JJNY : 5in1 เฉาก๊วยดังหนุนค่าแรง|อุ๊งอิ๊งปลื้ม|‘ยุทธพงศ์’แฉปัญหาหนี้บีทีเอส|‘พิธา’นำ สำรวจชุมชน|คปช.53 ทวงยุติธรรม

ร้านเฉาก๊วยดังโคราช ขึ้นป้ายหนุนค่าแรง 600 ลั่นถ้า ศก.ดี 800 ก็ให้ ซัด รบ.แค่ 400 ยังทำไม่ได้
https://www.matichon.co.th/region/news_3718697
  
 
ร้านเฉาก๊วยดังโคราช ขึ้นป้ายหนุนค่าแรง 600 บาท ลั่นถ้า ศก.ดี 800 ก็ให้ได้ ซัด รบ.แค่ 400 ยังทำไม่ได้
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่พรรคเพื่อไทยได้ประกาศนโยบายหาเสียง จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ วันละ 600 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี เริ่มต้นที่เดือนละ 25,000 บาท ซึ่งทำให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทยเป็นวงกว้างอยู่ในขณะนี้นั้น
 
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร้าน “เจ๊อ้อย เฉาก๊วยโบราณ” ซึ่งเป็นร้านเฉาก๊วยชื่อดังของเมืองโคราช ตั้งอยู่ริมถนนยมราช ต.ในเมือง  อ.เมือง จ.นครราชสีมา นำกระดาษมาเขียนข้อความสนับสนุนนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ติดบริเวณหน้าร้าน โดยมีข้อความว่า “พร้อมที่จะสนับสนุนค่าแรง 600 บาท แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอปี 2570 ให้เขาบริหารให้เศรษฐกิจโตแล้วเราก็ต้องให้ ถ้าเราไม่ให้ คนงานก็ไปอยู่ที่อื่นหมด ถ้าเศรษฐกิจแย่แบบนี้ไม่ไหวแน่นอน…ขอบอก
 
โดย นางแสนสุข เติมศรีสุข หรือเจ๊อ้อย อายุ 62 ปี เจ้าของร้านเจ๊อ้อย เฉาก๊วยโบราณ กล่าวว่า นโยบายดังกล่าวที่พรรคเพื่อไทยเสนอมานั้น เชื่อมั่นว่าเป็นไปได้แน่นอน จึงได้ทำป้ายมาติดที่หน้าร้านเพื่อสนับสนุนนโยบายของพรรคเพื่อไทย เพราะตอนนี้ค่าครองชีพกับรายได้ไม่สมดุลกันเลย
 
สมมุติคนเราต้องกินอาหารมื้อละ 100 บาท 1 วัน 3 มื้อ ก็หมดไปแล้ว 300 บาท ถ้าอยากกินอย่างอื่นอีกก็ไม่มีเงินซื้อแล้ว ดังนั้น การได้ค่าแรงวันละ 300 กว่าบาท อยู่ไม่ได้แน่นอน แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาล แล้วสามารถทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท ก็เหมาะสม อย่าว่าแต่ 600 บาทเลย ถ้าเศรษฐกิจดี ทำมาค้าขายดี ค่าแรงวันละ 800 บาทตนก็ให้ได้
 
ที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้เคยหาเสียงไว้ว่าจะทำให้ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ยังทำไม่ได้เลย ดังนั้นเมื่อพรรคเพื่อไทยเสนอมา 600 บาท ก็ต้องให้การสนับสนุน เพราะพรรคเพื่อไทยเคยทำให้ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทได้แล้ว ครั้งนี้ก็เชื่อมั่นว่าจะทำได้ 100% แน่นอน


 
อุ๊งอิ๊งปลื้ม ร้านบะหมี่ประกาศจ่ายค่าแรง 600 เศรษฐาลั่น แสนสิริพร้อม ร่วมสานหวังนี้
https://www.matichon.co.th/politics/news_3718945
 
อุ๊งอิ๊งปลื้ม ร้านบะหมี่ประกาศจ่ายค่าแรง 600 เศรษฐาลั่น พร้อมเป็นส่วนหนึ่ง สานหวังนี้
  
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ได้ทวีตรูปร้านบะหมี่เกี๊ยวเย่หลิว อยุธยา ที่ประกาศพร้อมจ่ายค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท ภายในปี 2570 หลังจากที่พรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายดังกล่าว พร้อมระบุข้อความว่า “อมยิ้มแล้ว 1
 
จากนั้น นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ทวีตข้อความ น.ส.แพทองธาร พร้อมระบุข้อความว่า “คนเราอยู่ได้เพราะมีความหวัง หน้าที่ผู้นําคือสร้างแรงบันดาลใจที่มีความเป็นไปได้ให้เขาลุกขึ้นมาทำงานทุกวัน ค่าแรงขั้นต่ำที่สูงขึ้นเป็นหนึ่งในหลายๆ วิธีที่จะลดความเหลื่อมล้ำที่ถ่างขึ้นทุกๆ วัน ผมมีความหวังครับ และพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจ
 
ทั้งนี้ ได้มีชาวทวิตเตอร์เข้ามาขอให้นายเศรษฐาขยายความประโยชน์ที่ว่า “พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจ” ตามที่ทวีตข้อความ โดยนายเศรษฐาตอบว่า “CEO แสนสิริ มีเครือข่ายเยอะครับ” 


 
‘ยุทธพงศ์’ แฉปัญหาหนี้บีทีเอสซัด ‘บิ๊กตู่’ ปล่อยคาราคาซัง จี้ ‘ชัชชาติ’ อุทธรณ์คดี
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3718864

‘ยุทธพงศ์’ แฉปัญหาหนี้บีทีเอสซัด ‘บิ๊กตู่’ ปล่อยคาราคาซัง จี้ ‘ชัชชาติ’ อุทธรณ์คดี
 
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรค พท. แถลงข่าวชี้แจงที่มาปัญหาหนี้สินของกรุงเทพมหานคร (กทม.) กับรถไฟฟ้าบีทีเอส ว่า ประเด็นแรก กทม.ในยุคก่อนที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จะเข้ารับตําแหน่ง ได้ให้บริษัทกรุงเทพธนาคมไปจ้างบีทีเอสไปตั้งระบบรถไฟฟ้าโดยไม่มีการประมูลทำให้เกิดหนี้ก้อนแรก 2 หมื่น 2 พันล้าน โดยไม่มีการเปรียบเทียบราคา แต่กทม.รู้ได้อย่างไรว่าราคาระบบรถไฟฟ้าอยู่ที่ 2 หมื่น 2 พันล้าน นี่คือปัญหา เพราะไม่มีใครกล้าจ่าย
 
ประเด็นที่สองคือ กทม. ปล่อยให้ประชาชนใช้บริการฟรี และไม่มีการเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยายที่สองมาตั้งแต่ปี 2561 แต่มีค่าวิ่งรถจนเกิดเป็นหนี้ส่วนที่สอง 1 หมื่น 4 พันล้านบาท
 
ประเด็นที่สาม กทม. หยุดจ่ายค่าจ้างเดินรถส่วนต่อขยายส่วนที่หนึ่ง ซึ่งดําเนินการจ่ายมาทุกปี แต่ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา พล.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นก็ใช้อํานาจตามมาตรา 44 สั่งเลิกจ่ายตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) สภา กทม.ก็ไม่เอาเรื่องนี้เข้ามาพิจารณา เพราะมองว่าเรื่องนี้อยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร
 
ทั้งหมดเหล่านี้ คือที่มาของหนี้ 4 หมื่นล้านที่กทม.มีต่อบีทีเอส เป็นที่มาว่ารัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ล้มเหลว ปล่อยให้เกิดหนี้ 4 หมื่นล้านบาท และไม่แก้ปัญหาปล่อยให้คาราคาซัง
 
นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า หนี้ 4 หมื่นล้านที่บอกว่าจ่ายไม่ได้ เพราะมีที่มาไม่โปร่งใสหลายอย่าง อาทิ 
1. กทม.หนีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ร่วมลงทุน ไม่เปิดประมูล ทั้งที่ได้เงินหลายหมื่นล้าน 
2. กทม.ทำสัญญากับบีทีเอส ขัดต่อ พ.ร.บ.ร่วมลงทุน 
3. กทม.ไปให้บริษัทกรุงเทพธนาคมไปเดินรถส่วนต่อขยายที่สอง ซึ่งอยู่นอกอํานาจ 
4. บริษัทกรุงเทพธนาคมจ้างบีทีเอสติดตั้งระบบ โดยที่ทรัพย์สินส่วนต่อขยายทุกวันนี้เป็นของกระทรวงคมนาคมอยู่
 
นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ทั้งหมดนี้คือปัญหาที่พรรค พท.อภิปรายไม่ไว้วางใจและต่อสู่มาตลอด 3 ปี นายชัชชาติและบริษัทกรุงเทพธนาคมต้องอุธรณ์สู้คดีในประเด็นที่ยังไม่มีการต่อสู้ในอดีต มิเช่นนั้นประชาชนชาวกรุงเทพจะต้องเสียค่าแกล้งโง่ 4 หมื่นล้าน พรรค พท.มีข้อเสนอแนะในการอุทธรณ์คดี ได้แก่ 
1. ต้องอุทธรณ์คดีว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนหรือไม่ หนีการประมูล ไม่ให้มีการเปรียบเทียบราคาหรือไม่ 
2. จ้างบีทีเอสวิ่งรถในราคาแพง ไม่มีการตรวจสอบ ไม่มีการเปรียบเทียบราคา จึงกลายเป็นหนี้มหาศาล
 
นายยุทธพงศ์ ยังกล่าวว่า ในสัปดาห์หน้า พรรค พท. จะไปเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้บีทีเอส 4 หมื่นล้าน ต่อผู้บริหารกทม.และบริษัทกรุงเทพธนาคม โดยจะไปยื่นหนังสือถึงนายชัชชาติ นายธงทอง จันทรางศุ ประธานกรรมการ บริษัทกรุงเทพธนาคม และนายประแสง มงคลศิริ กรรมการผู้อำนวยการบริษัท กรุงเทพธนาคม



‘พิธา’ นำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ สำรวจชุมชนแออัด ชงสร้างรัฐสวัสดิการ-กระจายที่ดิน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3718842

‘พิธา’ นำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ สำรวจชุมชนแออัด ชงสร้างรัฐสวัสดิการ-กระจายที่ดิน แก้ปัญหาระยะยาว
 
เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ที่จ.เชียงใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร  ส.ส.เชียงใหม่ พรรคก.ก. ประกอบด้วย น.ส.เพชรรัตน์ ใหม่ชมภู เขต 1 , นายณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล เขต 3 และ น.ส.พุธิตา ชัยอนันต์ เขต 4 ร่วมสำรวจและรับฟังปัญหาชาวชุมชนริมคลองแม่ข่า หลังวัดโลกโมฬี อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในชุมชนแออัดที่อยู่ในพื้นที่ของเทศบาลนครเชียงใหม่ และกำลังได้รับผลกระทบจากแผนพัฒนาแม่บทคลองแม่ข่า รวมถึงการไล่รื้อชุมชนออกจากพื้นที่ด้วย
 
นายพิธา กล่าวว่า ปัญหาชุมชนแออัดในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ มีลักษณะร่วมกับปัญหาคนจนเมืองทั่วประเทศ เป็นประชาชนที่มีปัญหาเกี่ยวกับปากท้อง ที่อยู่อาศัย และถูกหลงลืมจากสังคม หลายแห่งก็กำลังเผชิญกับปัญหาการปรับภูมิทัศน์หรือการไล่รื้อในลักษณะเดียวกัน ซึ่งสำหรับกรณีทั้ง 21 ชุมชนของเทศบาลนครเชียงใหม่ ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการชดเชย หรือการย้ายที่อยู่อาศัยที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบ ทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการเดินทาง การทำงาน การเรียนหนังสือ และการใช้ชีวิตด้านอื่นๆ เนื่องจากชาวชุมชนที่อาศัยอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ตั้งรกรากมากว่า 30-40 ปีแล้ว
 
นายพิธา กล่าวว่า ในระยะสั้นต้องทำให้มั่นใจได้ว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นจะเป็นไปภายใต้การยอมรับและการมีส่วนร่วมของชาวชุมชน ส่วนในระยะยาว การมีรัฐสวัสดิการ การปลดล็อกท้องถิ่นให้มีการเลือกตั้งผู้บริหารจังหวัด ดูแลคนในจังหวัดด้วยคนในจังหวัดเองได้โดยสมบูรณ์ ที่สำคัญที่สุดคือการแก้ปัญหาที่ดินในระยะยาว ซึ่งปัญหาชุมชนคนจนเมืองส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวข้องกับปัญหาที่ดินไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องอาศัยการปฏิรูปที่ดินมาสร้างความมั่นคงในชีวิตให้กับประชาชน โดยไม่มีใครถูกลืมไว้ข้างหลัง
 
ที่ดินของรัฐในประเทศนี้มีมากเกินไป ส่วนใหญ่ถูกปล่อยทิ้งรกร้างไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ เมื่อความเหลื่อมล้ำทางรายได้ทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่สามารถมีที่อยู่อาศัยได้อย่างมั่นคง ก็ย่อมนำมาสู่การตั้งรกรากบนที่ดินเหล่านี้โดยความจำเป็น พรรคก้าวไกลเห็นว่าในระยะยาวสัดส่วนที่ดินของรัฐเหล่านี้ต้องลดลง กระจายให้ไปอยู่ในมือของประชาชนมากขึ้น ส่วนที่ดินของเอกชนขนาดใหญ่ที่ถือครองมากเกินไป ก็ต้องมีการสร้างกลไกให้เกิดการกระจายออกสู่มือประชาชนทั่วไปให้มากขึ้นด้วย เพื่อกระจายความมั่งคั่งให้ประชาชนสามารถไปทำงานสร้างเศรษฐกิจได้อย่างมั่นคงต่อไป” นายพิธา กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่