทคลองแม่ข่า รวมถึงการไล่รื้อชุมชนออกจากพื้นที่ด้วย
นาย
พิธา กล่าวว่า ปัญหาชุมชนแออัดในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ มีลักษณะร่วมกับปัญหาคนจนเมืองทั่วประเทศ เป็นประชาชนที่มีปัญหาเกี่ยวกับปากท้อง ที่อยู่อาศัย และถูกหลงลืมจากสังคม หลายแห่งก็กำลังเผชิญกับปัญหาการปรับภูมิทัศน์หรือการไล่รื้อในลักษณะเดียวกัน ซึ่งสำหรับกรณีทั้ง 21 ชุมชนของเทศบาลนครเชียงใหม่ ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการชดเชย หรือการย้ายที่อยู่อาศัยที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบ ทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการเดินทาง การทำงาน การเรียนหนังสือ และการใช้ชีวิตด้านอื่นๆ เนื่องจากชาวชุมชนที่อาศัยอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ตั้งรกรากมากว่า 30-40 ปีแล้ว
นาย
พิธา กล่าวว่า ในระยะสั้นต้องทำให้มั่นใจได้ว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นจะเป็นไปภายใต้การยอมรับและการมีส่วนร่วมของชาวชุมชน ส่วนในระยะยาว การมีรัฐสวัสดิการ การปลดล็อกท้องถิ่นให้มีการเลือกตั้งผู้บริหารจังหวัด ดูแลคนในจังหวัดด้วยคนในจังหวัดเองได้โดยสมบูรณ์ ที่สำคัญที่สุดคือการแก้ปัญหาที่ดินในระยะยาว ซึ่งปัญหาชุมชนคนจนเมืองส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวข้องกับปัญหาที่ดินไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องอาศัยการปฏิรูปที่ดินมาสร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับประชาชน โดยไม่มีใครถูกลืมไว้ข้างหลัง
“
ที่ดินของรัฐในประเทศนี้มีมากเกินไป ส่วนใหญ่ถูกปล่อยทิ้งรกร้างไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ เมื่อความเหลื่อมล้ำทางรายได้ทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่สามารถมีที่อยู่อาศัยได้อย่างมั่นคง ก็ย่อมนำมาสู่การตั้งรกรากบนที่ดินเหล่านี้โดยความจำเป็น พรรคก้าวไกลเห็นว่าในระยะยาวสัดส่วนที่ดินของรัฐเหล่านี้ต้องลดลง กระจายให้ไปอยู่ในมือของประชาชนมากขึ้น ส่วนที่ดินของเอกชนขนาดใหญ่ที่ถือครองมากเกินไป ก็ต้องมีการสร้างกลไกให้เกิดการกระจายออกสู่มือประชาชนทั่วไปให้มากขึ้นด้วย เพื่อกระจายความมั่งคั่งให้ประชาชนสามารถไปทำงานสร้างเศรษฐกิจได้อย่างมั่นคงต่อไป” นาย
พิธา กล่าว
JJNY : 5in1 เฉาก๊วยดังหนุนค่าแรง|อุ๊งอิ๊งปลื้ม|‘ยุทธพงศ์’แฉปัญหาหนี้บีทีเอส|‘พิธา’นำ สำรวจชุมชน|คปช.53 ทวงยุติธรรม
https://www.matichon.co.th/region/news_3718697
ร้านเฉาก๊วยดังโคราช ขึ้นป้ายหนุนค่าแรง 600 บาท ลั่นถ้า ศก.ดี 800 ก็ให้ได้ ซัด รบ.แค่ 400 ยังทำไม่ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่พรรคเพื่อไทยได้ประกาศนโยบายหาเสียง จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ วันละ 600 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี เริ่มต้นที่เดือนละ 25,000 บาท ซึ่งทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทยเป็นวงกว้างอยู่ในขณะนี้นั้น
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร้าน “เจ๊อ้อย เฉาก๊วยโบราณ” ซึ่งเป็นร้านเฉาก๊วยชื่อดังของเมืองโคราช ตั้งอยู่ริมถนนยมราช ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา นำกระดาษมาเขียนข้อความสนับสนุนนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ติดบริเวณหน้าร้าน โดยมีข้อความว่า “พร้อมที่จะสนับสนุนค่าแรง 600 บาท แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอปี 2570 ให้เขาบริหารให้เศรษฐกิจโตแล้วเราก็ต้องให้ ถ้าเราไม่ให้ คนงานก็ไปอยู่ที่อื่นหมด ถ้าเศรษฐกิจแย่แบบนี้ไม่ไหวแน่นอน…ขอบอก”
โดย นางแสนสุข เติมศรีสุข หรือเจ๊อ้อย อายุ 62 ปี เจ้าของร้านเจ๊อ้อย เฉาก๊วยโบราณ กล่าวว่า นโยบายดังกล่าวที่พรรคเพื่อไทยเสนอมานั้น เชื่อมั่นว่าเป็นไปได้แน่นอน จึงได้ทำป้ายมาติดที่หน้าร้านเพื่อสนับสนุนนโยบายของพรรคเพื่อไทย เพราะตอนนี้ค่าครองชีพกับรายได้ไม่สมดุลกันเลย
“สมมุติคนเราต้องกินอาหารมื้อละ 100 บาท 1 วัน 3 มื้อ ก็หมดไปแล้ว 300 บาท ถ้าอยากกินอย่างอื่นอีกก็ไม่มีเงินซื้อแล้ว ดังนั้น การได้ค่าแรงวันละ 300 กว่าบาท อยู่ไม่ได้แน่นอน แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาล แล้วสามารถทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท ก็เหมาะสม อย่าว่าแต่ 600 บาทเลย ถ้าเศรษฐกิจดี ทำมาค้าขายดี ค่าแรงวันละ 800 บาทตนก็ให้ได้”
“ที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้เคยหาเสียงไว้ว่าจะทำให้ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ยังทำไม่ได้เลย ดังนั้นเมื่อพรรคเพื่อไทยเสนอมา 600 บาท ก็ต้องให้การสนับสนุน เพราะพรรคเพื่อไทยเคยทำให้ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทได้แล้ว ครั้งนี้ก็เชื่อมั่นว่าจะทำได้ 100% แน่นอน”
อุ๊งอิ๊งปลื้ม ร้านบะหมี่ประกาศจ่ายค่าแรง 600 เศรษฐาลั่น แสนสิริพร้อม ร่วมสานหวังนี้
https://www.matichon.co.th/politics/news_3718945
อุ๊งอิ๊งปลื้ม ร้านบะหมี่ประกาศจ่ายค่าแรง 600 เศรษฐาลั่น พร้อมเป็นส่วนหนึ่ง สานหวังนี้
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ได้ทวีตรูปร้านบะหมี่เกี๊ยวเย่หลิว อยุธยา ที่ประกาศพร้อมจ่ายค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท ภายในปี 2570 หลังจากที่พรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายดังกล่าว พร้อมระบุข้อความว่า “อมยิ้มแล้ว 1”
จากนั้น นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ทวีตข้อความ น.ส.แพทองธาร พร้อมระบุข้อความว่า “คนเราอยู่ได้เพราะมีความหวัง หน้าที่ผู้นําคือสร้างแรงบันดาลใจที่มีความเป็นไปได้ให้เขาลุกขึ้นมาทำงานทุกวัน ค่าแรงขั้นต่ำที่สูงขึ้นเป็นหนึ่งในหลายๆ วิธีที่จะลดความเหลื่อมล้ำที่ถ่างขึ้นทุกๆ วัน ผมมีความหวังครับ และพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจ”
ทั้งนี้ ได้มีชาวทวิตเตอร์เข้ามาขอให้นายเศรษฐาขยายความประโยชน์ที่ว่า “พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจ” ตามที่ทวีตข้อความ โดยนายเศรษฐาตอบว่า “CEO แสนสิริ มีเครือข่ายเยอะครับ”
‘ยุทธพงศ์’ แฉปัญหาหนี้บีทีเอสซัด ‘บิ๊กตู่’ ปล่อยคาราคาซัง จี้ ‘ชัชชาติ’ อุทธรณ์คดี
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3718864
‘ยุทธพงศ์’ แฉปัญหาหนี้บีทีเอสซัด ‘บิ๊กตู่’ ปล่อยคาราคาซัง จี้ ‘ชัชชาติ’ อุทธรณ์คดี
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรค พท. แถลงข่าวชี้แจงที่มาปัญหาหนี้สินของกรุงเทพมหานคร (กทม.) กับรถไฟฟ้าบีทีเอส ว่า ประเด็นแรก กทม.ในยุคก่อนที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จะเข้ารับตําแหน่ง ได้ให้บริษัทกรุงเทพธนาคมไปจ้างบีทีเอสไปตั้งระบบรถไฟฟ้าโดยไม่มีการประมูลทำให้เกิดหนี้ก้อนแรก 2 หมื่น 2 พันล้าน โดยไม่มีการเปรียบเทียบราคา แต่กทม.รู้ได้อย่างไรว่าราคาระบบรถไฟฟ้าอยู่ที่ 2 หมื่น 2 พันล้าน นี่คือปัญหา เพราะไม่มีใครกล้าจ่าย
ประเด็นที่สองคือ กทม. ปล่อยให้ประชาชนใช้บริการฟรี และไม่มีการเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยายที่สองมาตั้งแต่ปี 2561 แต่มีค่าวิ่งรถจนเกิดเป็นหนี้ส่วนที่สอง 1 หมื่น 4 พันล้านบาท
ประเด็นที่สาม กทม. หยุดจ่ายค่าจ้างเดินรถส่วนต่อขยายส่วนที่หนึ่ง ซึ่งดําเนินการจ่ายมาทุกปี แต่ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา พล.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นก็ใช้อํานาจตามมาตรา 44 สั่งเลิกจ่ายตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) สภา กทม.ก็ไม่เอาเรื่องนี้เข้ามาพิจารณา เพราะมองว่าเรื่องนี้อยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร
ทั้งหมดเหล่านี้ คือที่มาของหนี้ 4 หมื่นล้านที่กทม.มีต่อบีทีเอส เป็นที่มาว่ารัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ล้มเหลว ปล่อยให้เกิดหนี้ 4 หมื่นล้านบาท และไม่แก้ปัญหาปล่อยให้คาราคาซัง
นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า หนี้ 4 หมื่นล้านที่บอกว่าจ่ายไม่ได้ เพราะมีที่มาไม่โปร่งใสหลายอย่าง อาทิ
1. กทม.หนีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ร่วมลงทุน ไม่เปิดประมูล ทั้งที่ได้เงินหลายหมื่นล้าน
2. กทม.ทำสัญญากับบีทีเอส ขัดต่อ พ.ร.บ.ร่วมลงทุน
3. กทม.ไปให้บริษัทกรุงเทพธนาคมไปเดินรถส่วนต่อขยายที่สอง ซึ่งอยู่นอกอํานาจ
4. บริษัทกรุงเทพธนาคมจ้างบีทีเอสติดตั้งระบบ โดยที่ทรัพย์สินส่วนต่อขยายทุกวันนี้เป็นของกระทรวงคมนาคมอยู่
นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ทั้งหมดนี้คือปัญหาที่พรรค พท.อภิปรายไม่ไว้วางใจและต่อสู่มาตลอด 3 ปี นายชัชชาติและบริษัทกรุงเทพธนาคมต้องอุธรณ์สู้คดีในประเด็นที่ยังไม่มีการต่อสู้ในอดีต มิเช่นนั้นประชาชนชาวกรุงเทพจะต้องเสียค่าแกล้งโง่ 4 หมื่นล้าน พรรค พท.มีข้อเสนอแนะในการอุทธรณ์คดี ได้แก่
1. ต้องอุทธรณ์คดีว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนหรือไม่ หนีการประมูล ไม่ให้มีการเปรียบเทียบราคาหรือไม่
2. จ้างบีทีเอสวิ่งรถในราคาแพง ไม่มีการตรวจสอบ ไม่มีการเปรียบเทียบราคา จึงกลายเป็นหนี้มหาศาล
นายยุทธพงศ์ ยังกล่าวว่า ในสัปดาห์หน้า พรรค พท. จะไปเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้บีทีเอส 4 หมื่นล้าน ต่อผู้บริหารกทม.และบริษัทกรุงเทพธนาคม โดยจะไปยื่นหนังสือถึงนายชัชชาติ นายธงทอง จันทรางศุ ประธานกรรมการ บริษัทกรุงเทพธนาคม และนายประแสง มงคลศิริ กรรมการผู้อำนวยการบริษัท กรุงเทพธนาคม
‘พิธา’ นำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ สำรวจชุมชนแออัด ชงสร้างรัฐสวัสดิการ-กระจายที่ดิน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3718842
‘พิธา’ นำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ สำรวจชุมชนแออัด ชงสร้างรัฐสวัสดิการ-กระจายที่ดิน แก้ปัญหาระยะยาว
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ที่จ.เชียงใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ พรรคก.ก. ประกอบด้วย น.ส.เพชรรัตน์ ใหม่ชมภู เขต 1 , นายณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล เขต 3 และ น.ส.พุธิตา ชัยอนันต์ เขต 4 ร่วมสำรวจและรับฟังปัญหาชาวชุมชนริมคลองแม่ข่า หลังวัดโลกโมฬี อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในชุมชนแออัดที่อยู่ในพื้นที่ของเทศบาลนครเชียงใหม่ และกำลังได้รับผลกระทบจากแผนพัฒนาแม่บทคลองแม่ข่า รวมถึงการไล่รื้อชุมชนออกจากพื้นที่ด้วย
นายพิธา กล่าวว่า ปัญหาชุมชนแออัดในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ มีลักษณะร่วมกับปัญหาคนจนเมืองทั่วประเทศ เป็นประชาชนที่มีปัญหาเกี่ยวกับปากท้อง ที่อยู่อาศัย และถูกหลงลืมจากสังคม หลายแห่งก็กำลังเผชิญกับปัญหาการปรับภูมิทัศน์หรือการไล่รื้อในลักษณะเดียวกัน ซึ่งสำหรับกรณีทั้ง 21 ชุมชนของเทศบาลนครเชียงใหม่ ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการชดเชย หรือการย้ายที่อยู่อาศัยที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบ ทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการเดินทาง การทำงาน การเรียนหนังสือ และการใช้ชีวิตด้านอื่นๆ เนื่องจากชาวชุมชนที่อาศัยอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ตั้งรกรากมากว่า 30-40 ปีแล้ว
นายพิธา กล่าวว่า ในระยะสั้นต้องทำให้มั่นใจได้ว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นจะเป็นไปภายใต้การยอมรับและการมีส่วนร่วมของชาวชุมชน ส่วนในระยะยาว การมีรัฐสวัสดิการ การปลดล็อกท้องถิ่นให้มีการเลือกตั้งผู้บริหารจังหวัด ดูแลคนในจังหวัดด้วยคนในจังหวัดเองได้โดยสมบูรณ์ ที่สำคัญที่สุดคือการแก้ปัญหาที่ดินในระยะยาว ซึ่งปัญหาชุมชนคนจนเมืองส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวข้องกับปัญหาที่ดินไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องอาศัยการปฏิรูปที่ดินมาสร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับประชาชน โดยไม่มีใครถูกลืมไว้ข้างหลัง
“ที่ดินของรัฐในประเทศนี้มีมากเกินไป ส่วนใหญ่ถูกปล่อยทิ้งรกร้างไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ เมื่อความเหลื่อมล้ำทางรายได้ทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่สามารถมีที่อยู่อาศัยได้อย่างมั่นคง ก็ย่อมนำมาสู่การตั้งรกรากบนที่ดินเหล่านี้โดยความจำเป็น พรรคก้าวไกลเห็นว่าในระยะยาวสัดส่วนที่ดินของรัฐเหล่านี้ต้องลดลง กระจายให้ไปอยู่ในมือของประชาชนมากขึ้น ส่วนที่ดินของเอกชนขนาดใหญ่ที่ถือครองมากเกินไป ก็ต้องมีการสร้างกลไกให้เกิดการกระจายออกสู่มือประชาชนทั่วไปให้มากขึ้นด้วย เพื่อกระจายความมั่งคั่งให้ประชาชนสามารถไปทำงานสร้างเศรษฐกิจได้อย่างมั่นคงต่อไป” นายพิธา กล่าว